มู่หนานจือ – บทที่ 130 จุดแข็ง

มู่หนานจือ

ไทฮองไทเฮาอยากจัดการเรื่องของเจียนเซี่ยนให้เสร็จเร็ว จึงเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องทางการขนาดนั้น อีกสามวันก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นเป่าหนิงไปกับหม่อมฉัน หม่อมฉันเคยไปภูเขาวั่นโซ่วก่อนเป่าหนิงเกิดปีหนึ่ง”

ตั้งแต่เจียงเซี่ยนเกิด เพื่อดูแลนาง ไทฮองไทเฮาก็ไม่เคยออกจากเมืองหลวงอีกเลย

จ้าวอี้ไปจัดการอย่างดีใจ

ทว่าไทฮองไทเฮากลับแอบยิ้มเยาะกับไทฮองไท่เฟย “ข้าว่าเขารีบร้อนขนาดนี้ คงจะอยากไปเยี่ยมคนสกุลฟางกระมัง?”

ไทฮองไท่เฟยได้ยินก็ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย และเอ่ยเสียงเบาว่า “เฉาไทเฮายังเก็บสตรีผู้นั้นไว้หรือ? แบบนี้หากแพร่งพรายออกไปจะทำอย่างไรดี?”

ไทฮองไทเฮาเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ช่วงนี้ขุนนางใหญ่ที่ปกครองแต่ละมณฑลต่างเข้าเมืองหลวงไม่ใช่หรือ? ข้าว่าถึงคนสกุลเฉาจะอยากจัดการคนสกุลฟางก็อาจจะรอจนเรื่องพวกนี้สงบลงแล้ว ข้าได้ยินอาจ้านบอกว่า ฝ่าบาทให้หลี่ฉางชิงแม่ทัพฝูเจี้ยนเป็นแม่ทัพซานซีแล้ว”

ไทฮองไท่เฟยก็เป็นคนเก่าแก่ในวังแล้วเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นตอนที่นางเข้าวังก็คอยรับใช้ไทฮองไทเฮา ทั้งสองคนก็เป็นคนที่ผ่านเรื่องราวมามากมายเช่นกัน จึงมีความรู้มากกว่าสนมในวังหลังทั่วไปเล็กน้อย

พอนางได้ยินก็รู้ว่าเฉาไทเฮากำลังทำข้อแลกเปลี่ยนกับจ้าวอี้ บางทีที่จ้าวอี้ยอมอ่อนข้อให้ก็อาจจะเป็นเพราะว่าคนสกุลฟางยังอยู่ในกำมือของเฉาไทเฮาก็ได้!

เสียดายก็แต่เป่าหนิง

หากไม่มีเรื่องนี้ นางแต่งเข้าวังอย่างราบรื่น และเป็นฮองเฮา พวกนางก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงนางแล้วเช่นกัน

“ขอเพียงสุดท้ายเฉาไทเฮาอย่าอยากอวดฉลาดแต่ดันทำเรื่องโง่ลงไปแทน” ไทฮองไท่เฟยถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “แม่นมฟางใจกล้าขนาดนี้ ก็คงจะไม่ใช่คนที่น่าคบเช่นกัน”

“ไม่ว่าอย่างไร นางยังกล้าประกาศออกไปว่านางเป็นคนให้กำเนิดจ้าวสี่งั้นหรือ?” ไทฮองไทเฮายิ้มอย่างดูถูก “เจ้าลองดูชื่อที่เขาตั้งให้เด็กคนนั้นสิ ‘สี่’ ตราแผ่นดิน มีการตั้งชื่อให้ลูกชายคนโตที่เกิดจากสนมแบบนี้ด้วยหรือ? ข้าว่าเขาถูกคนสกุลฟางนั่นมอมเมาจนสติเลอะเลือนแล้ว นี่ก็นิสัยเหมือนกับแม่ของเขา นึกถึงตอนนั้นที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนตั้งชื่อให้อ๋องเหลียวว่า ‘อี้[1]’ ตั้งชื่อให้ฝ่าบาทว่า ‘หลิง’ ปรากฏว่านางคิดว่า ‘หลิง’ ไม่ดี จะตั้งชื่อฝ่าบาทว่า ‘อี้[2]’ ให้ได้…สุดท้ายสำนักราชเลขาธิการปรึกษาหารือกัน แล้วก็ให้ฝ่าบาทชื่อ ‘อี้’ หลังจากฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ อ๋องเหลียวยื่นหนังสือว่าต้องการเปลี่ยนชื่อ นางกลับเอ่ยอย่างคลุมเคลือว่าชื่อนี้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนพระราชทานให้ เปลี่ยนก็ไม่ดี…นี่นางอยากให้อ๋องเหลียวร้อนใจจนถึงขีดสุดทั้งวันทั้งคืนน่ะสิ? นางใช้วิธีลอบกัดฆ่าคนจนเคยชินแล้ว ลูกอีกหลายคนของฉินกุ้ยเฟยก็ตายแบบนี้ไม่ใช่หรือ…เวลานี้ฝ่าบาทก็เลียนแบบและทำตามคนสกุลเฉาเช่นกัน ข้าจะคอยดูว่าต่อไปเขามีลูกชายคนโตที่เกิดจากฮองเฮาแล้วจะตั้งชื่อให้อย่างไร…”

ไทฮองไท่เฟยไม่อาจวิพากษ์วิจารณ์ได้ จึงทำได้เพียงปลอบให้ไทฮองไทเฮาสบายใจ และเอ่ยถึงเรื่องที่เชิญคนเข้าวังมาขับร้องประกอบดนตรีในวันพรุ่งนี้ “ไทฮองไทเฮาว่าต้องเชิญเหล่าสตรีบรรดาศักดิ์เข้าวังหรือไม่เพคะ?”

“เชิญฮูหยินเจิ้นกั๋วกงกับฮูหยินชินเอินป๋อก็พอแล้ว” ไทฮองไทเฮาพึมพำ “เรื่องของเป่าหนิงยังไม่มีวี่แววแม้แต่นิดเดียว หากเวลานี้ถูกคนแพร่งพรายอะไรที่ไม่น่าฟังออกไปจะไม่ใช่เรื่องดี” นางคิดอีกแล้วก็เอ่ยว่า “ให้ไป๋ซู่มาเที่ยวด้วยสักวัน พวกนางพี่น้องไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่งแล้ว ข้าก็อยากดูว่าจ่างจูถูกรังแกหรือไม่เหมือนกัน!”

ไทฮองไท่เฟยขานรับว่า “เพคะ” ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และไปสั่งเมิ่งฟางหลิงด้วยตนเองว่าให้คนส่งเทียบเชิญไปให้ทั้งสามคน

ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงรู้ว่านางเข้าวังทำไม พอเจียงเจิ้นหยวนกลับจวน จึงนำข่าวที่สืบได้ในช่วงสองสามวันนี้ไปหาเจียงเจิ้นหยวน “จ้าวเซี่ยวนอกจากดูงิ้วแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นที่ไม่ดี ส่วนจ้าวควนจิ้งไห่โหวนั้น ตั้งแต่ฮูหยินล้มป่วยก็เลื่อนตำแหน่งให้อนุภรรยาคนหนึ่งที่ฮูหยินยกให้เขาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่มาดูแลงานบ้าน หากเป่าหนิงแต่งไป แม่สามีไม่คุมงาน แถมยังเป็นว่าที่ภรรยาของลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก ก็สามารถรับช่วงดูแลงานบ้านได้ทันที”

“ส่วนตระกูลอันลู่โหวก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดแล้ว”

“ตอนที่อันลู่โหวเฒ่ายังมีชีวิตอยู่ถนัดคุมงานธุรการ คิดดูแล้วในบรรดาขุนนางที่มีความดีความชอบและชนชั้นสูงในเมืองหลวง ตระกูลของพวกเขาก็ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ อันลู่โหวก็เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ และไม่เจ้าชู้แม้แต่นิดเดียว ต่างเคารพกันและกันกับฮูหยินอันลู่โหว ในบ้านก็ไม่มีอนุภรรยาหรือเมียบ่าวแม้แต่คนเดียว ระมัดระวังการเข้าออกมาก ลูกสองคนล้วนสอนมาอย่างดี ทั้งเชื่อฟัง รู้ความ และกตัญญู ถึงแม้ฮูหยินอันลู่โหวจะไม่อยากให้เติ้งเฉิงลู่แต่งงานกับเป่าหนิง แต่ก็ต้านไม่ไหว เพราะเติ้งเฉิงลู่ชอบเป่าหนิง และขอร้องให้ฮูหยินอันลู่โหวมาสู่ขอที่บ้านของพวกเรา”

“มีเงินก็ยากที่จะซื้อความสุขได้ เป่าหนิงก็ไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ความเสียหน่อย ฮูหยินอันลู่โหวเป็นคนอ่อนโยน และตระกูลก็ดูดีเช่นกัน เป่าหนิงแต่งไปก็ไม่ขาดทุน”

“แต่จินเซียวกลับทำให้ข้าตกใจ พูดถึงตระกูลของพวกเขาก็มาจากตระกูลทหารเหมือนกัน หกพี่น้องตระกูลจิน เขาเป็นลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องในบ้านคุมเข้มมาก ตอนเด็กคนรับใช้ข้างกายล้วนเป็นสาวใช้ที่อายุมากกว่าสิบปี พอพวกเด็กๆ โตก็เป็นเด็กรับใช้ทั้งหมด ในบ้านไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหรือผู้เยาว์ ไม่มีใครเข้าออกหอนางโลมแม้แต่คนเดียว ก็ไม่แปลกที่ตระกูลของพวกเขาได้ข่าวแล้วจะกล้ามาสู่ขอเจียหนาน”

“ท่านว่าตระกูลไหนดีกันแน่?”

“พรุ่งนี้ข้าเข้าวัง ไทฮองไทเฮาต้องถามข้าแน่”

“จากที่ข้าเอ่ยมา หากจินเซียวไม่ใช่ลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกก็ดี จะได้อยู่เมืองหลวงได้…”

เจียงเจิ้นหยวนเปลี่ยนเสื้อผ้า พลางเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เรื่องนี้เจ้าก็อย่ากังวลเลย ไทฮองไทเฮาต้องมีแผนการของตนเองอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นเจ้าฟังไทฮองไทเฮาก็พอแล้ว…หากไทฮองไทเฮาถามขึ้นมา เจ้าก็บอกว่าต้องกลับมาปรึกษาข้า ต่อให้ไทฮองไทเฮาถูกใจแล้ว พวกเราก็ต้องดูให้รอบคอบ นี่เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของเป่าหนิง!”

ฝางจื่อชิงพยักหน้าติดกันหลายครั้ง

เจียงเจิ้นหยวนเอ่ยอีกว่า “เจ้าให้สาวใช้ไปเรียกอาลวี่มา เด็กอย่างพวกเขาวางตัวกับคนรุ่นก่อนอย่างพวกเราแบบหนึ่ง เวลาอยู่กับคนที่อายุใกล้เคียงกับตนเองก็อีกแบบหนึ่ง เท่าที่ข้าดู อาลวี่ไปสอบถามจะน่าเชื่อถือกว่าพวกเรา”

ฝางจื่อชิงไปเรียกเจียงลวี่เข้ามาทันที แล้วนางก็ไปเตรียมเสื้อผ้าและเครื่องประดับสำหรับใส่เข้าวัง และก็ด้วยเหตุนี้หลังจากถึงวังฉือหนิงนางจึงค่อนข้างเยือกเย็น และยิ้มพลางทักทายฮูหยินชินเอินป๋อที่มาหลังนางก่อน

ฮูหยินชินเอินป๋อไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างสิ้นเชิง และถามนางเสียงเบา “นี่ไม่ใช่ช่วงปีใหม่หรือเทศกาลเสียหน่อย ทำไมไทฮองไทเฮาถึงคิดอยากฟังการขับร้องประกอบดนตรี?”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” นางพูดจาระมัดระวังมาโดยตลอด นางยิ้มพลางเอ่ยว่า “เกรงว่าช่วงนี้หิมะตกบ่อย คงว่างและไม่มีอะไรทำกระมัง!”

ฮูหยินชินเอินป๋อจึงถามถึงอีกเรื่อง “ได้ยินว่าไทฮองไทเฮาจะเลือกสามีให้เป่าหนิง? มีเรื่องนี้หรือไม่?”

ถึงแม้เทศกาลโคมไฟครั้งก่อนนางจะเห็นกับตาว่าไทฮองไทเฮาต้อนรับบุตรของขุนนางมากมายอย่างผิดไปจากปกติอย่างสิ้นเชิง ทว่าสุดท้ายกลับไม่มีอะไรต่อจากนั้น นางจึงไม่ค่อยแน่ใจ

ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงคิดว่านางเป็นหลานสะใภ้ของไทฮองไทเฮา แล้วก็เป็นป้าสะใภ้ของเจียงเซี่ยน จึงหัวเราะเบาๆ และเอ่ยว่า “เดี๋ยวเจ้าก็รู้แล้ว!”

ก็หมายความว่า มีเรื่องนี้จริง!

ภาพเงาด้านหลังอันโดดเดี่ยวของหวังจ้านที่ปีนขึ้นไปนั่งกอดเข่าบนหลังคามองพระราชวังต้องห้ามคนเดียวตอนดึกดื่นเที่ยงคืนปรากฏขึ้นในความทรงจำของฮูหยินชินเอินป๋อ แล้วน้ำตาก็เกือบจะร่วงลงมา

หากตระกูลของพวกเขาไม่ใช่ญาติทางฝั่งไทฮองไทเฮา ไม่ใช่ท่านป๋อ หากเจียงเซี่ยนเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดา นี่จะเป็นการแต่งงานที่ดีแค่ไหนกัน!

นางแอบถอนหายใจ

คนที่เหม่อมองไปทางพระราชวังต้องห้ามคนเดียวตอนเที่ยงคืน นอกจากหวังจ้านแล้ว ยังมีหลี่เชียน

เจียงเซี่ยนต้องให้ตนเองแต่งงานออกไปก่อนที่ฮ่องเต้จะตั้งฮองเฮาจริงๆ

ผู้สมัครสามคน

คนหนึ่งคือจ้าวเซี่ยว

คนหนึ่งคือเติ้งเฉิงลู่

คนหนึ่งคือจินเซียว

ล้วนเป็นเหล่าตระกูลที่มีฐานะและมีอำนาจมาก และต่างคนต่างมีจุดแข็งของตนเอง

ไม่รู้ว่าเจียงเซี่ยนจะเลือกใคร?

——————-

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท