“อ้อ!” เจียงเซี่ยนสีหน้าแดงปลั่ง แล้วหมุนตัวจากไป
นางถามคำถามที่โง่เขลาขนาดนั้นออกไปได้อย่างไร!
หลี่เชียนมองภาพเงาด้านหลังของนางและหัวเราะ
เจียงเซี่ยนไม่กล้าหันกลับไป จึงมุ่งตรงเข้าไปในห้องอุ่น
คุณหนูสกุลซูกำลังพูด คนอื่นต่างก็ฟังกันอย่างเงียบๆ “… ‘ฝังแผ่นเหล็กในพื้นรองเท้า พอทำท่าวิ่งอย่างรวดเร็วก็เร็วราวกับขนนก’ ยังมีอีกแบบ ‘ใต้รองเท้ามีฟันแหลม ทำให้ยึดเกาะน้ำแข็งและคนไม่ล้ม’”
ทุกคนที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวต่างมองมา คุณหนูตระกูลซูที่พูดก็หยุดหัวข้อสนทนาไว้ แล้วยิ้มอย่างเป็นมิตรพลางเอ่ยว่า “ท่านหญิง กลับมาแล้ว หิมะข้างนอกหยุดหรือยัง? ท่านรีบมานั่งผิงไฟเถอะ! ถึงอย่างไรเตาไฟใต้ห้องอุ่นนี้ก็ใช้อิฐก่อขึ้นมาใหม่ ข้าจึงมักจะรู้สึกว่ามีกลิ่นนิดหน่อย ถ่านกระดูกสีเงินนี้ดีกว่า ทั้งอุ่นและไม่มีกลิ่นแปลก”
ไป๋ซู่เข้าไปช่วยเจียงเซี่ยนถอดเสื้อคลุมกับฉิงเค่อ
“หิมะหยุดตั้งนานแล้ว” เจียงเซี่ยนตอบนาง “เจ้ากำลังพูดเรื่องเดินเล่นบนน้ำแข็งอยู่หรือ? คุณหนูซูรู้เยอะจริงๆ!”
คุณหนูสกุลซูเอ่ยด้วยหน้าตาสดใสว่า “ใช่แล้ว! คิดไม่ถึงว่าท่านหญิงก็รู้เหมือนกัน ข้าอ่านเจอในหนังสือ แต่ยังไม่เคยเห็นจริงๆ ภูมิลำเนาเดิมของตระกูลข้าจินหวาเจ้อเจียง แม้ฤดูหนาวที่นั่นจะหิมะตก แต่หิมะก็ร่วนเช่นกัน จึงเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งได้น้อยมาก ทว่าพอเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งแล้วก็ไม่กล้าเล่นบนผิวทะเลสาบเช่นกัน เพราะจะตกลงไปในทะเลสาบ ตอนที่ข้าเพิ่งมาจึงกลัวมาก เพราะข้ามาตามริมฝั่งทะเลสาบสือช่า”
หานถงซินหัวเราะ เหมือนกำลังหัวเราะเยาะที่คุณหนูตระกูลซูขี้ขลาด
คุณหนูเติ้งของตระกูลอันลู่โหวหน้าตาไม่พอใจ และปรายตามองนางครั้งหนึ่ง
คุณหนูสองคนของราชเลขาธิการวังก็แสดงออกอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น ด้วยการยิ้มเยาะดูถูกหานถงซิน
คาดว่าปกติหานถงซินคงจะทำให้คนเบื่อหน่ายแบบนี้ไม่น้อย ไช่หรูอี้สีหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ ทว่ากลับเปลี่ยนเรื่องให้คุณหนูตระกูลซูทันที โดยเอ่ยว่า “แต่ข้ากลับอิจฉาน้องหญิง ได้ติดตามพ่อตั้งแต่ใต้จรดเหนือ เปิดหูเปิดตา ไม่เหมือนข้าที่เติบโตในเมืองหลวงตั้งแต่เด็ก และยังไม่เคยกลับบ้านเกิดที่เจียงซีเลย!”
เจียงเซี่ยนไม่รู้ว่าภูมิลำเนาเดิมของจวนจิ้นอันโหวคือเจียงซี พอได้ยินจึงเอ่ยว่า “ภูมิลำเนาเดิมของตระกูลพวกท่านคือเจียงซีหรือ? ที่นั่นก็เป็นสถานที่ที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นเกิดเช่นกัน ได้ยินว่าราชสำนักมีกฎว่าขุนนางที่มีภูมิลำเนาอยู่เจียงซีห้ามเข้ากรมคลัง จะเห็นได้ว่าขุนนางที่มีภูมิลำเนาอยู่เจียงซีเก่งมาก”
หัวข้อสนทนาของนางทำให้ผู้หญิงเหล่านี้แปลกใจมาก อย่าว่าแต่ไช่หรูอี้เลย แม้แต่คุณหนูใหญ่ตระกูลซูก็ตอบไม่ได้ไปชั่วขณะเช่นกัน กลับเป็นคุณหนูสองคนของจวนอันกั๋วกงที่ฉลาดมาก และถามเจียงเซี่ยนด้วยท่าทางงดงาม “ท่านหญิง นั่นเป็นเพราะอะไรหรือ?”
เพราะราชสำนักกลัวคนรวมตัวกันก่อตั้งพรรค เจียงซีกับเจียงหนานเป็นพื้นที่ที่ขุนนางเกิดมากที่สุด
ทว่าเจียงเซี่ยนเห็นทุกคนดูตั้งสติได้แล้ว และรู้ว่าตนเองพูดผิดประเด็นไป จึงเอ่ยอย่างขอไปทีว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแค่เคยได้ยินใครพูดถึงแว่วๆ” แล้วนางก็เปลี่ยนเรื่อง “เดี๋ยวพวกเจ้าจะทำอะไรต่อ? จะนั่งรอรับประทานอาหารมื้อเที่ยงอยู่ในห้องอุ่นแบบนี้ตลอดหรือ?”
คุณหนูตระกูลซูรีบเอ่ยว่า “ท่านหญิงมีความคิดอะไรหรือ?”
“ลองดูว่าพี่ใหญ่ของข้าจะมาหาข้าหรือเปล่า” เจียงเซี่ยนอยากหลุดพ้นจากผู้หญิงกลุ่มนี้และออกไปดูเอง “หากเขามาเยี่ยมข้า ข้าก็อาจจะออกไปกับเขากระมัง!”
นางเอ่ยจบ คุณหนูสองคนของจวนอันกั๋วกงก็จ้องเจียงเซี่ยนด้วยดวงตาที่ทอประกายวิบวับทั้งสองข้างทันที คนหนึ่งเอ่ยว่า “เวลานี้ซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงรับราชการในเมืองหลวงแล้ว ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงไม่ค่อยดีใจงั้นหรือ”
อีกคนเอ่ยว่า “ไม่ช้าก็เร็วซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงก็ต้องกลับมา ที่ไปต้าถงก็เป็นเพียงการฝึกฝนเท่านั้น จวนเจิ้นกั๋วกงมีแม่ทัพที่มีชื่อเสียงเกิดทุกรุ่นเลยจริงๆ”
ความเลื่อมใสศรัทธาท่วมท้นจนสัมผัสได้
เจียงเซี่ยนเกือบจะหัวเราะออกมา
บางทีเป้าหมายของจวนอันกั๋วกงอาจจะไม่ใช่จ้าวอี้ด้วยซ้ำแต่เป็นเจียงลวี่ต่างหาก?
เจียงเซี่ยนถามคุณหนูสองคนของจวนอันกั๋วกง “ในจวนพวกเจ้าอยู่อันดับที่เท่าไร?”
นางตอบด้วยหน้าตางดงามว่า “ข้าอยู่อันดับที่ห้า ส่วนน้องสาวอยู่อันดับที่เก้า”
น่าจะเป็นคุณหนูสองคนที่สวยที่สุดในจวนอันกั๋วกงแล้ว
เจียงเซี่ยนพยักหน้า
ไป่เจี๋ยวิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น นางคารวะเจียงเซี่ยนลวกๆ อย่างเสียมารยาทเล็กน้อย และเอ่ยเสียงดังว่า “ท่านหญิง ท่านหญิง คุณชายใหญ่ชนะแล้วเจ้าค่ะ กองบัญชาการปัญจทิศรักษานครที่ซื่อจื่อบัญชาการชนะหน่วยองครักษ์ที่ใต้เท้าเกาบัญชาการแล้ว ฝ่าบาทตรัสว่า จะพระราชทานทองคำหนึ่งร้อยตำลึงให้เป็นรางวัลแก่ซื่อจื่อเจ้าค่ะ!”
“จริงหรือ? จริงหรือ?” คุณหนูสองคนของจวนอันกั๋วกงรั้งไป่เจี๋ยไว้และถาม พวกนางดีใจกว่าพวกนางชนะเองเสียอีก
แม้แต่คุณหนูเติ้งแห่งจวนอันลู่โหวที่ไม่ค่อยพูดก็มองไป่เจี๋ยด้วยดวงตาที่เป็นประกายระยิบระยับทั้งสองข้างเช่นกัน
ไป่เจี๋ยพยักหน้าติดกันหลายครั้ง และเอ่ยว่า “ผู้ติดตามที่ชื่อฝูเซิงของซื่อจื่อตั้งใจมาบอกข้าโดยเฉพาะ และยังให้ข้ามาบอกท่านหญิงว่าฝ่าบาทเลี้ยงฉลองและพระราชทานรางวัลให้แก่กองบัญชาการปัญจทิศรักษานคร ดังนั้นอาหารมื้อเที่ยงซื่อจื่อจึงมาไม่ได้แล้ว ไว้รับประทานอาหารมื้อเที่ยงแล้ว ซื่อจื่อจะมาและไปเดินเล่นข้างนอกเป็นเพื่อนท่านหญิง ซื่อจื่อยังให้ฝูเซิงมาถามด้วยว่าท่านหญิงเป็นอย่างไรบ้าง กลัวท่านหญิงจะเป็นหวัดเจ้าค่ะ”
เจียงเซี่ยนได้ยินแล้วก็มองไป่เจี๋ยครั้งหนึ่ง
ไป่เจี๋ยรีบเอ่ยว่า “ข้าตอบไปว่า ท่านหญิงเฝ้ารอให้ซื่อจื่อมาอยู่ตลอดเวลา ยังเคยออกจากห้องอุ่นและมองไปที่ทะเลสาบสือช่าไกลๆ พักหนึ่งด้วยเจ้าค่ะ”
เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “อืม” อย่างพอใจ
พวกคุณหนูสกุลซูต่างพากันแสดงความยินดีกับนาง แม้แต่หานถงซินก็รั้งไป่เจี๋ยไว้และถามไม่หยุดเช่นกัน พอไป๋เจี๋ยตอบไม่ได้ นางก็จะให้ไป่เจี๋ยไปเรียกผู้ติดตามของเจียงลวี่เข้ามาถามอย่างละเอียด จนกระทั่งไป่เจี๋ยบอกอย่างลำบากใจว่าฝูเซิงกลับไปแล้ว หานถงซินถึงได้หยุด แต่หนึ่งในคุณหนูสองคนของตระกูลซ่งเอ่ยว่า “ไป่เจี๋ย เจ้าเรียกซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงว่าคุณชายใหญ่ พวกเจ้าเรียกเขาแบบนี้เป็นการส่วนตัวกันหมดหรือ?” อีกคนเอ่ยว่า “ทำไมพวกเจ้าถึงเรียกเขาว่าคุณชายใหญ่?”
แน่นอนว่าไป่เจี๋ยไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เจียงลวี่ นางยิ้มอย่างงุนงงและเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ! ตอนที่ข้าเข้าวัง ทุกคนก็เรียกซื่อจื่ออย่างเคารพแบบนี้กันหมด พวกเราจึงเรียกแบบนี้เหมือนกัน!”
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนก็ขี้เกียจที่จะคุยเรื่องพี่ชายของตนเองกับพวกนางเช่นกัน และรู้สึกว่าไป่เจี๋ยคิดข้ออ้างนี้ได้ดีมากจริงๆ จึงยิ้มและเอ่ยทันทีว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่ข้าจำความได้ ทุกคนก็เริ่มเรียกท่านพี่แบบนี้แล้ว”
ทุกคนไม่คล้อยตาม และจะให้เจียงเซี่ยนเล่าเหตุผลของเรื่องนี้มาให้ได้
เสียงหัวเราะดังขึ้นในห้องอุ่นชั่วขณะ คึกคักมาก
ซุนเต๋อกงมาจัดงานเลี้ยงให้อย่างนอมน้อม
ทุกคนตีหน้าขรึม นั่งลงอย่างเรียบร้อย และกล่าวขอบคุณฮ่องเต้
ซุนเต๋อกงว่านอนสอนง่าย เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพอ่อนโยน ทว่าตอนที่จัดงานเลี้ยงกลับยกถ้วยเล็กที่ชุบเงินและสลักลายดอกเหมยมาวางตรงหน้าเจียงเซี่ยนด้วยตนเอง
คนอื่นต่างแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น มีแต่หานถงซินที่ถาม “นั่นคืออะไร? ทำไมพวกเราถึงไม่มี?”
ซุนเต๋อกงยิ้มและเอ่ยว่า “ท่านหญิงชิงอี๋ ท่านหญิงเจียหนานไม่รับประทานรังนก นี่คือเห็ดหูหนูขาวขอรับ”
หานถงซินถามต่ออย่างยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ “ทำไมเป่าหนิงถึงไม่กินรังนกและต้องกินเห็ดหูหนูขาว?”
ซุนเต๋อกงมองเจียงเซี่ยนครั้งหนึ่ง เห็นเจียงเซี่ยนสีหน้าไร้อารมณ์ ท่าทางเย็นชา ทั้งไม่เหมือนโกรธแล้วก็ไม่ได้ห้าม จึงจำต้องเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านหญิงบอกว่า นั่นเป็นน้ำลายของนกนางแอ่น ท่านหญิงจึงไม่รับประทานรังนกตั้งแต่เด็กขอรับ”
คนในห้องอุ่นนอกจากไป๋ซู่ก็รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาในชั่วพริบตา
เจียงเซี่ยนถึงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ทานอาหารเถอะ! เดี๋ยวตอนที่ฝ่าบาทเสด็จมาก็จะไม่มีแม้แต่โอกาสแอบยัดของว่างลงไปในท้องแล้ว”
ทุกคนถึงได้เริ่มรับประทานอาหารมื้อเที่ยง
ทว่าคุณหนูสองคนของตระกูลราชเลขาธิการวังกลับแอบเอาถ้วยที่ใส่รังนกอยู่ไปวางไว้ข้างหนึ่ง
เจียงเซี่ยนก้มหน้าลง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
คุณหนูสองคนของตระกูลราชเลขาธิการวังยังคงน่าสนใจมาก
หลังจากนางรู้จากหมอหลวงเถียนว่ารังนกคืออะไร ก็ไม่เคยกินอีกเลยเช่นกัน
——————-