ไป๋ซู่เห็นด้วยกับความคิดของเจียงเซี่ยนมาก
นางเป็นคนที่หมั้นแล้ว ก็ถูกชวนไปเล่นบนน้ำแข็งที่ทะเลสาบสือช่าด้วย ก็เพียงเพื่อปิดบังเรื่องน่าอายให้เหล่าคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ที่ไม่ถูกเลือกในท้ายที่สุดเท่านั้น
พอถึงวันที่สิบ เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว แต่งหน้าแต่งตัวอยู่พักหนึ่ง บอกลาไทฮองไทเฮาแล้ว เจียงเซี่ยนจึงไปที่วังเฉียนชิง
จ้าวอี้เห็นนางห่อตัวด้วยเสื้อคลุมหนังเตียวที่ดำขลับแวววาว ขับให้ใบหน้าเล็กขาวผ่องเหมือนหิมะ นัยน์ตาคู่ที่สีดำและสีขาวแยกกันอย่างชัดเจนยิ่งเปล่งแสงแวววาวราวกับอัญมณี ทันใดนั้นก็รู้สึกภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติขึ้นมา
เขาเอ่ยว่า “เจ้ามานั่งบนรถข้าเถอะ!”
“งั้นจ่างจูจะทำอย่างไร?” เจียงเซี่ยนปฏิเสธโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ “หม่อมฉันนั่งกับนางดีกว่า ยังได้คุยกันด้วย”
คนมองจ้าวอี้อยู่มากขนาดนั้น ไม่รู้ว่าเพราะจ้าวอี้กลัวจะเสียหน้าหรือชินกับความสัมพันธ์แบบนี้ระหว่างทั้งสองคนแล้ว จึงไม่ได้บังคับ และขึ้นรถพระที่นั่งไปทะเลสาบสือช่าคนเดียว
พวกเจียงลวี่รออยู่ที่ทะเลสาบสือช่าตั้งนานแล้ว
ตอนที่เจียงเซี่ยนลงจากรถ ยังเห็นอ๋องเหลียวด้วย
เขาล้อมวงคุยกับหลายคน และในนั้นก็มีจ้าวเซี่ยวด้วย
อาจจะเพราะได้ยินเสียง จ้าวเซี่ยวจึงเงยหน้ามองมา เจียงเซี่ยนบังเอิญมองไป ทั้งสองคนจึงสบสายตากันกลางอากาศพอดี
จ้าวเซี่ยวยิ้มให้นางอย่างสุภาพ
แต่เจียงเซี่ยนกลับพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ถือว่าได้ทักทายแล้ว
หลังจากนั้นซุนเต๋อกงก็มารับนางไปที่ห้องอุ่นเล็กๆ ที่สร้างขึ้นมาชั่วคราวข้างๆ
พวกหานถงซินก็มาถึงแล้ว เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่เป็นสองคนที่มาช้าที่สุด ไช่หรูอี้แนะนำคนอื่นในห้องให้กับเจียงเซี่ยนและไป๋ซู่อย่างเรียบร้อย
คุณหนูสองคนของจวนอันกั๋วกงต่างเป็นหลานสาวของอันกั๋วกง เจียงเซี่ยนไม่เคยเจอ จึงตั้งใจมองเล็กน้อย
ทั้งสองคนต่างหน้าตาสะสวย ทว่าท่าทางแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งสดใสสวยงาม อีกคนสุภาพงดงาม
เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็อยากหัวเราะ
ส่งสตรีสองคนที่งามใกล้เคียงกันเข้าวังมาพร้อมกัน มีแต่จะทำให้เลือกใครสักคนได้ลำบาก จึงให้พวกนางเป็นสนมอยู่ในวังกันทั้งคู่
มิน่าเล่าหลายปีนี้จวนอันกั๋วกงยิ่งอยู่ก็ยิ่งแย่
คุณหนูใหญ่ของตระกูลอันลู่โหวชื่อเล่นว่าเป่าเหลียน เจียงเซี่ยนเคยเจอไม่กี่ครั้ง แต่นางก็เป็นคนที่ขาวผ่องและน่าเอ็นดู มองไปแวบแรกก็ไม่ได้สนใจเหมือนกับเติ้งเฉิงลู่พี่ชายแท้ๆ ของนาง
นางเข้ามาคารวะเจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่อย่างเขินอาย
ส่วนคุณหนูสองคนของตระกูลราชเลขาธิการวังที่มาใหม่นั้น…หน้าตาขี้เหร่ไปหน่อยจริงๆ ที่สำคัญพวกนางยังเป็นลูกสาวของขุนนางฝ่ายบุ๋นด้วย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ค่อยชอบคนที่มาจากตระกูลที่สร้างความดีความชอบ ไม่เพียงแต่เย็นชากับเจียงเซี่ยน ทว่ายังดูถูกและเมินเฉยอย่างที่ดูถูกทหารด้วย กลับเป็นลูกสาวของซูเพ่ยเหวินรองเสนาบดีกรมพิธีการที่ไม่เพียงแต่หน้าตาดี ยังทำอะไรเหมาะสมและรู้กาลเทศะ เจียงเซี่ยนคิดว่าหากตนเองเป็นจ้าวอี้ ก็คาดว่าเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่จะเลือกนาง
ทุกคนคารวะ แล้วก็นั่งล้อมวงทำให้ร่างกายอบอุ่นข้างกองไฟกองใหญ่ในห้องอุ่น
หานถงซินนั่งตีหน้าขรึมอยู่ตรงนั้น นางไม่มองเจียงเซี่ยนแม้แต่ครั้งเดียว และลากไช่หรูอี้ไปซุบซิบคุยกัน
แต่ไช่หรูอี้กลับอยู่เป็นมากกว่าหานถงซิน นางยิ้มพลางฟังหานถงซินพูด และลากเจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง “…ท่านหญิงมาพร้อมกับฝ่าบาทใช่หรือไม่? ได้ยินว่าวันนี้คนของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครจะเล่นปิงฉิว[1]กับหน่วยองครักษ์? ต้องยอดเยี่ยมมากอย่างแน่นอน!” และเอ่ยอีกว่า “ท่านหญิงชิงฮุ่ย ขอแสดงความยินดีกับการหมั้นของท่านด้วย วันที่มอบของหมั้นชุดเล็กอย่าลืมให้บัตรเชิญข้าล่ะ ข้าจะไปร่วมสนุกด้วย”
เจียงเซี่ยนเห็นนางสีหน้าเหมือนเดิม หากไม่ใช่ว่าชาติก่อนนางทำเรื่องเหลวไหลเหล่านั้น ก็ยังดูไม่ออกจริงๆ ว่านางชอบเฉาเซวียนขนาดนั้น
“มีเล่นปิงฉิวด้วยหรือ?” เจียงเซี่ยนนับถือนางเล็กน้อย น้ำเสียงจึงอ่อนโยนลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ข้าไม่รู้เรื่อง หลายวันนั้นที่ออกจากวังข้าเล่นไพ่อยู่เป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาตลอด ไม่ได้อ่านราชโองการอย่างละเอียดด้วยซ้ำ”
หานถงซินได้ยินแล้วก็เอ่ยว่า “อืม” อย่างดูถูก เหมือนนางกำลังโกหก
คุณหนูใหญ่เติ้งแห่งจวนอันลู่โหวที่นั่งก้มหน้าดื่มชาอยู่ข้างๆ เพียงลำพังและแลดูเงียบเป็นพิเศษได้ยินแล้วก็อดที่จะเงยหน้ามองเจียงเซี่ยนครั้งหนึ่งไม่ได้ ดวงตาโตที่กลมนั้นชุ่มชื้นและแวววาว ทำให้เจียงเซี่ยนคิดถึงสุนัขพันธุ์ปักกิ่งที่เลี้ยงในวังเมื่อก่อน
นางยิ้มให้คุณหนูใหญ่เติ้งอย่างเป็นมิตร
คุณหนูใหญ่เติ้งรีบก้มหน้าลงเหมือนกระต่ายน้อยที่ตื่นกลัว
เจียงเซี่ยนเห็นแล้วสนุก จึงเม้มปากยิ้ม
เพียงชั่วพริบตาหานถงซินก็หันไปหาไป๋ซู่แล้ว “พี่จ่างจู อีกไม่นานท่านก็จะแต่งงานแล้ว วันที่หนาวขนาดนี้ ท่านไม่ทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ในบ้านจะทันหรือ?”
วันรุ่งขึ้นหลังจากสตรีแต่งงาน ญาติของทั้งสองฝ่ายจะพบกันเป็นครั้งแรก สะใภ้ใหม่ต้องทำรองเท้ากับถุงเท้าให้ผู้อาวุโสในครอบครัวของสามีทุกคน อย่างแรกเป็นการแสดงฝีมือด้านงานเย็บปักถักร้อยของตนเอง และบอกว่าตนเองเป็นสตรีที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมอันดีงาม อย่างที่สองเป็นการแสดงว่าตนเองจะกตัญญูกับผู้อาวุโสในครอบครัว และเป็นสะใภ้ที่นอบน้อมและจิตใจดี
ไป๋ซู่ได้ยินก็เผยสีหน้าแปลกใจออกมา และเอ่ยว่า “ข้าอยู่ในวังเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วรองเท้ากับถุงเท้าในวันที่ญาติของทั้งสองฝ่ายพบกันเป็นครั้งแรกนั้นสะใภ้ใหม่ต้องเป็นคนเย็บเองกับมือ…ข้าคิดว่าใครก็ได้…จึงให้คนของกองพระภูษาช่วยทำแล้ว…” นางเอ่ยพลางถามคุณหนูสองคนของจวนอันกั๋วกง “ตอนนี้เมืองหลวงนิยมแบบนี้หรือเปล่า?”
คุณหนูสองคนของจวนอันกั๋วกงลูบแขนเสื้อและยิ้ม พลางเอ่ยว่า “เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นตระกูลแบบไหนเช่นกัน! อย่างเฉิงเอินกง ก็คงจะไม่พิถีพิถันมากขนาดนั้นอย่างแน่นอน”
มีสตรีที่ทำงานเย็บปักถักร้อยได้ล้ำลึกมากขนาดนั้นที่ไหนกัน ตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจบางตระกูลก็จะเชิญช่างเย็บปักถักร้อยที่มีชื่อเสียงหรือคนที่ทำงานเย็บปักถักร้อยดีมากแถบนี้มาช่วยทำรองเท้ากับถุงเท้า เพื่อพิธีแต่งงานที่สวยงาม
ไป๋ซู่เอ่ยว่า “อ้อ” และตบหน้าอกอย่างแสร้งทำเป็นวางใจ พลางเอ่ยว่า “ทำข้าตกใจหมดเลย! ข้ายังคิดว่าตอนนี้สังคมเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงจากตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจหรือตระกูลที่ค่อนข้างยากจนแต่งงานก็ต้องทำของขวัญสำหรับมอบให้ในการพบกันครั้งแรกเองกับมือทั้งนั้น”
หานถงซินโกรธจนหน้าเขียว ยั่วยุไป๋ซู่ไม่ได้ ก็ยิ่งยั่วยุเจียงเซี่ยนไม่ขึ้น นางจึงถลึงตาใส่คุณหนูสองคนของจวนอันกั๋วกงทีหนึ่งเหมือนพาลโกรธ
ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นนางอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ และคิดแต่จะคุยกับเจียงเซี่ยนเท่านั้น “ท่านหญิง ไข่มุกเม็ดนี้บนรองเท้าของท่านใหญ่มาก ดูความเงางามนี้ น่าจะเป็นไข่มุกเหอผู่ใช่หรือไม่? สองสามปีก่อนข้าก็ได้ไข่มุกแบบนี้มาสองเม็ดเหมือนกัน รู้สึกว่าฝังบนปิ่นปักผมไข่มุกก็ไม่มีอัญมณีชิ้นอื่นที่เข้ากันและเรียบเกินไป แล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี จึงวางไว้อย่างนั้นมาตลอด ท่านหญิงก็ช่างคิดที่ฝังไว้บนรองเท้า ไว้วันหลังข้าจะกลับไปทำรองเท้าแบบท่านหญิงด้วยสักคู่”
ทว่าอีกคนกลับเอ่ยว่า “ท่านหญิงเท้าเล็ก ก็ย่อมใส่สวยอยู่แล้ว เจ้าเท้าใหญ่ขนาดนั้น จะเทียบกับท่านหญิงได้อย่างไร ระวังเลียนแบบคนอื่นแล้วได้ผลตรงข้าม!”
“เป็นไปไม่ได้กระมัง!” คนนั้นเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ข้าคิดว่าเท้าของข้าพอใช้ได้ แต่มือของท่านหญิงสวยจริงๆ ผิวขาวนวลผ่องราวกับหยก…”
ทั้งสองคนร่วมมือกันประจบประแจง จนทำให้คุณหนูสองคนของตระกูลวังซุบซิบคุยกับคุณหนูของตระกูลซู และปรายตามองพวกเจียงเซี่ยนตลอด สีหน้าฉายแววดูถูกเล็กน้อย
เป็นเรื่องยากมากจริงๆ ที่เด็กสาวจากตระกูลขุนนางฝ่ายบุ๋นจะเล่นกับเด็กสาวจากตระกูลแม่ทัพ!
เจียงเซี่ยนถอนหายใจอยู่ในใจ และรู้สึกเบื่อมาก สู้ออกไปดูเหล่าทหารเล่นปิงฉิวดีกว่า
นางส่งสายตาให้ไป๋ซู่ ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายช่วยนางปิดบัง และหาข้ออ้างสักข้อออกจากห้องอุ่น
ตอนที่ออกจากวังยังมีหิมะปลิวว่อนอยู่บนท้องฟ้าเล็กน้อย จู่ๆ ตอนนี้อากาศก็เปลี่ยนเป็นปลอดโปร่งมาครู่หนึ่งแล้ว
แสงแดดที่สว่างไสวสาดส่องลงบนพื้นหิมะ จนตาลายและแสบตา ทำให้เจียงเซี่ยนอดที่จะหรี่ตาไม่ได้
“อย่ามอง!” จู่ๆ ก็มีคนพูดอยู่ข้างกายนาง “มองมากไปจะเป็นโรคตา” คนๆ นั้นพูดอยู่ก็หยิบหมวกม่านตาข่ายใบหนึ่งออกมาสวมลงบนศีรษะของนางในทันใด
เจียงเซี่ยนดึงหมวกม่านตาข่ายลงทันที แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มได้แสบตากว่าหิมะเสียอีกของหลี่เชียน
———————