มู่หนานจือ – บทที่ 137 ตำหนักใหญ่

มู่หนานจือ

ยังดีที่ตำหนักอี๋อวิ๋นอยู่ใกล้ตำหนักเหรินโซ่วมาก ไทฮองไทเฮากับเฉาไทเฮาเร่งตามไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็ไปถึง

ในลานกว้างกองหิมะเหมือนเงิน คนรับใช้มากมายคุกเข่ากันแน่นขนัดไปหมด

พอเห็นเฉาไทเฮากับไทฮองไทเฮา ทุกคนต่างก็โล่งอกอย่างเห็นได้ชัด คนที่มีสติและไหวพริบตะโกนเสียงดังแล้วว่า “ไทเฮา ไทฮองไทเฮาเสด็จ” และไปช่วยเลิกม่านขึ้น ทว่าตอนที่เห็นสีหน้าที่เหมือนปกคลุมไปด้วยเมฆดำอย่างแน่นหนาของเฉาไทเฮาก็ตกใจจนตัวสั่นงันงก และรีบกลับไปยืนที่เดิมอีกครั้ง

เฉาไทเฮาเข้าไปในตำหนักเหรินโซ่ว โดยไม่มองเขาแม้แต่นิดเดียว

คลื่นความร้อนที่อุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิปะทะหน้า แต่กลับทำให้เฉาไทเฮารู้สึกหายใจติดขัด

ในตำหนักใหญ่ จ้าวเซี่ยวยังคงคุกเข่าอย่างแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ดาบที่เปื้อนเลือดเล่มหนึ่งทิ้งอยู่ข้างเท้าเขา เครื่องแบบขุนนางใยป่านสีแดงสดตรงหัวไหล่ถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงเข้มแล้ว จ้าวอี้หน้าดำเหมือนก้นหม้อ เขาถูกเสี่ยวโต้วจึกอดเข่าทั้งสองข้างไว้แน่น และยังคงโมโหอยู่ตรงนั้น “…นี่เจ้าทำอะไร? ขอความเมตตาให้จ้าวเซี่ยวหรือ! เขาให้อะไรตอบแทนเจ้า? เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้างั้นหรือ? ไสหัวไปซะ!” เขาเอ่ยพลางถีบเสี่ยวโต้วจึติดกันหลายครั้ง

เสี่ยวโต้วจึกลั้นเสียงไว้ เม็ดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วผุดออกมาบนหน้าผาก

เติ้งเฉิงลู่กับจินเซียวที่คุกเข่าอยู่ข้างกายจ้าวเซี่ยวก็ส่งสายตากังวลปนวิงวอนให้เฉาไทเฮากับไทฮองไทเฮา

เฉาไทเฮาเลือดลมพลุ่งพล่าน จนอยากจะตบจ้าวอี้ลงไปในทะเลสาบคุนหมิง

เพียงแต่นางยังไม่ทันทำอะไร ไทฮองไทเฮาก็ก้าวเข้าไปอยู่ข้างกายจ้าวเซี่ยวโดยมีหย่งเซิ่งคอยประคองแล้ว ไทฮองไทเฮาล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมากดหัวไหล่ที่เลือดไหลไม่หยุดของจ้าวเซี่ยวไว้ พลางเอ่ยอย่างน้ำตาคลอและสะอึกสะอื้นว่า “เด็กดี เจ็บมากใช่หรือไม่?”

จ้าวเซี่ยวรีบเอ่ยว่า “ไทฮองไทเฮาตรัสเกินไปแล้ว ไม่เจ็บพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพูดไม่เก่งเอง จึงทำให้ฝ่าบาทพิโรธ ฝ่าบาทจะลงโทษก็ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ไทฮองไทเฮามองอยู่น้ำตาก็เกือบจะร่วงลงมาแล้ว และเอ่ยกับจ้าวอี้ว่า “ฝ่าบาท อายุเท่าไรแล้ว ทำไมยังทำตัวเหมือนเด็ก คุยกันไม่ถูกคอก็ตีกัน ไม่ว่าอย่างไรซื่อจื่อจิ้งไห่โหวก็ตระกูลเดียวกับฝ่าบาทเช่นกัน ฝ่าบาทก็ต้องเห็นแก่หน้าผู้หลักผู้ใหญ่บ้าง จะลงมือกับเขาแบบนี้ไม่ได้! นี่หากเป็นอะไรไปขึ้นมา จะไม่เสียพระทัยในภายหลังงั้นหรือ?”

“จ้าวเซี่ยวทำผิด ฝ่าบาทแค่สั่งสอนเขาก็พอแล้ว แต่จะลงมือด้วยพระองค์เอง และทำให้ตำหนักเหรินโซ่วเปื้อนเลือดไปด้วยไม่ได้! ถึงฝ่าบาทจะเป็นฮ่องเต้หนุ่ม ทว่าปกติเวลาพวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักเอ่ยถึงมีใครไม่ชมว่าฝ่าบาทหนักแน่นบ้าง นี่หากให้พวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักรู้เข้า พวกเขาจะมองฝ่าบาทอย่างไร? ฝ่าบาทรีบระงับโทสะ และไปพักผ่อนที่ตำหนักข้างๆ สักครู่เถอะ” นางเอ่ยพลางมองไปรอบด้าน หวังจะหาใครสักคนที่สามารถขัดขวางจ้าวอี้ได้

สยงจื้อเหวินกับจั่วอี่หมิงไม่อยู่ เกาหลิ่งก็ไม่อยู่เหมือนกัน

ไทฮองไทเฮาอดที่จะรู้สึกเกลียดสามคนนี้ไม่ได้ นางคิดว่าสามคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก เพราะพวกเขาปล่อยให้จ้าวอี้ก่อความวุ่นวาย

สีหน้าของนางเคร่งขรึมมากขึ้น และตะโกนเรียกหลิวเสี่ยวหม่านเสียงดังว่า “เจ้าลองไปดูสิว่าทำไมหมอหลวงยังไม่มาอีก?”

ไทฮองไทเฮาเพิ่งจะเอ่ยจบ ซุนเต๋อกงที่หลังจากเห็นเฉาไทเฮากับไทฮองไทเฮามาก็พาหมอหลวงเถียนไปหลบอยู่นอกประตูก็ก้าวออกมาเอ่ยว่า “กระหม่อมซุนเต๋อกง พาหมอหลวงเถียนมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”

ไทฮองไทเฮามองจ้าวอี้

จ้าวอี้หงุดหงิดจนอยากจะทึ้งผม

เขาไม่รู้ว่ามันกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?

เกิดความผิดพลาดตรงไหนกันแน่?

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทุกอย่างต่างราบรื่นดี

คนสกุลฟางดูแลเขาเหมือนแม่ นางพึ่งพาอาศัยเขาอย่างสุดหัวใจ และเชื่อฟังเขามาก แถมยังยอมเสี่ยงทำสิ่งที่คนทั่วหล้าคิดว่าผิดและคลอดลูกชายให้เขาคนหนึ่ง

เจียงเซี่ยนก็เหมือนน้องสาวแท้ๆ ของเขา ตอนที่เขาลำบากใจที่สุดก็แอบส่งของว่างมาให้เขากิน ตอนที่เขาถูกคนดูถูกก็ยอมเล่นเป็นเพื่อนเขา ขอเพียงมีนางอยู่ข้างกาย เขาก็จะรู้สึกว่าปลอดภัยและมั่นคง

ทว่าตั้งแต่เทศกาลฉงหยางปีที่แล้วเป็นต้นมา สิ่งต่างๆ ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เปลี่ยนจนเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีอย่างสิ้นเชิง

ตอนแรกก็คนสกุลฟางหายตัวไป แล้วเฉาไทเฮาก็ข่มขู่ ถัดมาเจียงเซี่ยนก็เย็นชากับเขา…ตอนนี้ดีแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะไปถึงขั้นที่มีคนมาแย่งเจียงเซี่ยนกับเขาแล้ว

เขาไม่มีทางตกลงอย่างเด็ดขาด

เจียงเซี่ยนควรจะอยู่ในวัง อยู่ที่วังฉือหนิงอย่างเงียบสงบเหมือนเมื่อก่อน พอเขาหันกลับไปก็สามารถเห็นนางอยู่ที่นั่นได้ ไม่ใช่เหมือนอย่างตอนนี้ที่มักจะโกรธเขาอยู่เสมอ และยังจะแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นอีก…เขาแต่งงานกับนางไม่ดีหรือ? ให้นางเป็นฮองเฮา อยู่ในวังตลอดไป และอยู่เป็นเพื่อนเขาตลอดไม่ดีหรือ?

จ้าวอี้เตะดาบที่ยังคงมีคราบเลือดของจ้าวเซี่ยวอยู่ไปข้างๆ อย่างโมโห

เสียงสิ่งของกระทบกันก่อให้เกิดเป็นเสียงสะท้อนดังก้องในตำหนักที่เงียบสงัดและโล่งกว้าง

เฉาไทเฮาก็เรียกว่า “ฝ่าบาท” อย่างเฉียบขาดเหมือนส่งสัญญาณเตือน

จ้าวอี้ท้อใจ

ไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม เขาก็ฆ่าจ้าวเซี่ยวไม่ได้จริงๆ

บิดาของจ้าวเซี่ยวยังคงต้านทานโจรสลัดให้เขาอยู่ที่ฝูเจี้ยน!

ทุกปียังต้องส่งภาษีให้เขาหลายหมื่น!

แต่จะให้เขาปล่อยจ้าวเซี่ยวไป นั่นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน!

จ้าวอี้สะบัดแขนเสื้อและจากไป

ในที่สุดไทฮองไทเฮาก็คลายกังวล

สีหน้าของจินเซียวกับเติ้งเฉิงลู่ก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน

มีแต่เสี่ยวโต้วจึที่วิ่งตามหลังจ้าวอี้ออกไปอย่างโซซัดโซเซ

เฉาไทเฮาถึงเข้าไปพยุงจ้าวเซี่ยว และถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ทำให้เจ้าลำบากแล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของฝ่าบาท…”

จ้าวเซี่ยวรีบเอ่ยว่า “ไทเฮาตรัสเช่นนี้ก็เกรงใจกระหม่อมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ อันที่จริงเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของกระหม่อม…”

“เอาเถอะ เอาเถอะ!” เฉาไทเฮาขัดจังหวะคำพูดของจ้าวเซี่ยว และเอ่ยว่า “เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้าเช่นกัน ข้ารู้อยู่แก่ใจ ให้หมอหลวงเถียนตรวจอาการบาดเจ็บของเจ้าก่อนดีกว่าแล้วค่อยว่ากัน ขอให้เป็นเพียงบาดแผลภายนอก…ไม่อย่างนั้นข้าก็คงอธิบายบิดาของเจ้าลำบากจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เข้าเมืองหลวงมาตามความประสงค์ของข้า”

จ้าวเซี่ยวได้ยินก็ฉวยโอกาสลุกขึ้นยืน และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ดูที่ไทเฮาตรัสสิ หรือว่ากระหม่อมหกล้มระหว่างทางก็ต้องโทษไทเฮางั้นหรือ! เดิมทีนี่ก็เป็นความผิดของกระหม่อมอยู่แล้ว!”

เฉาไทเฮาก็ไม่เถียงเขาเช่นกัน

จินเซียวกับเติ้งเฉิงลู่ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และพยุงจ้าวเซี่ยวคนละข้างให้นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างๆ

ไทฮองไทเฮากับเฉาไทเฮาหลบไปที่ห้องหนังสือที่อยู่ข้างๆ

ครู่ใหญ่ หลิวเสี่ยวหม่านถึงเข้ามาเอ่ยเสียงเบาว่า “ไหล่ของซื่อจื่อจิ้งไห่โหวถูกแทงทะลุ หมอหลวงเถียนบอกว่าเสียเลือดมากเกินไป ให้นอนพักผ่อน แล้วก็เขียนใบสั่งยาจินชวง[1]กับยาบำรุงเลือดลมให้พ่ะย่ะค่ะ”

ไทฮองไทเฮาได้ยินก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และเอ่ยกับเฉาไทเฮาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็กลับพรุ่งนี้เช้าแล้วกัน”

ถึงอย่างไรสิ่งที่นางควรทำก็ทำหมดแล้ว

เฉาไทเฮาไม่อยากให้เกิดอะไรผิดพลาดกับคนสกุลฟางก่อนที่ตระกูลหลี่จะไปซานซี นางอยากให้จ้าวอี้รีบกลับไป พอได้ยินจึงเอ่ยว่า “ก็ดีเหมือนกัน! ให้ฝ่าบาทตามเสด็จแม่กลับไปด้วยเลย เขาจะได้ไม่ก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่อีก”

ไทฮองไทเฮาไม่สนว่าจ้าวอี้จะตามนางกลับไปหรือไม่ นางเตรียมการเดินทางของตนเองเรียบร้อยแล้ว ก็เกรงว่าจ้าวอี้จะเป็นบ้าขึ้นมาอีก จึงสั่งให้จินเซียวกับเติ้งเฉิงลู่กลับเมืองหลวงเป็นเพื่อนจ้าวเซี่ยวคืนนี้ และให้คนไปเอาเทียบขอพบของเจียงเจิ้นหยวนมาให้พวกเขา และเอ่ยว่า “หากเจออะไร ก็หยิบเทียบขอพบฉบับนี้ออกมา”

เทียบขอพบสีแดงเข้ม เลี่ยมขอบสีทอง แลดูไม่พิเศษ แต่คนทั่วไปกลับไม่มีทางได้มา

จินเซียวอดที่จะมองอีกเล็กน้อยไม่ได้

ทว่าเติ้งเฉิงลู่กลับยัดเทียบขอพบนั้นเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของจ้าวเซี่ยวอย่างไม่คิดด้วยซ้ำ และเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ เจ้าเก็บไว้แล้วกัน!”

เขาคิดว่าจ้าวเซี่ยวต้องการเทียบขอพบฉบับนี้มากกว่าพวกเขา

จ้าวเซี่ยวแปลกใจมาก เขาจ้องเติ้งเฉิงลู่ครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ขอบคุณมาก”

————————————-

[1] ยาจินชวง ยาที่ใช้สำหรับรักษาอาการบาดเจ็บจากอาวุธมีคม

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท