อวิ๋นหลินที่จับตามองหลี่เชียนอยู่ตลอดอดที่จะเข้าไปใกล้ไม่ได้และเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านเป็นอะไรไปหรือ? ข้าว่าท่านหญิงดีมากเลย นางไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของท่านนี่นา!”
หลังจากวันนั้นที่หลี่เชียนโต้เถียงกับท่านหญิงเจียหนานสองสามคำ ท่านหญิงเจียหนานก็เหมือนกลายเป็นเข้าใจและมีเหตุผลขึ้นมาทันที ไม่เพียงแต่ไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหารที่หลี่เชียนเตรียมให้นาง ทว่ายังให้ความร่วมมือมากตลอดทางด้วย ให้พักผ่อนก็พักผ่อน ให้รีบเดินทางก็รีบเดินทาง เงียบสงบและเชื่อฟังเหมือนดอกไม้ที่เลี้ยงอยู่ในกระถางดอกไม้
แต่เพราะแบบนี้ หลี่เชียนถึงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ
เขาอดที่จะถอนหายใจไม่ได้ และมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง แล้วค่อยๆ เอ่ยว่า “อวิ๋นหลิน พวกเราจะระเบิดอารมณ์กับคนและเรื่องที่ตนเองไม่ชอบหรือไม่?”
อวิ๋นหลินยิ้มและเอ่ยว่า “แน่นอน! ปกติหลังจากโกรธและระเบิดอารมณ์ก็จะเสียใจ แล้วก็เหนื่อยมากด้วย”
หลี่เชียนได้ยินก็ยิ้มเยาะตนเอง
เหมือนถูกผีอำ อวิ๋นหลินตกใจจนตัวสั่นทันที และเข้าใจคำพูดของหลี่เชียนในทันใด
ก่อนหน้านี้ท่านหญิงทะเลาะกับหลี่เชียน เพราะนางยังสนใจหลี่เชียนอยู่ ทว่าเวลานี้นางวางตัวหยิ่งกับหลี่เชียน แล้วก็สุภาพราวกับหลี่เชียนเป็นคนแปลกหน้าด้วย
เขามองรถม้าที่เจียงเซี่ยนนั่ง และอดที่จะประหลาดใจไม่ได้
นิสัยของท่านหญิงเจียหนาน…ยังคงทำให้คนคาดเดาได้ยากจริงๆ!
คุณชายของพวกเขาก็ด้วย หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น อาจจะคิดว่าท่านหญิงเจียหนานแค่หมดแรงจะสู้แล้ว จึงสงบลง
อวิ๋นหลินเอ่ยอย่างลังเลว่า “คุณชาย หลายวันนี้ท่านหญิง…คงจะไม่ได้โกรธอยู่ตลอดใช่ไหมขอรับ?”
“หากโกรธก็ดีน่ะสิ!” หลี่เชียนพูดอยู่ สายตาก็หม่นหมองลงอีกเล็กน้อย และพึมพำว่า “กลัวแต่ว่านางจะไม่สนใจไยดีข้าแล้ว และไม่อยากแม้แต่เป็นศัตรูกับข้าด้วยซ้ำ”
อวิ๋นหลินได้ยินก็ตกตะลึง
หลี่เชียนฝืนยิ้มออกมา และเอ่ยว่า “คนแบบท่านหญิง ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรอยากเข้าไปใกล้นาง นางสนใจเจ้า นั่นเป็นการสนับสนุนเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ไม่จำเป็นต้องรับใช้อยู่ข้างกายนาง เพราะเจ้าไปแล้ว ย่อมมีคนจำนวนมากรอเข้าไปแทนตำแหน่งของเจ้าอยู่ ก็เหมือนที่ท่านหญิงอยากแต่งงานแล้ว จ้าวเซี่ยว จินเซียว เติ้งเฉิงลู่ มีคนไหนไม่ใช่คนที่มีความสามารถยอดเยี่ยมบ้าง ทว่าต่อหน้าท่านหญิงก็มีแต่ต้องรอถูกเลือกเท่านั้น และถึงจะรออยู่ก็อาจจะไม่ได้รับเลือกเช่นกัน จึงต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อยทำให้ท่านหญิงโปรดปรานด้วย แต่อย่างข้านั้น ต่อให้อยากถูกท่านหญิงเลือก ก็ยังไม่มีคุณสมบัติเลย!”
อวิ๋นหลินอดที่จะเงียบไปไม่ได้
สองสามคนนี้นอกจากเติ้งเฉิงลู่ที่เขาไม่เคยพบมาก่อนแล้ว จินเซียว แม่ทัพระดับสามอายุสิบแปดปี มาจากตระกูลที่มากด้วยอำนาจ รูปงามอย่างไม่มีใครเทียบได้ ส่วนจ้าวเซี่ยวนั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว ไม่รู้ว่ามีพ่อค้าใหญ่ตั้งเท่าไรที่มีทรัพย์สินในตระกูลและเงินทองมากมายอยากยกลูกสาวที่เกิดจากภรรยาเอกให้เป็นอนุภรรยาของจ้าวเซี่ยว หรือกระทั่งเป็นเมียบ่าว ขอเพียงจ้าวเซี่ยวรับของขวัญไว้ได้ ตอนช่วงปีใหม่หรือเทศกาลอื่นๆ ที่เชิญนักแสดงเข้ามาแสดงในบ้าน ไม่รู้ว่ามีครอบครัวตระกูลขุนนางตั้งเท่าไรที่ภูมิใจว่าสามารถเชิญจ้าวเซี่ยวมาร่วมงานได้ ทว่าคนสองคนที่โดดเด่นแบบนี้ ต่อหน้าท่านหญิงเจียหนานก็มีแต่ต้องถูกเลือกเท่านั้น
“ดังนั้นหากนางทะเลาะกับข้า ข้ายังมั่นใจอยู่บ้าง” หลี่เชียนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ที่นางปฏิบัติกับข้าอย่างสุภาพแบบนี้ เพราะไม่อยากคุยกับข้ามากนัก นางเห็นข้าเป็นคนธรรมดาข้างกายที่ไล่ออกไปให้จบเรื่อง ก็เหมือนกับเจ้าโกรธ ต้องใช้ทั้งแรงกายแรงใจและใช้ปัญญา นั่นก็เพราะสิ่งนี้หรือเรื่องนี้สำคัญกับเจ้ามาก ดังนั้นเจ้าถึงได้ใช้ความคิดแก้ไขมัน แต่หากเจ้าไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว เจ้ายังจะสิ้นเปลืองความคิดไปทำไม? เจียงเซี่ยนก็คงไม่อยากแม้แต่เปลืองสมองคิดเรื่องข้า”
“พรุ่งนี้พวกเราก็จะเข้าสู่อาณาเขตของซานซีแล้ว ยิ่งกว่านั้นจงเทียนอี้ยังรอพวกเราอยู่ที่ด่านเหนียงจื่อ”
“ทางจวนเจิ้นกั๋วกงนั้นก็น่าจะปิดไม่ได้แล้วเช่นกัน”
“ก่อนหน้านี้ข้ามั่นใจครึ่งหนึ่งว่านางจะอยู่ที่นี่”
“ทว่าตอนนี้ข้าไม่มั่นใจแม้แต่นิดเดียว”
“ข้ารู้สึกกลัวมาก”
“หากเจียงลวี่ตามมา แล้วนางจะตามเจียงลวี่กลับเมืองหลวง…”
เขาควรจะทำอย่างไร?
สีหน้าของหลี่เชียนฉายแววงุนงงเล็กน้อย
อวิ๋นหลินไม่เคยเห็นหลี่เชียนเป็นแบบนี้มาก่อน
ในใจเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลี่เชียนก็แข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว และกล้าหาญ รู้ว่าตนเองต้องการอะไร รู้ว่าตนเองควรจะทำอย่างไร และไม่เคยมีช่วงเวลาที่อ่อนแอ สับสน และตัดสินใจไม่ได้เลย
ก็เหมือนกับตอนนั้นที่เขาจะพาท่านหญิงเจียหนานกลับไปซานซี
อวิ๋นหลินคิดว่าหลี่เชียนเพ้อเจ้อและบ้าไปแล้ว
ทว่าเขาก็ยังติดตามหลี่เชียนที่แอบกลับมาเมืองหลวง
เขามักจะคิดว่าในเมื่อหลี่เชียนกล้าทำก็กล้ารับ แล้วก็ต้องมั่นใจอยู่บ้างอย่างแน่นอน
นี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นหลินเห็นความอ่อนแอของหลี่เชียน แล้วก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่อวิ๋นหลินรู้สึกได้ว่าหลี่เชียนกังวลว่าจะเสียเจียงเซี่ยนไป
หลี่เชียนก็ไม่ได้มั่นใจในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนอย่างที่เขาเห็นเช่นกันใช่หรือไม่?
อวิ๋นหลินครุ่นคิดในใจ
หลี่เชียนทำจิตใจให้สดชื่นขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ยังมีเวลาอีกสองวัน ข้าจะทำให้นางเปลี่ยนใจในสองวันนี้”
เสียงของเขาดังเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังให้กำลังใจตนเองหรือให้กำลังใจอวิ๋นหลิน
ไม่รู้เหตุใด อวิ๋นหลินเห็นหลี่เชียนเป็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกเศร้าใจ
เขาอยากเบี่ยงเบนความสนใจของหลี่เชียน จึงคิดแล้วก็ล้วงสร้อยข้อมือลูกประคำสิบแปดเม็ดที่ทำจากไม้จันทน์แดงใบเล็กออกมาจากในกระเป๋า และเอ่ยว่า “นี่เป็นของที่หลิวตงเยว่แขวนไว้ที่ป่าที่พวกเราพักเมื่อครู่”
หลี่เชียนยิ้มและรับไป แล้วใส่มันไว้ในถุงเงินที่พกติดตัว
ในถุงเงินนั้นยังมีผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งด้วย
อวิ๋นหลินเอ่ยว่า “ท่านคืนผ้าเช็ดหน้ากับลูกประคำให้ท่านหญิงดีกว่า”
แบบนี้ก็ทำให้ท่านหญิงเจียหนานรู้ว่าหลี่เชียนดีกับนางแค่ไหนแล้ว
หลี่เชียนส่ายหน้า และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นางจะรู้สึกเสียหน้าและพาลโกรธ อย่าให้นางรู้จะดีกว่า” เขาพูดอยู่ก็ชะงักไปอีก “ต่อให้ต่อไปอยากให้นางรู้ ก็ต้องหาโอกาสที่เหมาะสมในการบอกเช่นกัน”
อวิ๋นหลินไม่มีอะไรจะพูด
เขาปิดปากแน่น
หลี่เชียนไปที่รถม้าของเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนกำลังดื่มชา ส่วนโจ๊กไหนั้นถูกวางอยู่ข้างๆ
แม้หลี่เชียนจะไม่ได้แตะไหใบนั้น แต่ก็รู้ด้วยลางสังหรณ์ว่า โจ๊กในไหใบนั้นต้องเย็นแล้วอย่างแน่นอน
เจียงเซี่ยนไม่แปลกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขา
นางยิ้มอย่างเยือกเย็น แล้วยกถ้วยชาในมือขึ้น พลางเอ่ยอย่างสุภาพว่า “จะดื่มชาสักถ้วยหรือไม่? ชาเหมาเจียนของซิ่นหยาง ฝีมือในการชงชาของตงเยว่ไม่เลวทีเดียว ข้ารู้แค่ว่าตงเยว่ทำงานไว้ใจได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะชงชาเก่งด้วย”
หลี่เชียนมองหลิวตงเยว่ที่นั่งห่อไหล่คุกเข่าอยู่ข้างๆ อย่างเชื่อฟัง และกลัวว่าเขาเห็นแล้วจะขวางหูขวางตาครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “เป่าหนิง ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า ให้หลิวตงเยว่ไปพักผ่อนในรถม้าของเขาสักครู่ได้หรือไม่?”
“ได้สิ!” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตามใจเจ้า คุณชายหลี่ยังมีคำสั่งอื่นอีกหรือไม่?”
รอยยิ้มของนางอ่อนโยนและงดงาม กิริยาท่าทางสง่างามและสวยงาม เหมือนเหล่าหญิงงามในภาพวาดหญิงงามของราชวงศ์ก่อน ทว่านัยน์ตาของนางกลับเย็นยะเยือกราวกับดาวประกายพรึก เหมือนกับครั้งแรกที่เขาเห็นนางในวัง
หลี่เชียนเห็นแล้วก็รู้สึกปวดศีรษะ
“เช่นนั้นก็ช่างเถอะ!” เขายอมให้และเอ่ยว่า “ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่สำคัญเป็นพิเศษเช่นกัน” เขาเอ่ยพลางครุ่นคิด “ครั้งที่แล้วเจ้าถามข้าว่าคนที่ช่วยข้าเป็นใครไม่ใช่หรือ? ก่อนหน้านี้ข้าไม่บอกเจ้า เพราะกลัวว่าเจ้าจะคิดมาก ตอนนี้…”
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่รู้ว่าควรจะแสดงออกอย่างไรดี
สองทัพรบกัน เดิมทีก็ควรจะต่างใช้เล่ห์เหลี่ยมกันอยู่แล้ว
เขาไม่บอกนางว่าคนที่เขาจัดให้อยู่ข้างกายเจียงลวี่เป็นใคร ก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่หรือ?
แต่นางดันโกรธเป็นอย่างมาก!
เขาก็ไม่อยากทำสงครามเย็นกับนางแบบนี้ตลอด คิดไปคิดมา สุดท้ายก็จำต้องยอมให้
แถมยังต้องครุ่นคิดว่าจะใช้คำพูดอย่างไรที่จะไม่ทำให้นางเกลียด
เขารู้สึกว่าสิ่งนี้ยากกว่าที่เขากรีธาทัพทำสงครามและไล่ล่าศัตรูไปพันลี้เสียอีก!
หลี่เชียนอยากดึงคอเสื้อของตนเองมาก
ทว่าใครจะรู้ว่าเจียงเซี่ยนกลับหัวเราะเยาะ และเอ่ยต่อจากเขาว่า “เวลานี้จะเข้าสู่อาณาเขตของซานซีแล้ว คนที่แม่ทัพหลี่จัดให้มาช่วยก็อยู่แถวนี้แล้ว ข้าจะรู้หรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว…”