ส่วนจ้าวเซี่ยวที่นั่งอยู่ในห้องแถวตรงประตูวังทางทิศตะวันออกและรอเก็บสัมภาระอยู่นั้นกำลังให้เด็กรับใช้ที่ติดตามรับใช้ข้างกายเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อย่างแผ่วเบา
ผู้ช่วยที่ตามเขามาอดที่จะบ่นไม่ได้ “ซื่อจื่อ จะเอาแต่ใจแบบนี้ไม่ได้นะขอรับ ถึงแม้ท่านโหวจะอนุญาตให้ท่านแต่งงานกับท่านหญิงเจียหนานแล้ว แต่เพราะท่านหญิงเจียหนานถูกฝ่าบาททรงกริ้ว นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่คุ้มอย่างแน่นอน ข้าว่าฉวยโอกาสที่เรื่องนี้ยังไม่เป็นเรื่องใหญ่ ท่านอ้างว่าป่วยจนหมดสติดีกว่า แล้วก็ให้พวกเราส่งท่านกลับฝูเจี้ยนเสียเลย…”
“เจ้าคิดว่าคนอื่นเป็นคนโง่กันหมดหรือ?” จ้าวเซี่ยวทำเสียงไม่พอใจ และขยับมือกับเท้าอย่างระมัดระวังพลางเอ่ยว่า “ถอยหนีในช่วงเวลาสำคัญ ต่อไปข้าจะบัญชาการกองทัพเรือฝูเจี้ยนอย่างไร? แล้วจะมีใครเชื่อฟังข้า? เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องพูดอีกแล้ว ข้าจะเขียนจดหมายหาท่านพ่อเดี๋ยวนี้ ให้เขาย้ายกำลังคนส่วนหนึ่งมาให้ข้า ไว้ข้าแต่งงานกับท่านหญิงเจียหนานแล้ว ข้าค่อยกลับไปฝูเจี้ยน”
ผู้ช่วยไม่กล้าพูดอะไรมากอีก และค้อมตัวถอยออกไป
จ้าวเซี่ยวลูบแผล พลางคิดถึงเจียงเซี่ยน แล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
นางคงคิดไม่ถึงแน่ว่าเขาจะโดนดาบนี้ใช่หรือไม่?
ในที่สุดเรื่องแต่งงานของเขากับเจียงเซี่ยนก็มีวี่แววหน่อยแล้ว
พูดถึง…เรื่องนี้ก็ยังต้องขอบคุณฮ่องเต้จากใจ
พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
มีภรรยาที่ฮ่องเต้ชอบก็ลำบากมากเหมือนกัน
หลังจากเขาแต่งงานกับเจียงเซี่ยน กลับฝูเจี้ยนให้เร็วที่สุดดีกว่า จากนี้ไปเขาก็ต้องเอาใจใส่เรื่องกองกำลังติดอาวุธแล้วเช่นกัน หากฮ่องเต้โกรธจนถึงขีดสุดเพียงเพราะหญิงงามคนเดียวจริง เขาก็ต้องมีวิธีการปกป้องตนเองบ้างเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเจียงเซี่ยนแต่งงานกับเขาแล้ว ยังต้องกังวลและกลัวไปด้วย เขาเป็นผู้ชายแบบไหนกัน!
แต่เขาอยากเห็นสีหน้าของเจียงเซี่ยนในเวลานี้มาก
ต้องน่าสนใจมากอย่างแน่นอน
นางก็เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจมาตลอด
ผู้หญิงที่ฐานะครอบครัวเหมาะสมที่จะแต่งงานกับเขา แถมยังรูปโฉมงดงาม และน่าสนใจอย่างนางช่างหาได้ยากจริงๆ
เขาได้เจอนาง ก็ถือว่าเป็นโชคของเขาแล้วเช่นกัน
จ้าวเซี่ยวมองยาที่เจียงเซี่ยนสั่งให้คนส่งมาแล้วก็รู้สึกตื้นตันเล็กน้อย จึงเรียกผู้ติดตามที่อยู่ข้างกาย “จิ้งอัน เจ้ารู้ว่าเครื่องประดับของร้านขายเครื่องประดับเงินทองร้านไหนในเมืองหลวงสวยหรือไม่?”
จิ้งอันส่ายหน้า และเอ่ยว่า “ไม่เช่นนั้นข้าลองไปถามท่านหวังให้ท่าน?”
ท่านหวังก็คือผู้ช่วยที่จ้าวเซี่ยวพาเข้าเมืองหลวง
จ้าวเซี่ยวรู้สึกว่าไม่อยากให้เขารู้ จึงคิดแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องบอกท่านหวังแล้ว เจ้าลองไปสอบถามดู ข้าอยากซื้อของให้ท่านหญิงเจียหนานหน่อย ข้าได้รับบาดเจ็บ ท่านหญิงเจียหนานยังสั่งให้คนส่งยามา”
ซื้อเครื่องประดับให้นายหญิงในอนาคตหรือ!
จิ้งอันยิ้มตาหยีและรับปากเสียงดังว่า “ซื่อจื่อวางใจ ท่านคอยดูฝีมือข้าเถอะขอรับ!”
จ้าวเซี่ยวก็ไม่ปิดบังความคิดของตนเองเช่นกัน เขายิ้มพลางตบบ่าจิ้งอันทีหนึ่ง ทว่ามันกลับไปดึงแผล จึงฝืนอดทนไว้ไม่ให้จิ้งอันรู้ และถามถึงเติ้งเฉิงลู่กับจินเซียว “พวกเขาไปทำอะไรแล้ว?”
“เติ้งซื่อจื่อไปทูลลาไทฮองไทเฮา” จิ้งอันเอ่ย “ส่วนแม่ทัพจินไปจัดการเรื่องเรือที่จะออกเดินทาง อีกไม่นานทั้งสองท่านก็น่าจะกลับมาแล้วขอรับ”
จ้าวเซี่ยวพยักหน้า
ไม่นานเติ้งเฉิงลู่ก็กลับมา แถมยังนำของรางวัลจากไทฮองไทเฮาและเฉาไทเฮามาให้เขาด้วย แต่จินเซียวนั้นผ่านไปนานมากถึงจะกลับมา พอกลับมาก็ขอโทษทั้งสองคนหลายครั้ง “เมื่อครู่เจอหลี่เชียนลูกชายคนโตของตระกูลหลี่ที่อยู่ข้างกายไทเฮา คิดไม่ถึงว่าเขาจะน่าสนใจมากทีเดียว เขาพาข้าไปพบรองหัวหน้าขันทีของภูเขาวั่นโซ่ว และช่วยจัดการเรื่องเรือที่จะออกเดินทางให้พวกเรา”
ทั้งสองคนยังนัดวันที่จะพบกันในภายหลังแล้วด้วย
แน่นอนว่า…เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องบอกจ้าวเซี่ยวแล้ว
เขาถูกฮ่องเต้แทงดาบหนึ่ง สามีของท่านหญิงเจียหนานก็น่าจะเป็นเขาแล้ว
เขาเรียนหนังสือและไปเมืองหลวงเที่ยวหนึ่งเป็นเพื่อนองค์รัชทายาท แม้จะเสียดายมาก แต่จะขู่คนอื่นว่าจะฆ่าตัวตายด้วยเหตุนี้ก็ไม่ได้กระมัง?
ได้เพื่อนเพิ่มคนหนึ่งก็ไม่เลวเหมือนกัน
ยิ่งกว่านั้นต่อไปหลี่ฉางชิงดำรงตำแหน่งแม่ทัพซานซีแล้ว บิดาของเขาอยู่ไท่หยวน เขาอยู่อวี๋หลิน ทุกคนยังมีเวลาไปมาหาสู่กันอีกมาก
จินเซียวยิ้มพลางถามจ้าวเซี่ยว “แผลของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เก็บของเรียบร้อยหรือ? อีกครึ่งชั่วยามสามารถออกเดินทางได้หรือไม่?”
“เพิ่งจะพันแผลเสร็จ หมอบอกว่าสามเดือนนี้ห้ามบาดเจ็บสาหัส” จ้าวเซี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เก็บของเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ไปได้แล้ว”
“เร็วขนาดนี้เชียว?” จินเซียวแปลกใจเล็กน้อย
เติ้งเฉิงลู่อธิบายด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “นี่ก็เป็นพระประสงค์ของไทฮองไทเฮาเช่นกัน กลัวว่าฝ่าบาทจะนึกขึ้นได้และจงใจจับผิดซื่อจื่อจิ้งไห่โหวอีก”
นั่นก็จริง!
จินเซียวคิดอย่างมีความสุขกับความทุกข์ของคนอื่น
เนื้อหงส์รสเลิศ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขามีดวงนี้หรือไม่เช่นกัน!
ทั้งสามคนเก็บสัมภาระแล้วไปที่ท่าเรือวารีเคียงพฤกษา
หลี่เชียนที่เมื่อครู่ยังช่วยเหลือจินเซียวอย่างกระตือรือร้นไม่อยู่ที่ท่าเรือ นี่ทำให้จินเซียวผิดหวังเล็กน้อย
เขายังอยากแนะนำจ้าวเซี่ยวกับเติ้งเฉิงลู่ให้หลี่เชียนรู้จัก
สองคนนี้ไม่ว่าจะจากหน้าตาหรือฐานะต่างก็เป็นคนที่น่าคบหาทั้งนั้น
ทว่าเรื่องแบบนี้ก็แล้วแต่วาสนาเช่นกัน บางทีหลี่เชียนอาจจะไม่มีวาสนากับจ้าวเซี่ยวและเติ้งเฉิงลู่กระมัง?
จินเซียวเป็นแบบผู้ชายตะวันตกเฉียงเหนือ คิดแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก
พวกเขากลับถึงเมืองหลวงอย่างราบรื่นตลอดทาง ทุกฝ่ายต่างโล่งอก และทิ้งช่องทางการติดต่อกันไว้ แล้วแต่ละคนก็กลับไปสถานที่พักผ่อนของตนเอง
—
ไม่กี่วัน เป่ยติ้งโหวเลี้ยงอาหารจ้าวเซี่ยว
แน่นอนว่าจ้าวเซี่ยวย่อมรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไป๋ซู่กับเจียงเซี่ยน เขาจึงคาดเดาอยู่ในใจอย่างรางๆ
เขาตั้งใจหวีผม ล้างหน้า และแต่งตัวอยู่พักหนึ่ง แล้วไปที่จวนเป่ยติ้งโหว
พอเจอเป่ยติ้งโหว เขาถึงรู้ว่าวันนี้เป่ยติ้งโหวตั้งใจจัดงานเลี้ยงต้อนรับเขาโดยเฉพาะ แถมยังเชิญหวังจ้านซื่อจื่อชินเอินป๋อมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย
ทุกคนพูดจานอกเรื่องกันอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายหัวข้อสนทนาก็มาหยุดอยู่ที่จ้าวเซี่ยว
เมืองหลวงพออยู่ได้หรือไม่? ต่อไปมีแผนจะทำอะไร? หมั้นหรือยัง? ค่อนข้างสนิทกับผู้หญิงตระกูลไหนในเมืองหลวงเป็นต้น
จ้าวเซี่ยวตอบทีละข้อ
เป่ยติ้งโหวพอใจกับความสุขุมเยือกเย็นของเขามาก
—
ผ่านไปอีกไม่กี่วัน ฮูหยินที่สนิทกับตระกูลของพวกเขาก็เขียนจดหมายหาจิ้งไห่โหว ว่าอยากเป็นแม่สื่อให้จ้าวเซี่ยวกับเจียงเซี่ยน หากจิ้งไห่โหวก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ก็เขียนวันเดือนปีและเวลาเกิดของจ้าวเซี่ยวให้นาง
จิ้งไห่โหวยังไม่รู้เรื่องที่ลูกชายถูกฮ่องเต้แทงดาบหนึ่ง ก็ย่อมตอบตกลงอย่างเต็มปากเต็มคำ เขาเขียนวันเดือนปีและเวลาเกิดของจ้าวเซี่ยวและตั้งใจให้คนส่งเข้าเมืองหลวงโดยเฉพาะ จะได้ถือโอกาสเตรียมการเรื่องที่ลูกชายของตนเองจะแต่งงานกับเจียงเซี่ยนด้วย
ไปๆ มาๆ แบบนี้ กว่าวันเดือนปีและเวลาเกิดของจ้าวเซี่ยวจะถึงมือของฮูหยินคนนั้นก็กลางเดือนสี่แล้ว
จินเซียวชวนจ้าวเซี่ยวไปเที่ยว
จ้าวเซี่ยวยิ้มพลางตอบตกลง และถามเขาว่ายังมีใครอีกบ้าง?
จินเซียวกับเติ้งเฉิงลู่ได้ยินมาว่าวันเดือนปีและเวลาเกิดของจ้าวเซี่ยวถูกส่งเข้าวังฉือหนิงแล้ว
จินเซียวสบายดี หลายวันนี้เดินตามหลี่เชียนไปทั่วทุกที่ รู้จักองครักษ์ของหน่วยองครักษ์และขุนนางของกรมกลาโหมไม่น้อย นี่สำคัญกับแม่ทัพที่รักษาพรมแดนอยู่ในเมืองเล็กๆ ตรงชายแดนไกลๆ อย่างพวกเขามาก…ไม่ว่าจะเป็นเสบียงกับหญ้าหรือเงินเดือนทหาร พวกเขาต่างต้องติดต่อกับคนของกรมกลาโหมอยู่บ่อยๆ และสถานการณ์บางอย่างในเมืองหลวง ข่าวจากหน่วยองครักษ์ก็แม่นยำที่สุดแล้ว เขามีงานเลี้ยงเล็กทุกวันและงานเลี้ยงใหญ่ทุกสามวัน และดื่มจนแทบจะคิดว่าต้นหลิวเป็นต้นหยางแล้ว
ตอนนี้แม่ทัพในเมืองหลวงต่อให้ไม่รู้จักจินเซียวก็ต้องเคยได้ยินชื่อเขา
ทว่าเติ้งเฉิงลู่กลับแตกต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง
เติ้งเฉิงลู่ขังตนเองอยู่ในห้อง ว่ากันว่าไม่กินข้าวติดกันหลายวัน
ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นพี่น้องที่เคยประสบภัยมาด้วยกัน ก็คงเห็นเขาเป็นแบบนี้ไม่ได้กระมัง?
จินเซียวบอกเรื่องนี้กับจ้าวเซี่ยวอย่างอ้อมๆ และเอ่ยว่า “…ออกไปผ่อนคลายสักหน่อย ข้ายังนัดเจียงลวี่ หวังจ้าน กับพวกเฉาเซวียนด้วย ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งตรงชานเมืองหลวง สภาพแวดล้อมไม่เลวทีเดียว ข้าไปกับเพื่อนมาเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเราต่างกังวลกับอาการบาดเจ็บที่ไหล่ของเจ้าเล็กน้อย ไม่รู้ว่าร้ายแรงหรือไม่?”
———————–