มู่หนานจือ – บทที่ 159 ตามรอย

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนถึงนึกได้ว่าเมื่อคืนหลิวตงเยว่ไม่ได้นอนทั้งคืน

นางรู้สึกผิด จึงรีบเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจข้าแล้ว รีบไปพักเถอะ!”

“ท่านหญิงไม่นอน แล้วข้าจะนอนหลับได้อย่างไร?” หลิวตงเยว่เอ่ย “ไว้ข้าดูแลให้ท่านหญิงนอนแล้วค่อยไปพักก็ไม่สายเช่นกันขอรับ”

เจียงเซี่ยนเห็นเขายืนแทบไม่ไหวแล้วยังเป็นห่วงตนเองอยู่ ก็รู้สึกซาบซึ้งมาก จึงพยักหน้าและนอนลง

แน่นอนว่าหลิวตงเยว่ไม่กล้านอนที่นี่ และเขาก็ไม่กล้าสั่งหลี่เชียนเช่นกัน จึงเรียกให้อวิ๋นหลินจอดรถสักครู่ และปีนขึ้นไปนอนต่อบนรถม้าคันที่อยู่ข้างหลัง

วังฉือหนิง เมืองหลวง

ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงแซ่ฝางกำลังคุยกับไทฮองไทเฮาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “…หม่อมฉันไม่อยากทำให้เด็กคนนี้น้อยใจ จึงคิดว่าให้นางดูพวกของออกเรือนที่เตรียมให้นางด้วยตาตนเองดีกว่า หากยังขาดตกอะไรไป หม่อมฉันก็สามารถเพิ่มเข้าไปได้ทันเวลา และหากไม่ชอบ ก็สามารถเปลี่ยนได้ทันเวลาเช่นกัน”

“ก็จริง ก็จริง” เพียงแค่ไทฮองไทเฮาคิดว่าเจียงเซี่ยนกำลังจะแต่งงาน และมีคนดูแลเจียงเซี่ยนหลังจากนางตายแล้ว นางก็ยิ้มไม่หุบ “เมื่อวานนางตามอาลวี่ไปที่หมู่บ้านแล้ว ข้าว่างไม่มีอะไรทำ จึงจัดของในคลังของข้า เห็นของที่เหมาะจะให้เป่าหนิงเป็นสินเดิมหลายชิ้น เดี๋ยวเจ้าไปดูกับข้าแล้วกัน ข้าอายุมากแล้ว และอยู่ในวังมานาน เกรงว่าของที่เลือกจะไม่ถูกใจเด็กสาว เจ้าช่วยดูให้ข้าหน่อย หากใช้ไม่ได้ก็ให้เหล่าช่างเงินช่างทองของฝ่ายประดิษฐ์หลอมใหม่อีกครั้ง และทำแบบใหม่”

ฝางจื่อชิงได้ยินก็รู้ว่าเป็นเครื่องประดับเงินและทอง

ไทฮองไทเฮาอยู่ในวังมาเกือบสามสิบปีแล้ว นางผ่านมาสามรัชสมัย จึงมีของดีมากมาย

ฝางจื่อชิงอยากไปดูมาก แต่นึกถึงคำสั่งที่ลูกชายขอให้นางเข้าวัง ก็จำเป็นต้องยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นในใจเอาไว้ และเอ่ยว่า “ของที่ไทฮองไทเฮาทรงเลือกมีของที่ไม่ดีด้วยหรือเพคะ? วันนี้สายแล้ว หม่อมฉันจึงต้องออกจากวังแล้ว ไว้วันหลังหม่อมฉันค่อยมาปรึกษากับไทฮองไทเฮาอย่างละเอียด หม่อมฉันจะนำรายการสินเดิมที่ทางหม่อมฉันเตรียมให้เป่าหนิงมาให้ไทฮองไทเฮาทอดพระเนตรและตัดสินพระทัยด้วย”

ด้วยกฎในวัง ตามปกติขุนนางที่เข้าวังมาเข้าเฝ้าจะออกจากวังก่อนยามอู่ ส่วนคนที่อยู่รับประทานอาหารนั้น กลางยามเซินก็ต้องออกจากวัง หากสายกว่านี้ ในวังก็จะลั่นดาล เมืองหลวงก็จะสั่งห้าม และจะเดินทางลำบาก

ไทฮองไทเฮาได้ยินแล้วก็ยิ้มพลางพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าอยากรับเป่าหนิงไปอยู่ที่หมู่บ้านอีกวันไม่ใช่หรือ? พรุ่งนี้เจ้าก็เข้าวังแล้วกัน ตอนกลางคืนก็พักที่ตำหนักของข้า แล้ววันมะรืนค่อยออกจากวัง เจ้าก็ไม่ต้องเสียเวลารับเป่าหนิงไปพักที่จวนเจิ้นกั๋วกงชั่วคราวด้วย”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเจียงเซี่ยนจะแต่งงานแล้ว เรื่องของผู้หญิงบางเรื่องยังต้องให้ฝางจื่อชิงแนะนำ เวลานี้กลับไปอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงสักสองสามวันจะเป็นผลดีกับเจียงเซี่ยน

นี่ก็คือจุดประสงค์ที่ฝางจื่อชิงเข้าวังเช่นกัน

อ้างว่าเจียงเซี่ยนอยู่จวนเจิ้นกั๋วกง และปิดข่าวที่เจียงเซี่ยนหายตัวไปกับไทฮองไทเฮาไว้ก่อน

ฝางจื่อชิงรีบยิ้มพลางขานรับ แล้วลุกขึ้นบอกลา และออกจากวังหลังทางประตูเสินอู่

คนที่รอนางอยู่หน้าประตูเสินอู่คือเจียงหาน

ฝางจื่อชิงเห็นเขา สีหน้าที่ตีหน้าขรึมต่อหน้าไทฮองไทเฮาอย่างยากลำบากก็ตีหน้าขรึมไม่ไหวอีกแล้ว และพังลงในชั่วพริบตา นางถามว่า “อาลวี่ล่ะ? ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”

เจียงหานหน้าตานอบน้อมมาก และเอ่ยว่า “พี่ใหญ่กับอาจ้านไปหาเกาหลิ่งแล้ว เขากลัวว่าทางท่านป้าจะไม่มีคนดูแล จึงให้ข้ามารับท่านขอรับ”

ดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว จวนเจิ้นกั๋วกงต่างรู้กันหมดแล้ว

ฝางจื่อชิงให้เจียงหานประคองตนเองขึ้นรถม้า พลางถามเขาว่า “อาลวี่บอกพวกเจ้าว่าอย่างไร?”

“ก็ไม่ได้บอกอะไรเช่นกันขอรับ” เจียงหานเอ่ย “ท่านพี่อาลวี่บอกว่า คนไม่พอ ให้ข้ามาช่วย ท่านพ่อของข้ายังไม่รู้เลย”

ทีนี้ฝางจื่อชิงก็วางใจแล้ว นางนั่งในรถม้าเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยว่า “มีข่าวจากทางฝ่าบาทหรือไม่?”

“ไม่มีขอรับ” เจียงหานก็ขึ้นรถม้าตามไปด้วยเช่นกัน สีหน้าผิดหวังอย่างยากที่จะปิดบัง และเอ่ยว่า “เมื่อวานท่านพี่อาจ้านกลับเมืองหลวง เร่งเดินทางไม่หยุด สุดท้ายก็ยังไม่ทันเวลาอยู่ดี จึงถูกขังอยู่นอกประตูเมือง และจำเป็นต้องรออยู่นอกประตูเมืองหนึ่งคืน พอประตูเมืองเปิดก็เข้าเมืองทันที ปรากฏว่าสิ่งที่ควรตรวจสอบก็ตรวจสอบหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย ท่านพี่อาลวี่บอกว่า เวลานี้จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากเกาหลิ่งแล้ว ดูสิว่าจะได้รู้อะไรจากเขาบ้างหรือไม่ ส่วนซื่อจื่อจิ้งไห่โหวก็ไปหาซุนเต๋อกงแล้ว” พอเอ่ยถึงตรงนี้ เจียงหานก็ชะงักไปเล็กน้อย “แล้วก็เฉิงเอินกง…ยุ่งมาก แต่ก็ยังไปหาซุนเต๋อกงเป็นเพื่อนซื่อจื่อจิ้งไห่โหว…”

ความนัยที่แฝงในนั้นคือ เดี๋ยวถ้าเจอเฉาเซวียนก็เกรงใจเขาหน่อย ถึงอย่างไรเขาก็กำลังช่วยพวกเขาอยู่

ทว่าฝางจื่อชิงกลับกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ นางได้ยินแล้วก็พยักหน้าส่งๆ และปรึกษากับเจียงหานอย่างตัดสินใจไม่ได้ว่า “ข้าว่าเรื่องนี้ก็ยังต้องบอกท่านกั๋วกงอยู่ดี เด็กอย่างพวกเจ้ามีวิถีทางของตนเอง แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องดี แต่เรื่องของเป่าหนิงจะเกิดผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ยิ่งหานางเจอเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี ท่านกั๋วกงมีช่องทางมากกว่าพวกเจ้า”

เจียงหานก็คิดแบบนี้เหมือนกัน “หากคืนนี้มีข่าวแล้ว ไม่ทำให้คนอื่นตกใจได้ ก็ย่อมไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว ทว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวเลย ข้าคิดว่าควรขอให้ท่านกั๋วกงคิดหาทางดีกว่า”

ฝางจื่อชิงเห็นเจียงหานก็คิดแบบนี้เหมือนกัน จึงส่งคนไปเรียกเจียงเจิ้นหยวนกลับมาจากกองบัญชาการห้าทัพทันที

ตั้งแต่เจียงเจิ้นหยวนแต่งงานกับฝางจื่อชิงมา นี่เป็นครั้งที่สามที่เขาถูกฝางจื่อชิงเรียกกลับมาตอนเข้าเวร

ครั้งแรกคืออดีตกั๋วกงแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเสียชีวิต

ครั้งที่สองคือเจียงเจิ้นอิงเสียชีวิต

เจียงเจิ้นหยวนได้ข่าวก็กลับจวนเจิ้นกั๋วกงทันที

ฝางจื่อชิงยังไม่เข้าไปข้างใน

สองสามีภรรยาเจอกันหน้าประตูใหญ่

เจียงเจิ้นหยวนขึ้นไปบนรถม้าของฝางจื่อชิงด้วยสีหน้ากังวล ฝางจื่อชิงรีบบอกเรื่องที่เจียงเซี่ยนหายตัวไปกับเจียงเจิ้นหยวน

เขานิ่งไปนานมาก

ตระกูลเจียงคุมกองกำลังรักษาพระนครอยู่ เจียงเซี่ยนมีเจียงลวี่อยู่ด้วย กลับหายตัวไปที่หมู่บ้านในต้าซิง

หมัดของเขาคลายแล้วก็แน่น แน่นแล้วก็คลาย ครู่ใหญ่เขาถึงจะยับยั้งความผิดหวังที่มีต่อเจียงลวี่และความกังวลที่มีต่อเจียงเซี่ยนไว้ได้ และเอ่ยกับฝางจื่อชิงว่า “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว คิดหาทางอย่าให้ไทฮองไทเฮาทรงทราบ พระนางอายุมากแล้ว ข้ากลัวว่าจะรับไม่ได้”

“ข้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร” ฝางจื่อชิงตอบ พลางลงจากรถม้าอย่างกังวลมาก และเข้าไปในเรือนด้านใน

ส่วนเจียงเจิ้นหยวนไปรอเจียงลวี่ที่ห้องหนังสือ

เจียงลวี่กับหวังจ้านแยกมาจากเกาหลิ่งแล้ว สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก

ฟังน้ำเสียงของเกาหลิ่ง สองวันนี้จ้าวอี้ยุ่งอยู่กับการส่งของให้ภูเขาวั่นโซ่วตลอด และไม่ได้มอบงานอื่นลงมา

เจียงเซี่ยนไม่ได้ถูกจ้าวอี้ลักพาตัวไปอย่างนั้นหรือ?

เช่นนั้นคนที่ลักพาตัวนางไปกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?

หากอยากใช้เจียงเซี่ยนเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง ทำไมตอนนี้ยังไม่ติดต่อพวกเขาอีก?

เจียงลวี่ไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เจียงเซี่ยนหายตัวไป

พอเขาคิดว่าเดี๋ยวยังต้องไปพบบิดาของตนเอง ก็อดที่จะนวดหน้าที่รู้สึกแข็งเล็กน้อยไม่ได้ และถามหวังจ้านว่า “เจ้าจะไปพักผ่อนที่จวนเจิ้นกั๋วกงกับข้าหรือกลับบ้านก่อน แล้วเดี๋ยวพวกเราค่อยพบกัน?”

“ข้ากลับจวนเจิ้นกั๋วกงกับเจ้า” หวังจ้านดูทั้งอ่อนเพลียและหน้าตาซีดเซียว ราวกับยืนตัวตรงไม่ไหวแล้ว เหมือนลมพัดมาก็สามารถทำให้เขาล้มลงได้ และดูแย่มาก “ข้ากลับบ้านไปแบบนี้ ท่านพ่อถามขึ้นมาข้าก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี”

“เช่นนั้นก็ดี!” เจียงลวี่คิดว่าความกังวลของหวังจ้านถูกต้องมาก “เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปกับข้าแล้วกัน!”

หวังจ้านพยักหน้าอย่างงุนงง

ทั้งสองคนขึ้นม้า

หวังจ้านเหยียบโกลนไม่ได้สักที

เจียงลวี่กำลังจะประคองเขา ก็มีคนเรียกว่า “ท่านพี่อาลวี่” จากข้างหลังพวกเขา

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท