มู่หนานจือ – บทที่ 155 ปลอบใจ

มู่หนานจือ

หลิวตงเยว่ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว จึงอดที่จะเตือนเจียงเซี่ยนไม่ได้ว่า “ท่านหญิง วางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำงานของท่านพัง งานที่ท่านมอบให้ข้า ข้าจะทำให้ได้อย่างแน่นอน แต่หลี่เชียนนั่นไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ท่านเคยปล่อยเขาไปแล้ว เขากลับคิดทำร้ายท่าน เขาต้องไม่มีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน! เวลานี้ท่านสูญเสียอำนาจ ก็ไม่จำเป็นต้องลดตัวลงมาทะเลาะกับคนพวกนี้ มีเรื่องอะไรทนสักหน่อยก็ผ่านไปแล้ว ไว้ได้เจอซื่อจื่อ ได้เจอไทฮองไทเฮาแล้ว เขาก็จะได้รับบทเรียน…”

ไม่มีจุดจบที่ดี!

นี่มันเรื่องอะไรกันล่ะ!

ทว่าคำพูดของหลิวตงเยว่ก็เตือนเจียงเซี่ยนเช่นกัน

เมื่อครู่นางมัวแต่โกรธ จึงไม่เคยคิดเลยว่าหลี่เชียนจะจัดการปัญหาที่ตกค้างอยู่ในภายหลังอย่างไร

หากเจียงลวี่กับจ้าวเซี่ยวตามมา เขายังคิดจะลงมือกับพวกเขาจริงๆ อย่างนั้นหรือ? แล้วถึงเวลานั้นนางจะทำอย่างไร?

หากเขาลักพาตัวนางไปถึงซานซีจริง ตระกูลเจียงกับไทฮองไทเฮาต่างก็ไม่มีทางที่จะปล่อยไปแบบนี้ แล้วเขาคิดจะทำอย่างไร?

เขาไม่กลัวถูกฮ่องเต้ออกราชโองการริบทรัพย์และสังหารทั้งตระกูลหรือ?

ทำไมเขาตอนอายุสิบแปดถึงได้กวนบาทาขนาดนี้!

ไม่ถูก

ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว เขาก็อายุสิบเก้าแล้ว

ชาติก่อนเขาได้รับความไว้วางใจจากฉีเซิ่งแม่ทัพต้าถงผู้บังคับบัญชาของเขา จนถึงขนาดทำให้ลุงของนางแนะนำให้เขาเป็นแม่ทัพต้าถงได้อย่างไร

ต้องรู้ว่า ต้าถง เมืองเซวียน และเมืองจี้เป็นสวนหลังบ้านของตระกูลเจียงมาตลอด คนที่ถูกกองขุนนางฝ่ายบู๊ของกรมกลาโหมส่งเข้ามากลางคันอย่างเขา ได้รับความโปรดปรานจากฉีเซิ่งและลุงของนาง นั่นเป็นเรื่องที่ยากมากทีเดียว

ชาติก่อนตอนแรกนางก็เลื่อนตำแหน่งให้เขาเพราะเหตุนี้เหมือนกัน

ตอนนี้เขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า?!

เจียงเซี่ยนต่อว่าหลี่เชียนอยู่ แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย

ชาติก่อนเขาไม่ได้เจอนางเร็วขนาดนี้ และมาเป็นแม่ทัพได้อย่างมั่นคงมากตลอดทาง…ทว่าเวลานี้เรื่องราวกลับยุ่งเหยิงไปหมด

ท่านลุง ท่านป้า ไทฮองไทเฮา เจียงลวี่…ไม่มีคนที่หลอกง่ายสักคน

บวกกับจ้าวเซี่ยว…เฉาเซวียน ไป๋ซู่ที่เข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องราวเหล่านี้…

นางคิดแล้วก็รู้สึกปวดศีรษะ จนอดที่จะนวดขมับไม่ได้

หลิวตงเยว่เห็นแล้วก็กังวลมาก จึงรีบเอ่ยว่า “ท่านหญิง ไม่สบายหรือเปล่าขอรับ? ไม่สบายตรงไหนขอรับ?”

เดินทางไกลมาถึงสถานที่ทุรกันดารและหาสถานที่พักแรมไม่ได้แบบนี้ หากท่านหญิงป่วย ก็ยุ่งยากแล้ว!

“ไม่เป็นไร!” เจียงเซี่ยนเอ่ย นางไม่มีแรงจะโกรธแล้ว “แค่รู้สึกว่าเรื่องนี้ยุ่งยากมาก สองสามวันนี้ต้องรบกวนเจ้าแล้ว ไว้กลับวังแล้ว ข้าจะทูลไทฮองไทเฮา ถึงเวลานั้นก็เลื่อนตำแหน่งให้เจ้าเป็นรองหัวหน้าขันทีระดับสี่”

หลิวตงเยว่ดีใจจนออกนอกหน้า เขาอยากคุกเข่าขอบพระคุณ แต่ก็ไม่มีที่ จึงทำได้เพียงเอ่ยว่า “ท่านหญิง ข้าจะทำตามที่ท่านสั่งอย่างแน่นอนขอรับ”

รองหัวหน้าขันทีระดับสี่อะไรนั้นเขาไม่กล้าคิดแล้ว หากหลีกเลี่ยงโทษประหารชีวิตได้ เขาก็คุกเข่าโขกศีรษะคำนับท่านหญิงเจียหนานเก้าครั้งแล้ว

เจียงเซี่ยนพยักหน้า แล้วถึงรู้สึกง่วงนอนมาก นางจึงหาวและนอนลง แล้วหลับไปอย่างสะลึมสะลือ

เดิมทีหลิวตงเยว่ยังอยากคุยกับเจียงเซี่ยนอีกเล็กน้อย พอเห็นเช่นนี้จึงจำต้องกลืนคำพูดลงไป และนั่งเฝ้าเจียงเซี่ยนอยู่ข้างๆ

รอบด้านเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงแมลงร้อง ไม่มีใครพูดแม้แต่คนเดียว หลิวตงเยว่หยิกต้นขาตนเองหลายครั้งถึงจะฝืนเฝ้าจนท้องฟ้าปรากฏแสงสว่างออกมาเล็กน้อยได้

หลี่เชียนเคาะรถม้า และถามว่า “ท่านหญิงตื่นหรือยัง?”

เวลานี้หลิวตงเยว่แทบอยากจะกินเนื้อของหลี่เชียน และดื่มเลือดของเขา แต่ก็กลัวว่าล่วงเกินเขาแล้วจะทำให้ท่านหญิงลำบาก จึงจำต้องกดความโกรธในใจลงไป แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างนอบน้อมว่า “ท่านหญิงยังไม่ตื่นเลย! ปกติท่านหญิงจะนอนถึงยามเหม่าจึงจะตื่น”

เขาอยากทำให้หลี่เชียนหงุดหงิดสักหน่อยโดยไม่ได้ตั้งใจ

เพราะฮ่องเต้ต้องว่าราชการตอนเช้า ปกติคนในวังจึงตื่นตั้งแต่ยามอิ๋นแล้ว

หลี่เชียนได้ยินแล้วก็ไม่แปลกใจ รู้สึกว่านี่ถึงจะเป็นท่าทีของเจียงเซี่ยน

เขาเอ่ยว่า “พวกเราต้องรีบออกเดินทางแล้ว ข้าให้อวิ๋นหลินวางน้ำถังหนึ่งไว้บนรถ เจ้าก็อยู่บนรถของท่านหญิงแล้วกัน หากท่านหญิงตื่นแล้ว เจ้าก็ช่วยท่านหญิงหวีผมและล้างหน้า”

เขาเอ่ยจบ ก็ไม่ได้รอให้หลิวตงเยว่ตอบเช่นกัน ได้ยินเขาไม่รู้ว่าคุยกับใครแว่วๆ ไม่กี่คำ คนที่เฝ้าเขาเมื่อวานก็ยกน้ำถังหนึ่งวางเข้ามา และพอปล่อยม่านรถลง รถม้าก็ออกวิ่งทันที

หลิวตงเยว่ตกใจ

เขาคิดว่าหากเขาเอ่ยแบบนี้อย่างไรหลี่เชียนก็ต้องให้ท่านหญิงเจียหนานล้างหน้าและเข้าส้วมอะไรทำนองนั้น

คิดไม่ถึงว่าหลี่เชียนกลับนึกจะไปก็ไป

หลิวตงเยว่รู้สึกหนักใจขึ้นมาในทันใด

ดูเหมือนก่อนหน้านี้เขาจะดูถูกหลี่เชียนแล้ว

เขาคิดว่าหลี่เชียนเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาที่หน้าตาดีและคารมดี จึงทำให้เจียงเซี่ยนชอบ และที่ได้เป็นแม่ทัพโหยวจี ก็เป็นเพราะมีบิดาที่เป็นแม่ทัพเท่านั้น

เขาผลักเจียงเซี่ยนเบาๆ “ท่านหญิง รีบตื่นเถอะขอรับ ไม่รู้ว่าหลี่เชียนจะพาพวกเราไปที่ไหนอีกแล้ว?”

เจียงเซี่ยนขยี้ตาอย่างสะลึมสะลือ และลุกขึ้นมานั่ง แล้วเอ่ยว่า “พวกเราเดินทางอีกแล้วหรือ?”

หลิวตงเยว่พลั้งปากตอบไปว่า “ขอรับ” และรินชาร้อนให้เจียงเซี่ยนถ้วยหนึ่ง

เจียงเซี่ยนดื่มชาแล้ว สมองก็พอจะปลอดโปร่งเล็กน้อย จึงเอ่ยว่า “จากเมืองหลวงไปซานซีต้องใช้เวลากี่วัน?”

หลิวตงเยว่ก็ไม่รู้เหมือนกัน

ตอนเขาอายุสามสี่ขวบก็ถูกคนซื้อเข้าเมืองหลวงแล้ว พออายุเจ็ดขวบก็เข้าวัง ที่ที่เคยไปไกลที่สุดก็คือภูเขาเสี่ยวทัง

เจียงเซี่ยนก็ไม่รู้เหมือนกัน

แต่นางรู้ว่าจากซีอานถึงเมืองหลวงต้องใช้เวลากี่วัน

ตอนนั้นหลี่เชียนคิดแต่อยากมีเขตอิทธิพลของตนเองสักแห่ง ทว่าต้าถงกับเมืองเซวียนเป็นเขตอิทธิพลของตระกูลเจียงมาตลอด อย่างไรเจียงเซี่ยนก็ให้ตระกูลเจียงยกที่ให้หลี่เชียนไม่ได้ คิดไปคิดมา จึงให้เขาไปซีอาน และเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้บัญชาการส่านซี

เจียงเซี่ยนนึกถึงเรื่องพวกนี้ก็รู้สึกว่าตนเองโง่ และเอ่ยอย่างท้อแท้ว่า “ซานซีเป็นเขตอิทธิพลของตระกูลหลี่ เขาจะต้องไปซานซีโดยเร่งเดินทางอย่างเต็มที่ทั้งวันทั้งคืนอย่างแน่นอน แล้วพวกเรายังห้ามเขาได้อย่างนั้นหรือ? เขาอยากรีบเดินทางก็รีบไปเถอะ! เจ้าแค่จำไว้ว่าทำงานที่ข้าให้เจ้าทำให้เสร็จก็พอแล้ว!”

หลิวตงเยว่รู้ว่าคำพูดของเจียงเซี่ยนมีเหตุผล คิดแล้วก็หดหู่เล็กน้อยเช่นกัน หลังจากช่วยเจียงเซี่ยนหวีผมและล้างหน้า หลี่เชียนที่ได้ยินเสียงก็ทิ้งม้ามานั่งบนแอกของรถ เขาถือของว่างเข้ามากล่องหนึ่ง และเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ระหว่างทางก็ไม่มีอะไรอร่อยเช่นกัน เจ้ารองท้องก่อนสักหน่อย ตอนเย็นพวกเราค่อยกินอะไรอร่อยๆ กันสักมื้อ”

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “พวกเราจะเข้าเมืองหรือ?”

กระต่ายเจ้าเล่ห์เตรียมโพรงไว้ซ่อนตัวหลายแห่ง[1] ใครจะรู้ว่าหลี่เชียนมีโพรงกี่แห่ง?

หลี่เชียนได้ยินก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าอยากลองไปดูในเมืองหรือ?”

นางไม่อยาก

ทว่าเวลานี้พวกเขารีบเดินทางโดยไม่หยุดแม้แต่เค่อเดียว นางมีโอกาสแจ้งข่าวให้เจียงลวี่ที่ไหนกัน?

นางแค่อยากใช้เวลาที่เข้าเมืองทิ้งดอกไม้ผ้าไหมผืนบางประดิษฐ์ที่สร้างขึ้นตามแบบของในวังดอกเดียวบนศีรษะไว้หน้าประตูเมือง

“แล้วแต่เจ้า” เจียงเซี่ยนเอ่ย “ข้ายังไม่เคยเห็นตลาดนอกเมืองหลวงเลย!”

หลี่เชียนยิ้มพลางมองนางด้วยสายตาอบอุ่น และเอ่ยว่า “ไว้ถึงซานซีแล้ว เจ้าอยากไปเดินเล่นที่ไหน ข้าก็จะไปเดินเล่นที่นั่นเป็นเพื่อนเจ้า!”

เจ้าคนสารเลวนี่ ตอบปฏิเสธนางเลยจะดีกว่า

เจียงเซี่ยนเข้าไปสะบัดม่านรถทีหนึ่ง โดยฝืนให้ตีโดนหน้าของหลี่เชียน

หลี่เชียนฝืนยิ้ม

ทว่าหลิวตงเยว่ที่อยู่ในรถกลับสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก และเตือนเจียงเซี่ยนเสียงเบาอย่างหวาดกลัว “ท่านหญิง บนหัวตัวอักษรคำว่าอดทนมีมีดอยู่เล่มหนึ่ง ท่านต้องอดทนเอาไว้ให้ได้! ท่านต้องอดทนเอาไว้ให้ได้ขอรับ!”

ทำไมนางต้องอดทนกับหลี่เชียนด้วย?

เขามีฝีมือลักพาตัวนางมา และมีฝีมือพานางไปซานซีอย่างเงียบๆ นะ!

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “หลี่เชียน ข้าอยากดื่มน้ำแกงไก่! ดื่มน้ำแกงไก่ที่มีควันกรุ่นๆ!”

————————————–

[1] กระต่ายเจ้าเล่ห์เตรียมโพรงไว้ซ่อนตัวหลายแห่ง หมายถึง มีที่ซ่อนตัวหลายแห่ง

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท