แต่ไม่ว่าเจียงเซี่ยนจะรู้สึกหดหู่แค่ไหน ป้าสะใภ้ใหญ่เข้าวังมาแล้ว อย่างไรนางก็ต้องไปทักทายสักหน่อยอยู่ดี
นางรับประทานอาหารเช้าอย่างลวกๆ และไปที่ห้องอุ่นตะวันออก
ไทฮองไทเฮากับฮูหยินเจิ้นกั๋วกงต่างก็รับประทานอาหารเช้าแล้วเช่นกัน ทั้งสองคนกำลังนั่งคุยกันเสียงเบา
พอเห็นเจียงเซี่ยนเข้ามา ทั้งสองคนต่างก็เงียบเสียงด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คนหนึ่งตบขอบเตียงอุ่นข้างกาย และเอ่ยว่า “เป่าหนิง มานั่งกับยายนี่” อีกคนก็ถามนางอย่างใส่ใจ “รับประทานอาหารเช้ามาหรือยัง?”
เจียงเซี่ยนเข้าไปคารวะผู้อาวุโสทั้งสอง แล้วนั่งลงข้างกายไทฮองไทเฮา นางยิ้มพลางทักทายฮูหยินเจิ้นกั๋วกง “รับประทานอาหารเช้าแล้วถึงรู้ว่าท่านป้ามา ทำไมท่านถึงมาเช้าขนาดนี้? ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ยินว่าท่านจะเข้าวังนี่นา?”
สตรีบรรดาศักดิ์จะเข้าวังต้องส่งสาส์นล่วงหน้า และคนที่เข้าเฝ้าอนุญาตถึงจะสามารถเข้าวังได้
ไทฮองไทเฮาก็เอ่ยว่า “ช่วงนี้ข้าก็ว่างและเบื่อไม่ใช่หรือ? จึงมอบป้ายคำสั่งให้ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงอันหนึ่ง นางจะเข้าวังก็แจ้งสักหน่อยก็พอ ไม่จำเป็นต้องเขียนสาส์นให้ยุ่งยากขนาดนั้นเสียทุกครั้ง”
เจียงเซี่ยนได้ยินแล้วก็ยิ้มและเอ่ยกับฮูหยินเจิ้นกั๋วกงว่า “วันนี้ท่านก็คิดจะเก็บตัวอยู่ในห้องอุ่นกับเสด็จยายและซุบซิบคุยเรื่องลับกันอีกหรือ?”
ไทฮองไทเฮากับฮูหยินเจิ้นกั๋วกงได้ยินก็สบตากันและยิ้มอย่างรู้ใจ พลางเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ พูดอะไรน่ะ? นี่ก็เพราะพวกเรากลัวว่าเด็กสาวอย่างพวกเจ้าได้ยินพวกคนแก่เล่าเรื่องในอดีตบ่อยจนไม่อยากฟังแล้วไม่ใช่หรือ?”
นี่ยังไม่คิดจะบอกนางตอนนี้หรือ?
เจียงเซี่ยนคิดว่าเรื่องนี้นางก็ต้องคิดให้ดีเช่นกัน ผู้อาวุโสทั้งสองคนไม่เอ่ยปาก ก็ทำให้นางมีช่องทางในการคลี่คลายสถานการณ์พอดี
นางจึงเอ่ยเรื่องของไป๋ซู่ขึ้นมา “หม่อมฉันดูปฏิทินหวงลี่แล้ว วันที่ยี่สิบสองเดือนหนึ่งเป็นวันดี ก็ส่งจ่างจูออกจากวังวันนั้นดีกว่า หม่อมฉันอยากให้นางนำพวกของเล็กๆ น้อยๆ ที่ปกตินางใช้ประจำกลับไปด้วย จึงอยากให้เสด็จยายช่วยเขียนสาส์นให้หน่อยเพคะ”
ของชิ้นใหญ่นั้นถึงจะให้ไป๋ซู่นำออกจากวังไปได้กลับละเมิดกฎ และอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่ของที่มีไว้ชมเหล่านี้ประณีตและไม่สะดุดตา จ่างจูเก็บไว้ก็จะใช้ชีวิตได้สบายหน่อยเช่นกัน
ไทฮองไทเฮาไม่สนใจของเล็กน้อยพวกนี้ นางถามเจียงเซี่ยนว่าไป๋ซู่อยากนำอะไรออกไปบ้าง แล้วก็ให้เมิ่งฟางหลิงเขียนสาส์นทันที นางประทับตราประจำตัวของฮองเฮาและตราส่วนตัว แล้วก็ให้เจียงเซี่ยนให้คนไปลงบัญชีที่กรมวัง
หลิวเสี่ยวหม่านนำสาส์นที่จ้าวเซี่ยวขอพบเข้ามา
ไทฮองไทเฮากับฮูหยินเจิ้นกั๋วกงแลกเปลี่ยนสายตากันด้วยรอยยิ้ม และรับสาส์นมาอ่านนานมาก แล้วก็สั่งหลิวเสี่ยวหม่านอย่างอารมณ์ดี “งั้นก็ให้ซื่อจื่อจิ้งไห่โหวเข้าเมืองหลวงพรุ่งนี้แล้วกัน!”
หลิวเสี่ยวหม่านขานรับและจากไป
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับแอบรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก นางถามไทฮองไทเฮา “จ้าวเซี่ยวอยากเกี่ยวดองกับจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเราหรือเปล่าเพคะ?”
นี่จะส่งผลเสียมากมายและไม่เป็นผลดีกับจ้าวเซี่ยวแม้แต่นิดเดียว
ไม่คุ้มเลย
หากเขาแต่งงานกับนาง ไม่เพียงแต่ทำให้จ้าวอี้ไม่พอใจ แต่นางต้องอยู่ที่เมืองหลวงเพื่อดูแลไทฮองไทเฮาตอนที่สวรรคตอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดจ้าวเซี่ยวก็ต้องอยู่เมืองหลวงสองปี เขาเป็นซื่อจื่อจิ้งไห่โหว ถึงแม้จะไม่จำเป็นต้องกังวลกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันในครอบครัว ทว่าอยู่ที่เมืองหลวงสองปี ก็เกรงว่าหลี่เชียนจะใช้บารมีของคนที่มีชื่อเสียงมายกระดับตนเองไปนานแล้ว ถึงเวลานั้นเขาปะทะกับหลี่เชียน ก็เป็นไปได้มากว่าจะทำได้เพียงยอมตระกูลหลี่แต่โดยดี…แล้วถึงเวลานั้นนางจะไม่กลายเป็นเชลยของหลี่เชียนด้วยหรือ!
นางไม่เอาด้วยหรอก!
“ไทฮองไทเฮา” ในเมื่อไม่ได้งั้นก็ทำลายไปเลย เจียงเซี่ยนตัดสินใจทันที และเอ่ยว่า “จ้าวเซี่ยวมีธุระอะไรต้องพบไทฮองไทเฮาหรือ? หม่อมฉันได้ยินคนของวังเฉียนชิงบอกว่า สองวันนี้ฝ่าบาทพระอารมณ์ฉุนเฉียวมาก คงจะมีเรื่องอะไรขอร้องไทฮองไทเฮากระมัง? ยิ่งกว่านั้นอีกไม่กี่วันก็เดือนสองแล้ว ขุนนางใหญ่ที่ปกครองแต่ละมณฑลต่างต้องเข้าเมืองหลวงมารายงานการปฏิบัติงาน แล้วก็เป็นปีแรกที่ฝ่าบาทว่าราชการด้วยพระองค์เองด้วย ว่ากันว่าแม่ทัพอวิ๋นกุ้ย[1]ต่างก็จะมากัน!”
เพราะอวิ๋นกุ้ยอยู่ไกลจากเมืองหลวงเกินไป พวกแม่ทัพ ผู้ว่าราชการมณฑล และผู้ตรวจการของอวิ๋นกุ้ยทั้งหมดจึงเข้าเมืองหลวงทุกสามปี
ไทฮองไทเฮาถือสาส์นของจ้าวเซี่ยวอยู่ แลดูลังเลเล็กน้อย
เจียงเซี่ยนไม่กล้าพูดต่อไป กลัวว่าจะเผยความจริงออกมา จึงรีบยิ้มและเปลี่ยนเรื่องว่า “ท่านป้า สองสามวันนี้ท่านลุงอยู่บ้านหรือไม่? วันที่สองเดือนสองเมื่อปีที่แล้วเขายังบอกว่าต้องจัดงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิในช่วงนี้ทุกปีนี่! ปีนี้อากาศในฤดูใบไม้ผลิกลับหนาวขึ้นมาอีก อากาศจึงหนาวเกินไปแล้ว ท่านลุงใหญ่ยังจะจัดงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิหรือไม่?”
ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงยิ้มและเอ่ยว่า “ลุงของเจ้าก็พูดไปเท่านั้น เขาว่างเมื่อไรก็จัดงานเลี้ยงในเวลาเดิมทุกปี”
“งั้นปีนี้พวกเราไปจุดธูปเซ่นไหว้ที่วัดหงหลัวกันเถอะ?” เจียงเซี่ยนเสนอ “ข้ารู้สึกว่าอาหารเจที่วัดหงหลัวอร่อยกว่าที่วัดต้าเซี่ยงกั๋ว”
“ได้สิ! ได้สิ!” ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงตอบพลางยิ้มตาหยี และแลกเปลี่ยนรอยยิ้มเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างกับไทฮองไทเฮา
ถึงเวลานั้นคงจะไม่เจอ ‘คนเยอะมาก’ อีกใช่หรือไม่?
เจียงเซี่ยนแอบครุ่นคิดอย่างตื่นตระหนกเล็กน้อย
สุดท้ายไทฮองไทเฮาก็ยังฟังคำพูดของนาง และคืนสาส์นของจ้าวเซี่ยวกลับไป
เจียงเซี่ยนโล่งอก ตอนที่ส่งฮูหยินเจิ้นกั๋วกงออกจากวังฉือหนิงก็เอ่ยกับฮูหยินเจิ้นกั๋วกงว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องเจอท่านลุงใหญ่ ท่านว่าข้าจะพบท่านลุงใหญ่อย่างไรดี?”
“ข้าจะบอกลุงใหญ่ของเจ้า และให้เขามาเจอเจ้าแล้วกัน!” ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงช่วยจัดเสื้อด้านหน้าให้นางอย่างเอ็นดู และเอ่ยว่า “วันที่สองเดือนสองจะให้ข้ารับเจ้าออกจากตำหนักไปเที่ยวสักสองสามวันหรือไม่?”
“ไม่ต้องแล้ว!” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยู่เป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาในวังดีกว่า!”
หากเรื่องราวเป็นไปตามชาติก่อน วันที่สองเดือนสองนั้น แม่นมฟางจะโยนประทัดลูกใหญ่ใส่ทุกคน นางต้องอยู่เป็นเพื่อนข้างกายท่านยายและปลอบใจท่านยาย!
ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงก็ไม่บังคับนางเช่นกัน
—
สองวันต่อมา เจียงเจิ้นหยวนมาพบเจียงเซี่ยน
หลังจากเจียงเจิ้นหยวนคารวะไทฮองไทเฮาก็ถูกไทฮองไทเฮารั้งไว้คุยโดยไม่ให้เจียงเซี่ยนรู้ แล้วเจียงเจิ้นหยวนถึงมาเจอเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนสงสัยว่าไทฮองไทเฮาคุยกับเจียงเจิ้นหยวนเรื่องที่นางเลือกสามี นางอยากถามลุงใหญ่ของตนเอง ก็กลัวเจียงเจิ้นหยวนจะถามว่านางมีคนที่ชอบหรือไม่…จึงจำต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ และเอ่ยถึงสาเหตุที่เชิญเขามา “…หากเฉาไทเฮาเสนอให้ตระกูลหลี่กลับไปซานซี ท่านจะคิดหาทางช่วยพวกเขาหรือไม่?”
