มู่หนานจือ – บทที่ 67 ก้าวออกมา

มู่หนานจือ

ถึงอย่างไรก็อยู่ด้วยกันมาหลายวันแล้ว ไป่เจี๋ยทำอะไรไม่ถูก ฉิงเค่อรู้แผนการของเจียงเซี่ยน เพราะเคยรับคำสั่งให้เตือนซ่งเสียนอี๋ ตอนที่ดึงซ่งเสียนอี๋ก็มองเจียงเซี่ยนครั้งหนึ่ง พอเห็นว่าเจียงเซี่ยนไม่ทำหน้าแปลกๆ จึงลองช่วยขอความเมตตาให้ซ่งเสียนอี๋ “ท่านหญิง พี่ซ่งทำงานเรียบร้อยมาตลอด หากไม่ใช่ว่าเจอเรื่องที่ลำบากมา ก็คงจะไม่ดื้อรั้นแบบนี้อย่างแน่นอน ท่านหญิงเมตตานางเถิดเจ้าค่ะ!” แล้วก็โน้มน้าวซ่งเสียนอี๋ “พี่ซ่ง พี่มีเรื่องอะไรก็ว่ามา ท่านหญิงเอาใส่ใจคนที่รับใช้อยู่ข้างกายอย่างพวกเราที่สุดแล้ว”

เจียงเซี่ยนไม่เอ่ยสิ่งใด

แต่ซ่งเสียนอี๋กลับอดที่จะส่งสายตาซาบซึ้งไปให้ฉิงเค่อไม่ได้ และเอ่ยว่า “ท่านหญิง ข้า…ข้า…คือฝ่าบาท…” นางพูดไป น้ำตาก็ร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง อยากพูดอะไรก็สะอึกสะอื้นจนฟังไม่รู้ภาษา

เจียงเซี่ยนขมวดคิ้ว ทำสีหน้าคาดเดายาก และสั่งฉิงเค่อกับไป่เจี๋ยว่า “พวกเจ้าเฝ้าอยู่นอกประตู ใครมาก็ไม่ให้เข้ามาทั้งนั้น”

ทั้งสองคนตอบ “เจ้าค่ะ” เสียงเบา และพากันออกจากห้องโถงของตำหนักและปิดประตูตำหนัก

ซ่งเสียนอี๋ถึงร้องไห้ออกมาอย่างแผ่วเบา แล้วคลานเข่าเข้ามากอดขาของเจียงเซี่ยนไว้ นางร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านหญิง แม่นมฟางล่อลวงฝ่าบาทให้ทำเรื่องเลวร้ายลงไป…ท่านหญิง ฝ่าบาทถูกแม่นมฟางล่อลวงจนเสียสติไปแล้ว ทรงเชื่อฟังคำพูดของนางมากและจะฆ่าข้า…ท่านหญิง ในวังนี้มีแต่ท่านที่ช่วยข้าได้แล้ว…”

ชาติก่อนซ่งเสียนอี๋ถูกจ้าวอี้ฆ่าปิดปากจริงๆ ด้วย

เจียงเซี่ยนได้ยินแล้วรู้สึกรังเกียจ

นางตวาดเสียงเบาว่า “ไม่ต้องร้องแล้ว! เช็ดน้ำตาซะ! บอกข้ามาให้ละเอียดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

สองเดือนนี้ซ่งเสียนอี๋เหมือนคนที่เจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจมา พอเจออะไรนิดอะไรหน่อยก็หวาดกลัวมาก นางเห็นเจียงเซี่ยนไม่กลัวจ้าวอี้ กับเฉาไทเฮาก็เชื่อฟังแต่ภายนอก แม้แต่ทายาทของชนชั้นสูงอย่างซื่อจื่อจิ้งไห่โหวก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ดูเหมือนถ่อมตนและเงียบขรึม แต่ความจริงแล้วใช้อำนาจกดขี่คนตามใจชอบ นางเหมือนเห็นท่อนไม้ท่อนหนึ่งลอยน้ำมา เวลานี้ขอแค่กอดไว้ให้แน่น ยังมีแรงเหลือไปสังเกตสีหน้าของเจียงเซี่ยนที่ไหนกัน พอได้ยินก็ยิ่งกลัวว่าจะถูกเจียงเซี่ยนทอดทิ้ง และต่อไปตนเองก็ไม่มีทางรอดอีกแล้ว จึงรีบล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหางตาอย่างเชื่อฟัง และฝืนกลั้นน้ำตาไว้ แล้วบอกเจียงเซี่ยนทีละเรื่องว่า…ซ่งเสียนอี๋บังเอิญพบว่าคนสกุลฟางไม่อยู่ในวังเลยเป็นเวลากว่าสองเดือนแล้ว ฮ่องเต้เหมือนไม่รู้เรื่อง นางนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่คนสกุลฟางอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ก็เมตตาพวกนางในที่ติดตามรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้ ทว่าลับหลังฮ่องเต้กลับพูดจาเหน็บแนมและทำตัวเย็นชา ห้ามแม้กระทั่งติดดอกไม้ประดับที่ทำขึ้นเป็นพิเศษในวังที่ออกมาใหม่ นางจึงอยากรู้ว่าคนสกุลฟางไปทำอะไรกันแน่ ใครจะรู้ว่ากลับสืบเจอว่านางตั้งครรภ์ ซ่งเสียนอี๋รู้ว่าสามีและลูกชายกับลูกสาวของคนสกุลฟางต่างไม่อยู่เมืองหลวง สงสัยว่าคนสกุลฟางลอบมีความสัมพันธ์กับใคร จึงไปบอกฮ่องเต้ทันที คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ไม่เพียงแต่ไม่ลงโทษคนสกุลฟาง ทว่ายังให้นางเงียบปากไว้ บอกว่าหากไทเฮารู้ ฮ่องเต้เองก็ต้องโดนลงโทษด้วย ไว้เขาสืบเรื่องของคนสกุลฟางแน่ชัดแล้วค่อยจัดการอย่างลับๆ ก็ไม่สาย นางจึงตกลง แต่กลับบังเอิญพบผงสลอดในชาที่นางมักจะดื่ม นางถึงเพิ่งคิดได้ว่าคนสกุลฟางน่าจะตั้งท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้ นางตกใจจนไม่กล้ากินไม่กล้าดื่ม กำลังไม่รู้จะทำอย่างไรดี เจียงเซี่ยนก็ให้นางมารับใช้ข้างกาย

เจียงเซี่ยนได้ยินแล้วยิ้มเยาะอยู่ในใจ

ดื่มผงสลอดจะท้องเสีย จ้าวอี้ก็สามารถย้ายซ่งเสียนอี๋ออกจากวังเพราะนางป่วยได้ พออยู่นอกวังแล้ว อยากจัดการนางในคนหนึ่งก็สามารถทำได้โดยไม่มีใครรู้

แต่ซ่งเสียนอี๋ก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน

หากนางไม่ได้พบว่าจ้าวอี้กับคนสกุลฟางลอบมีความสัมพันธ์กันตั้งนานแล้ว จะมั่นใจขนาดนี้ได้อย่างไรว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของจ้าวอี้?

ใส่ร้ายฮ่องเต้ มีโทษริบทรัพย์และประหารทั้งตระกูล

นางรับใช้อยู่ข้างกายจ้าวอี้ ไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจกฎนี้

อาศัยเพียงการคาดเดาก็มั่นใจว่าคนสกุลฟางตั้งท้องลูกของจ้าวอี้…คำพูดของนางก็หลอกได้เพียงเด็กสาวอายุสิบสองสิบสามปีเท่านั้นจริงๆ

ส่วนที่คนสกุลฟางเข้มงวดกับนางในที่อยู่ข้างกายจ้าวอี้มากเกินไปนั้น ทั้งหมดคงจะเป็นความริษยาระหว่างผู้หญิง ไม่อย่างนั้นซ่งเสียนอี๋ก็คงจะไม่พบว่าคนสกุลฟางไม่อยู่ในวังและแอบไปสืบเรื่องของนางอย่างลับๆ แถมยังจะไปบอกจ้าวอี้ตรงๆ เพราะตื่นตระหนกเกินไป และก็คงไม่คิดว่าจะนำภัยอันตรายมาสู่ตนเองเช่นกัน

แต่เจียงเซี่ยนคิดว่า ซ่งเสียนอี๋ยิ่งมีแผนการ ยิ่งโหดเหี้ยมเท่าไรก็ยิ่งดี

เพราะเป้าหมายสุดท้ายของนางคือให้ซ่งเสียนอี๋เป็นแม่ในนามของจ้าวสี่

แบบนี้ถึงจะสามารถปกป้องตนเองเวลาสู้กับคนสกุลฟางได้

ไม่อย่างนั้นให้คนสกุลฟางได้เปรียบแล้วยังมีความหมายอะไร

ดีที่สุดคือให้คนสกุลฟางไปยมโลกแล้วก็ยังไม่ยอมวางมือถึงจะดี

“เจ้าแน่ใจหรือว่าเด็กคนนั้นเป็นโอรสของฝ่าบาท?” เจียงเซี่ยนถามอย่างจริงจัง “หากเกิดอะไรผิดพลาด เจ้าก็รู้ผลที่ตามมาดี”

“ข้าแน่ใจเจ้าค่ะ” ซ่งเสียนอี๋พยักหน้าทั้งที่ตาแดง

เจียงเซี่ยนจ้องตานางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เย็นชาและเฉยเมย

เสียงจากนาฬิกาในห้องเหมือนหยาดฝนที่หยดลงบนแผ่นหิน ราวกับสาบานว่าจะหยดจนแผ่นหินเป็นรูถึงจะยอมวางมือ

สีหน้าของซ่งเสียนอี๋ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนภายใต้การจ้องมองของเจียงเซี่ยน

แต่สายตาของเจียงเซี่ยนกลับเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด จมอยู่ในห้วงเวลา และสามารถรอต่อไปได้ตลอดไป

ซ่งเสียนอี๋กระวนกระวายเป็นอย่างมาก พลางสับเปลี่ยนศูนย์ถ่วงระหว่างขาซ้ายกับขาขวาทีหนึ่งอย่างไม่สบายใจนัก

ทว่าจู่ๆ เจียงเซี่ยนก็ละสายตาไป และเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ดูเหมือนเจ้าไม่มีอะไรจะบอกข้าแล้ว…เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่เถอะ! ไว้ต่อไปปลอดภัยแล้ว ข้าส่งเจ้าออกจากวังแล้วกัน”

นี่เป็นเรื่องที่ออกจากวังก็จบแล้วหรือ?

“ไม่ ไม่ ไม่” ซ่งเสียนอี๋เอ่ยอย่างตื่นตระหนก “ท่านหญิง ข้าออกจากวังไม่ได้ ฝ่าบาทกับแม่นมฟางไม่มีทางปล่อยข้าไปอย่างเด็ดขาด…”

เจียงเซี่ยนยกถ้วยชาที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาดื่มชาอึกหนึ่ง แลดูเหมือนไม่ค่อยเห็นด้วยนัก

ซ่งเสียนอี๋จึงเข้าใจทันที

เจียงเซี่ยนไม่เชื่อในสิ่งที่นางบอกก่อนหน้านี้เลย

ซ่งเสียนอี๋มองเจียงเซี่ยนที่ผิวขาวราวกับหิมะ ใบหน้าที่เยาว์วัยราวกับดอกสาลี่ที่บานบนยอดไม้ในเดือนสามนางตกใจจนตัวสั่น นึกถึงคำพูดที่อาจารย์ของนางเคยเอ่ยกับนาง ‘คนที่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปในวังนี้ได้ ไม่มีใครเป็นคนโง่สักคน คนอื่นไม่พูด ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่ไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้’

ความหนาวเย็นลุกลามจากปลายนิ้วของซ่งเสียนอี๋ขึ้นมาตลอดทาง แม้แต่หัวใจก็หนาวจนสั่น

“ท่านหญิง” นางกัดฟัน และเอ่ยเสียงสั่นว่า “ข้า…ข้าเคยเห็นแม่นมฟางล่อลวงฝ่าบาท…ขันทีเสี่ยวโต้วจึก็รู้เช่นกัน…พวกเขามักจะลอบพบกันในห้องอุ่นหลังท้องพระคลัง…นางกลัวจะสูญเสียความรักและความไว้วางใจจากฝ่าบาท จึงเคยให้ฝ่าบาทเขียนกลอนบทหนึ่งให้นาง บนกลอนประทับตราส่วนพระองค์ของฝ่าบาท กลอนบทนั้นอยู่ในกำมือข้า…”

เขียนกลอนรัก และยังประทับตราของฮ่องเต้ผู้เป็นตัวแทนแคว้นด้วย

เจียงเซี่ยนหลับตาลง

ยังมีใครโง่กว่าจ้าวอี้อีกหรือ?

หลี่เชียนแค่เขียนสิ่งที่ยืนยันความจงรักภักดี นางกลัวถูกคนพบเข้า จึงพกติดตัวไปด้วย…ทว่าคนสกุลฟางกลับปล่อยให้กลอนรักของจ้าวอี้ตกอยู่ในมือของซ่งเสียนอี๋

ชาติก่อนนางถูกคนอย่างคนสกุลฟางหลอกได้อย่างไร…

นางก็ไม่ได้ฉลาดมากขนาดนั้นเสียหน่อย!

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “กลอนรักนั้นอยู่ที่ไหน?”

ซ่งเสียนอี๋รู้สึกกลัวว่าเจียงเซี่ยนจะแย่งไพ่ตายไปขึ้นมาทันที

เจียงเซี่ยนเบ้ปากอย่างดูถูก และเหยียดหยามซ่งเสียนอี๋อย่างไม่ปิดบังแม้แต่นิดเดียว “เจ้ากุมชะตาชีวิตตนเองอยู่ในมือ ถ้าอยากรอดก็ต้องเอาออกมา เจ้าคิดว่าข้าอยากจะดูของที่น่ารำคาญนั้นหรือ ข้ากลัวว่าเจ้าจะซ่อนไม่มิดชิดและถูกใครเอาไป ตอนที่ให้เจ้าแสดงหลักฐาน เจ้าเอาออกมาไม่ได้ก็จะถูกฝ่ายตรงข้ามย้อนกลับมาเล่นงานเอา!”

ซ่งเสียนอี๋หน้าร้อนผ่าว แล้วปลดถุงเงินผ้าไหมหังสีน้ำเงินอมเขียวปักลายดอกชาภูเขาสีชมพูกลางเก่ากลางใหม่ที่แขวนอยู่ตรงเอวและยื่นให้เจียงเซี่ยน “ข้าพกของติดตัวอยู่…”

———————–

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท