เจียงเซี่ยนไปตำหนักของไทฮองไทเฮาอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ไทฮองไทเฮาได้ข่าวแล้ว และรู้ว่าไม่เพียงแต่เจียงลวี่ที่จะไป ทว่าหวังจ้านก็จะไปด้วย มีสองคนนี้อยู่ข้างกายเจียงเซี่ยน ไทฮองไทเฮาวางใจมาก นางยังกลัวว่าเจียงเซี่ยนจะไม่ไป จึงโน้มน้าวเจียงเซี่ยนว่า “ตอนที่ผู้หญิงยังไม่ออกเรือนนั้นอยู่บ้านตนเองเป็นแขก พอแต่งงานไปบ้านสามีแล้วก็เป็นคนดูแลเรื่องอาหารการกินในบ้าน ยังสามารถออกไปเที่ยวอย่างไร้ความกังวลได้ที่ไหนกัน? ฉวยโอกาสที่อาลวี่กับอาจ้านต่างมีเวลาว่าง เจ้าก็ออกไปข้างนอกกับพวกเขาเถอะ!”
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางขานรับ
เก็บของที่ใช้ไปเที่ยว ขอให้หมอหลวงเถียนทำยาที่ต้องพกติดตัวอย่างพวกยาลูกกลอนฮั่วชี่เจิ้งเซียง…วังฉือหนิงยุ่งจนเสียงดังอึกทึกครึกโครมไปสองสามวันถึงจะเตรียมของที่ไปเที่ยวของนางครบถ้วน ไทฮองไทเฮาเห็นข้างกายนางมีแต่พวกนางใน กลัวว่าตอนที่ต้องเรียกใช้คนจะไม่มีคนออกแรงสักคน จึงสั่งให้หลิวตงเยว่ติดตามไปด้วยเมื่อถึงเวลานั้น เช่นนี้ถึงจะรู้สึกจัดการเรียบร้อยแล้ว
จนกระทั่งนางกับไป๋ซู่เจอกันที่ประตูเฉาหยาง ไป๋ซู่เห็นหลิวตงเยว่ก็อดที่จะหัวเราะเบาๆ และล้อเจียงเซี่ยนเล่นไม่ได้ “ตอนนี้เจ้าต้องทำตัวดีๆ หน่อย ท่านหญิงเรียกใช้ขันที หากสืบสาวราวเรื่องขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นความผิดใหญ่เช่นกัน”
เจียงเซี่ยนไม่เห็นด้วย และเอ่ยว่า “เขาอยากจัดการข้า ก็มีข้ออ้างมากมาย เพิ่มขึ้นเรื่องหนึ่งคงจะไม่เพิ่ม ลดลงเรื่องหนึ่งก็คงจะไม่ลดเช่นกัน เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ จะหลบเลี่ยงก็สายไปแล้ว ก็ให้ตนเองใช้ชีวิตอย่างสุขสบายดีกว่า”
ไป๋ซู่แอบรู้สึกกังวล
เจียงเซี่ยนพูดแบบนี้…เหมือนผ่านวันนี้ไปก็ไม่มีพรุ่งนี้แล้ว…หากเจียงเซี่ยนหมายถึงดวงอาทิตย์ในยามเหม่า[1]ก็ไม่ถือว่าผิด แต่นางมีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร?
อย่างไรไป๋ซู่ก็ไม่เข้าใจ จึงไม่คิดแล้ว และตัดสินใจว่าจะคุยเรื่องส่วนตัวกับเจียงเซี่ยนตอนขากลับว่า นางอยากแต่งงานกับจ้าวเซี่ยวจริงหรือไม่? หากไม่อยากแต่งงานกับจ้าวเซี่ยว กลับคำตอนนี้ยังทัน นางไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับจ้าวเซี่ยว เพราะทุกคนต่างคิดว่าเขาดี แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดกับจ้าวเซี่ยว เพราะเขาถูกฮ่องเต้แทงดาบหนึ่ง ชีวิตคนเพียงแค่หลายสิบปี ถึงอย่างไรก็ต้องใช้ชีวิตด้วยตนเอง
นางครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ตลอด จึงค่อยๆ พูดน้อยลงไปด้วย
ส่วนเจียงเซี่ยนนั้นตื่นแต่เช้า พอไม่มีคนคุย นางก็พิงไหล่ของไป๋ซู่ และค่อยๆ หลับไป
ตอนที่นางถูกไป๋ซู่เขย่าตัวปลุกก็ถึงหมู่บ้านแล้ว
เจียงลวี่กับจินเซียวรอพวกนางอยู่หน้าประตู
เจียงเซี่ยนอดที่จะมองไปที่จินเซียวไม่ได้
เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงินสดใสทอลายค้างคาวห้าตัวล้อมคำว่าเมฆทรงกลมด้วยไหมทองที่ธรรมดามาก และปักปิ่นปักผมชุบเงิน เขายืนคุยและหัวเราะอยู่ข้างกายเจียงลวี่อย่างกระตือรือร้น สีหน้าเป็นปกติ สบายๆ สุขุมและเปิดเผย ท่าทางร่าเริงและตรงไปตรงมา เหมือนหลุดพ้นออกมาจากเรื่องการเลือกสามีของเจียงเซี่ยนแล้ว
เจียงเซี่ยนไม่รู้นิสัยเขา ไม่รู้ว่าเขาไม่สนใจเรื่องนั้นอีกแล้วจริงหรือไม่ แต่จินเซียวในเวลานี้กลับทำให้คนรู้สึกเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา หล่อเหลาเป็นพิเศษ และเป็นหนุ่มรูปงามที่ใครเห็นแล้วก็ต้องมองอีกครั้ง
เขาเข้ามาทักทายเจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่อย่างสุภาพ
ทั้งสองคนคารวะตอบ
จินเซียวเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านหญิงทั้งสองชอบอะไรบ้าง? ข้าจึงตัดสินใจโดยพลการใช้ผ้าม่านล้อมสวนดอกไม้ด้านหลังเอาไว้แล้ว ท่านหญิงทั้งสองสามารถเดินเล่นได้อย่างสบายใจ ไว้ตอนเย็นท่านหญิงทั้งสองเดินเล่นจนเบื่อแล้ว ข้าค่อยให้พวกเขาปลดม่าน และท่านหญิงทั้งสองก็ไปฟังเหล่าสตรีเล่านิทานหรือฟังการขับร้องประกอบดนตรีสำเนียงปักกิ่งที่หอทิงเทา ส่วนพวกเราก็ไปเปิดชมรมกวีกันที่สวนดอกไม้ด้านหลัง…”
ความนัยที่แฝงในนั้นคือ สถานที่ที่ล้อมม่านไว้นั้นทำความสะอาดแล้ว เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่สามารถเดินตามใจชอบได้ทุกที่ และอาจจะเจอพวกเจียงลวี่ในสถานที่ที่ล้อมม่านไว้
ทั้งสองคนยิ้มและตอบตกลง ไป๋ซู่ก็ชมจินเซียวอย่างประจบประแจง “แม่ทัพจินช่างคิดได้รอบคอบจริงๆ ครั้งนี้พวกเราได้ออกมาเที่ยว ขอบคุณแม่ทัพจินมาก!”
“ไม่หรอก ไม่หรอก” จินเซียวยิ้มและเอ่ยว่า “อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องกลับไปอวี๋หลินแล้ว ก็ได้ยินว่าเดือนสี่เมืองหลวงอากาศดีที่สุด จึงคิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องออกมาเที่ยวสักครั้งถึงจะไม่เสียเที่ยวที่มาเมืองหลวง ต่อไปหากท่านหญิงทั้งสองมีโอกาส ก็ไปเที่ยวที่อวี๋หลินเถอะ! ถึงตอนนั้นข้าจะต้อนรับพวกท่านอย่างดี และเลี้ยงพวกท่านด้วยเนื้อแพะของอวี๋หลิน”
“ได้สิ ได้สิ!” บางทีชั่วชีวิตนี้พวกนางอาจจะไม่ได้ไปอวี๋หลิน ทว่าไป๋ซู่ก็ยังคงยิ้มอย่างมีความสุข และหวังว่าสักวันจะได้ลองเดินออกจากเมืองหลวงแห่งนี้
เจียงลวี่ยิ้มอย่างอดทนและรออยู่ข้างๆ ให้พวกเขาทักทายให้เสร็จ แล้วถึงจะเข้าไปลูบศีรษะของเจียงเซี่ยน และเอ่ยว่า “จินเซียวหาสถานที่ได้ดีมาก หลังหมู่บ้านยังมีลำธารเล็กๆ สายหนึ่งด้วย พรุ่งนี้เช้าข้าจะพาพวกเจ้าไปตกปลา”
เจียงเซี่ยนชอบเที่ยวกับเจียงลวี่ พอได้ยินก็ยิ้มและพยักหน้าติดๆ กัน
ทุกคนไปที่หมู่บ้านในหุบเขา
จินเซียวเอ่ยกับเจียงเซี่ยนและไป๋ซู่ว่า “ใต้เท้าเฉา จ้าวซื่อจื่อ และเติ้งซื่อจื่ออยู่ระหว่างทางแล้ว ส่วนใต้เท้าหวังนั้นตอนบ่ายรับประทานอาหารเที่ยงแล้วถึงจะมาถึง…”
เจียงเซี่ยนฟังไปก็สำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบไปด้วย
หมู่บ้านในหุบเขานั้นดูเหมือนจะมีพื้นที่แค่สิบกว่าหมู่เท่านั้น สร้างขึ้นเลียนแบบสวนแบบเจียงหนาน พอเข้าไปก็เป็นภูเขาที่เป็นเหมือนฉากกั้น แล้วก็เป็นสวนดอกไม้ ห้องโถงใหญ่ และห้องโถงข้าง ต้นไม้เขียวชอุ่มเป็นพุ่มเหมือนป่า น้ำไหลรินเหมือนลำธาร สะพานเล็กโค้งเหมือนสายรุ้ง พอเดินเข้าไปทางประตูใหญ่ ก็เหมือนเดินเข้าไปในหมู่บ้านริมน้ำของเจียงหนาน
เจียงเซี่ยนอดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “ชานเมืองยังมีสถานที่ไปที่ดีแบบนี้ด้วยหรือ?”
จินเซียวยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านหญิงลองไปดูด้านหลังก็รู้แล้ว ยังมีนาข้าวผืนใหญ่ด้วยขอรับ! ว่ากันว่าหากมาตอนเดือนเจ็ดเดือนแปด ยังจะได้เด็ดผลไม้เองกับมือและส่งไปทำเป็นอาหารในห้องครัวด้วย ถึงเวลานั้นถึงจะหายากอย่างแท้จริง ต้องจองล่วงหน้าสิบกว่าวันถึงจะได้”
“นี่เป็นความคิดของใคร?” ไป๋ซู่ได้ยินแล้วก็สนใจมาก “ช่างทำการค้าได้ฉลาดจริงๆ!”
จินเซียวยิ้มและเอ่ยว่า “เจ้าของหมู่บ้านนี้แซ่เถียน ได้ยินว่าเป็นลูกหลานตระกูลเถียนแห่งเจียงหนานขอรับ”
ตระกูลเถียนแห่งเจียงหนานเป็นพ่อค้าใหญ่อันดับต้นๆ ในราชวงศ์ปัจจุบัน
ทุกคนพูดคุยกัน ไม่นานก็ถึงเรือนด้านหลังซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนของเจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่แล้ว
กระท่อมเล็กที่ห้องสว่างและสะอาดขนาดสามห้อง ตั้งอยู่ท่ามกลางไผ่เซียงเฟยที่รายล้อมไปด้วยสีเขียวขจี ดูเงียบสงบและงดงาม
“เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ!” ไป๋ซู่เอ่ยชม
จินเซียวชี้ไปที่ทางซ้ายของกระท่อมเล็ก และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ตรงนั้นยังมีบ้านอีกสองหลัง ห่างจากกระท่อมเล็กนี้เพียงแค่ป่าไผ่กั้น จัดให้ผู้ติดตามอยู่ได้พอดี”
ทั้งสองคนขอบคุณจินเซียว เจียงลวี่สั่งพวกนางว่า “พักผ่อนสักครู่ แล้วพวกเราค่อยเจอกันตอนรับประทานอาหารเที่ยง” และลุกขึ้นบอกลาพร้อมกับจินเซียว
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่เข้าไปในกระท่อมเล็ก ถึงพบว่ากระท่อมเล็กปัดกวาดไว้สะอาดมาก แถมยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอ้ายเซียงที่กำจัดยุง
ทั้งสองคนต่างชอบมาก
คนที่ดูแลรับใช้รีบมาปูฟูกหนาๆ ลงบนเตียงอรหันต์ขาสั้นทางตะวันตก ช่วยเจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ล้างหน้ากับเปลี่ยนเสื้อผ้า และเอนหลังพักผ่อนบนเตียงอรหันต์ ส่วนหลิวตงเยว่ก็สั่งให้นางในกับสาวใช้ของทั้งสองคนทำความสะอาดบ้าน
และเพราะคนที่รับใช้ข้างกายไป๋ซู่มีอยู่สองสามคนที่ออกมาจากในวัง หลิวตงเยว่เรียกใช้ขึ้นมาก็คุ้นเคยและง่าย ผู้ติดตามของทั้งสองคนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน แม้จะคนเยอะ แต่กลับไม่วุ่นวาย
เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็ตบหมอนอิงใบใหญ่ข้างกาย และเอ่ยอย่างคับแค้นใจว่า “ไม่รู้ว่าตอนที่ข้าแต่งงาน ให้ฝ่าบาทเลื่อนให้ข้าเป็นองค์หญิงได้หรือไม่ เช่นนี้ข้าก็สามารถพาหลิวตงเยว่ไปด้วยได้แล้ว”
“เจ้าฝันไปเถอะ!” ไป๋ซู่มองนางตาขวาง และเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เจ้าออกจากเมืองหลวงก็ดีแค่ไหนแล้ว” พูดถึงตรงนี้ นางก็อดที่จะลดเสียงให้เบาลงไม่ได้ และเอ่ยว่า “เจ้าว่าฝ่าบาทต้องการอะไรกันแน่? ในเมื่อไม่กล้าขัดพระราชประสงค์ของไทเฮา ทำไมยังจับเจ้าไว้ไม่ยอมปล่อยอีกล่ะ! ยังดีที่เจ้าเจอซื่อจื่อจิ้งไห่โหวแล้ว ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้เจ้าก็เลิกคิดที่จะแต่งงานไปได้เลย!”
————————————-
[1] ยามเหม่า = ช่วงเวลา 05.00-06.59 น.