เจียงเจิ้นหยวนพึมพำเล็กน้อย และเอ่ยว่า “เจ้ากลัวฝ่าบาทจะคิดได้และจัดการตระกูลหลี่หรือ?” เขารู้สึกว่าเจียงเซี่ยนใส่ใจตระกูลหลี่มากเกินไปหน่อยแล้ว “ตระกูลหลี่ก็เพียงแค่บังเอิญ สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ข้างหน้าคืออะไร พวกเขาน่าจะรู้ดี ตอนนั้นถึงจะไม่มีตระกูลหลี่ ก็มีตระกูลอื่นยินดีร่วมมือกับเราเก็บเฉาไทเฮาไว้อยู่ดี เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกละอายใจต่อตระกูลหลี่เพราะพวกเราใช้ตระกูลหลี่เป็นเครื่องมือ”
หากตระกูลเจียงสนับสนุนให้ตระกูลหลี่ไปซานซี ก็ต้องยกพื้นที่ที่ตนเองครอบครองให้ผืนหนึ่ง
ตระกูลหลี่ยังไม่ได้มีหน้ามีตามากขนาดนั้น
แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนเข้าใจ
แต่นางก็ไม่อาจบอกลุงของตนเองได้เช่นกันว่าต่อไปหลี่เชียนจะกลายเป็นคนใหญ่คนโต เวลานี้คบหากับเขาก็เป็นช่วงเวลา ‘เก็บสะสมของหายากเอาไว้และรอขายออกไปในราคาสูง’ พอดี
“ข้าไม่ได้รู้สึกละอายใจต่อตระกูลหลี่” เจียงเซี่ยนคิดแล้วก็เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าหวังว่าหลี่เชียนจะช่วยเฉาเซวียนได้” นางเล่าเรื่องของจ้าวอี้ให้เจียงเจิ้นหยวนฟัง “แม้แต่ไทฮองไทเฮาก็ไม่สนิทสนมกับฝ่าบาทเท่าเมื่อก่อนแล้วเหมือนกัน เขามีความรู้ตื้นเขินเกินไป พวกเราต้องมีคนช่วยหลายคนถึงจะถูก และตระกูลเจียงคุมกองกำลังรักษาพระนครมาตลอดหลายปีนี้ ก็ถึงเวลาเปลี่ยนมือแล้วเช่นกัน” นางเอ่ยถึงการละเล่นบนน้ำแข็งที่ทะเลสาบสือช่าเมื่อหลายวันก่อน “ท่านพี่น่าจะรู้ดี หลายปีมานี้กองกำลังรักษาพระนครใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย พาออกมาหลอกคนยังพอได้ แต่ลงสนามรบและฆ่าศัตรูอย่างจริงจังนั้นไม่ได้เรื่องสักนิด แทนที่จะจับพวกเขาไว้ในมือทั้งหมดก็คลายออกบ้างดีกว่า แล้วคิดหาทางคบหากับฐานที่มั่นทางอวี๋หลิน ด่านซานไห่และไท่หยวนนั้น ทางนั้นกับชนกลุ่มน้อยทางเหนือมีพรมแดนติดกันโดยตรง มีสงครามรุนแรงอยู่เสมอ ทหารของพวกเขาต่างเป็นคนที่เคยฆ่าศัตรู และเก่งกว่ากองกำลังรักษาพระนครมาก”
————————————
[1] อวิ๋นกุ้ย ชื่อย่อของมณฑลอวิ๋นหนาน(ยูนนาน)กับมณฑลกุ้ยโจว ซึ่งเป็นพื้นที่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน