“ไปนอนเถอะ!” เจียงเจิ้นหยวนลูบศีรษะของเจียงลวี่ และเร่งเขาอีกครั้ง “ไม่ต้องคิดมาก เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ก็ต้องคิดหาทางแก้ไข ไม่ใช่เอาแต่จมอยู่กับการตำหนิตนเอง เอาแต่เศร้าเสียใจ มันไม่ช่วยอะไร”
“ขอรับ!” เจียงลวี่พยักหน้ารับคำสั่งสอน และกำชับบิดา “ท่านพ่อก็พักผ่อนเร็วหน่อยนะขอรับ”
เจียงเจิ้นหยวนยิ้มและพยักหน้า
เจียงลวี่เดินออกไปข้างนอก
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็อดที่จะหันกลับมาไม่ได้ และเอ่ยว่า “ท่านพ่อ อ๋องเหลียวนั่น…”
“ข้ารู้ดี” เจียงเจิ้นหยวนเอ่ย “ทางประตูเมืองหลายแห่งนั้นก็ยังคงสืบอยู่เช่นกัน”
นั่นก็หมายความว่า เจียงเจิ้นหยวนไม่ได้เชื่อคำพูดของจินเซียวทั้งหมด
เช่นนั้นทำไมไม่ซักไซ้จินเซียวอีก?
เจียงลวี่อยากถามบิดามาก ทว่าพอคิดอีกทีก็คิดได้ว่าเกลือที่บิดาเคยกินมากกว่าสะพานที่เขาเคยเดินเสียอีก[1] บางทีบิดาอาจจะมีเจตนาอื่น เขาจึงกลืนคำพูดนี้ลงไป และกลับไปพักที่ห้อง
คนจากไปห้องว่างเปล่า มีเพียงไส้ตะเกียงที่ไหม้จนกลายเป็นรูปดอกไม้ที่ส่งเสียงอย่างมีความสุข
เจียงเจิ้นหยวนหลับตาลงและเอนหลังบนเก้าอี้ไท่ซือ พลางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ไม่กล้าคิดถึงสถานที่ที่เจียงเซี่ยนอยู่
มีเด็กรับใช้เดินเข้ามาอย่างระมัดระวังมาก และเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านกั๋วกง ซื่อจื่ออันลู่โหว ขอพบขอรับ!”
เติ้งเฉิงลู่?
เจียงเจิ้นหยวนขมวดคิ้ว
เขานึกถึงชายหนุ่มรูปงามที่พูดน้อยจนเหมือนคนซื่อและพูดไม่เก่ง
มาพบเขาเวลานี้ หรือว่าเติ้งเฉิงลู่จะพบอะไรบางอย่าง?
เจียงเจิ้นหยวนนั่งตัวตรงทันที เขารู้สึกมีพลังขึ้นมา และรีบเอ่ยว่า “เชิญเขาเข้ามา! รีบเชิญเขาเข้ามา!”
—
ในเส้นทางที่ใช้สำหรับส่งเอกสารราชการและมีจุดพักหรือจุดเปลี่ยนม้าตั้งอยู่ระหว่างทางที่มุ่งหน้าสู่ด่านเหนียงจื่อของซานซีนั้น คนกลุ่มหนึ่งกำลังคุ้มกันรถม้าสองคันรีบเดินทางติดต่อกันหลายคืนอย่างเงียบเชียบ
ฝีเท้าม้ากระทบทางดินเหลืองอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยในค่ำคืนที่เงียบสงบ ปะปนกับเสียงบดถนนของล้อรถ ทว่าเสียงที่ดังซ้ำไปซ้ำมานั้นกลับดังอย่างสม่ำเสมอ
หากเจียงเจิ้นหยวนหรือฉีเซิ่งได้เห็นภาพนี้ จะต้องตกใจมากแน่ๆ
คนสามสิบกว่าคน เสียงฝีเท้าม้าเป็นระเบียบ นี่ไม่ได้กำลังขี่ม้าอย่างธรรมดาแล้ว
มีแต่เหล่าผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาหลายเดือนหลายปี เคยผ่านความเป็นความตายในสนามรบ จนม้าเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของคนขี่ม้าแล้ว และบังคับได้ตามความประสงค์เท่านั้นที่จะทำได้
ทหารม้าแบบนี้ ในชนกลุ่มน้อยทางเหนือหาได้ทั่วไป แต่ในด่าน[2]กลับหาได้ยาก ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏตัวมากขนาดนี้ในคราวเดียวด้วย
เสียดายที่เจียงเซี่ยนเหมือนคนตาบอดฟังโคลงคำขวัญคู่ ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวก็คือรถคันนี้ไม่เลวทีเดียว และไม่ได้โคลงเคลงขนาดนั้น องครักษ์ที่อยู่ข้างกายหลี่เชียนก็ประพฤติตัวเรียบร้อยมาก ไม่มองและไม่ฟังสิ่งที่ผิดจารีตประเพณี จะเห็นได้ว่าหลี่เชียนปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาก็ยังมีแบบแผนของตนเอง
นางจดจ่ออยู่กับการซักถามหลี่เชียนมากกว่า
“ข้าเดาถูกหรือไม่?” เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียนพลางยิ้มเยาะ
หลี่เชียนไม่เอ่ยสิ่งใด
ความโกรธในใจของเจียงเซี่ยนพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กลับฝืนอดทนไว้ไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา นิ้วมือที่ขาวผ่องและอ่อนนุ่มวาดไปตามดอกชาภูเขาที่ตัดเส้นด้วยผงสีทองบนขอบโต๊ะชาเบาๆ และกดไว้ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าน่ะดูเหมือนคุยได้กับทุกคน แต่ความจริงแล้วประเมินความสามารถของตนเองสูงไปมาก! แถมยังดื้อรั้น นี่เจ้ากำลังคิดว่าไม่คุ้มที่จะโกหกต่อหน้าข้าจึงไม่อยากบอกข้าใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่!” หลี่เชียนแก้ต่างอย่างไร้เรี่ยวแรง
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับเอ่ยต่อโดยไม่ฟังด้วยซ้ำว่า “ดูเหมือนข้าจะเดาผิดจริงๆ เสียด้วย”
“วันนั้นที่เกิดเหตุมีจ้าวเซี่ยว เฉาเซวียน อาจ้าน ท่านพี่ จินเซียว และเติ้งเฉิงลู่”
“ข้าสงสัยเติ้งเฉิงลู่ เพราะเติ้งเฉิงลู่ไร้เดียงสาที่สุด และเจ้าเจ้าเล่ห์ที่สุด เขาอาจจะหลงกลเจ้าก็ได้”
“แต่เจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็ไม่ใช่เขาแล้ว”
“แม้ข้าจะคู่กับเฉาเซวียนไม่ได้ ก็ไม่อยากสนใจเติ้งเฉิงลู่ ทว่าไม่ว่าจะเป็นเฉาเซวียนหรือเติ้งเฉิงลู่ กระทั่งจ้าวเซี่ยวเอง พวกเราต่างเป็นคนกันเอง”
“พวกเขาไม่มีทางทรยศข้าอย่างแน่นอน” เจียงเซี่ยนจ้องตาของหลี่เชียน เหมือนอยากดูให้ชัดเจนว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ “เช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว…ก็คือจินเซียว!”
เจียงเซี่ยน…ฉลาดจริงๆ!
หลี่เชียนถอนหายใจ
เจียงเซี่ยนรู้ว่าตนเองเดาถูกแล้ว จึงถามหลี่เชียน “ทำไมเขาต้องช่วยเจ้า?”
หลี่เชียนมองใบหน้าที่เย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็งและหิมะของนาง ทันใดนั้นก็เสียใจเล็กน้อยที่ล่อลวงให้จินเซียวทำผิดไปด้วย
ด้วยนิสัยของเป่าหนิง ถึงแม้นางจะคิดว่าไม่คุ้มที่จะไปหาเรื่องจินเซียว แต่หากพบจินเซียว ก็เป็นไปได้มากว่าจะถือโอกาสแอบเล่นงานจินเซียวไปด้วย
เพียงแค่หลี่เชียนนึกถึงภาพนั้น ลำคอก็ตีบตันเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุมได้ จนไอเบาๆ สองสามครั้ง
เจียงเซี่ยนทำหน้าขรึม และเอ่ยว่า “หลี่เชียน เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังไม่อยากบอกข้าหรือ?” นางเอ่ยจบก็เอ่ยทันทีโดยไม่รอให้หลี่เชียนเอ่ยปากว่า “เจ้ากับเขาน่าจะรู้จักกันไม่นานใช่หรือไม่? หากข้าเดาไม่ผิด พวกเจ้าน่าจะรู้จักกันหลังจากข้าไปภูเขาวั่นโซ่ว ซึ่งก็คือหลังจากข้าแนะนำเจ้า พวกเจ้าถึงรู้จักกัน”
“เจ้าโน้มน้าวอย่างไรจินเซียวถึงช่วยเจ้าล่ะ?”
“เกี่ยวดองกันหรือ?”
“ตระกูลของพวกเจ้าเหมือนจะมีน้องสาวแค่คนเดียว แถมอายุยังไม่ตรงกับจินเซียว…หรือว่าจะแต่งงานกับน้องชายของจินเซียว? ข้าได้ยินว่าจินเซียวมีพี่น้องหกคน ในเมื่อใต้เท้าจินให้จินเซียวมาสู่ขอข้าที่เมืองหลวง ก็แสดงว่าเขาคาดหวังกับลูกชายและลูกสาวมากทีเดียว ตระกูลของพวกเจ้ากำแพงป่นเป็นผงและต้นไม้เล็ก ตระกูลจินน่าจะยังไม่ถูกใจกระมัง?”
“ยิ่งกว่านั้นตระกูลจินในเวลานี้จินไห่เทายังเป็นผู้นำตระกูล เรื่องของตระกูลจินนั้นจินเซียวยังไม่มีสิทธิตัดสินใจ แล้วเจ้ามีอะไรถึงทำให้จินเซียวหวั่นไหวได้?” สายตาของนางแฝงความพยายามจับผิด และมองหลี่เชียนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า “หรือว่า…เจ้ารับปากว่าจะแต่งงานกับบุตรสาวของตระกูลจิน?”
“เจ้าพูดจาเหลวไหวอะไรน่ะ?” หลี่เชียนสามารถอดทนได้ทุกอย่างต่อหน้าเจียงเซี่ยน มีเพียงตอนที่เจียงเซี่ยนกำลังสงสัยในความรู้สึกที่เขามีต่อนางเท่านั้นที่ทนไม่ได้ “ทั้งที่เจ้ารู้ดีว่าข้า…” หางตาของเขาเหลือบไปเห็นหลิวตงเยว่ที่อยู่ในมุมรถม้า เขาจึงกลืนคำพูดที่มาถึงใกล้ปากแล้วลงไป และเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้า…ข้าไม่มีทางแต่งงานกับบุตรสาวของคนอื่นหรอก!”
เขายังอยากแต่งงานกับใครอีก?
เจียงเซี่ยนยับยั้งความโกรธในใจไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว นางเบิกตาโต และเอ่ยว่า “เจ้าสะเพร่าให้มันน้อยๆ ลงหน่อย! จินเซียวไม่ใช่คนเลอะเลือน ผลของการล่วงเกินจวนเจิ้นกั๋วกงและล่วงเกินวังฉือหนิง เขาน่าจะรู้ดี…” นางพูดไปก็คว้าหมอนอิงขึ้นมาขว้างใส่หลี่เชียนทันที “เจ้าเอาของอะไรของข้าให้เขาดูหรือไม่?”
“เปล่า!” หลี่เชียนปฏิเสธติดกันหลายครั้ง เขานั่งตัวแข็งทื่อรับอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว และเอ่ยว่า “ข้าจะทำเรื่องสกปรกแบบนั้นได้อย่างไร!”
แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนรู้ว่าเขาไม่มีทางทำ
นางเพียงแค่โกรธที่เขาไม่ยอมบอกนางเท่านั้น
“เจ้ายังคิดจะหลอกข้า!” นางข่มขู่เขา “หากข้าสืบได้ เจ้าตายแน่!”
“เปล่าจริงๆ!” หลี่เชียนอยากพูดแต่ก็หยุดไว้
เจียงเซี่ยนโกรธจัด และเอ่ยว่า “เจ้าจะบอกหรือไม่”
หลี่เชียนลังเลนานมาก ถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้า…ข้าเอาเทียบขอพบของเจิ้นกั๋วกงให้เขาดู…”
เจียงเซี่ยนอึ้งไป และได้สติกลับมาทันที
นางโยนหมอนอิงใส่หลี่เชียน “เจ้าคนสารเลว! ข้าเอาเทียบขอพบของท่านลุงให้เจ้า เพื่อให้เจ้ารักษาชีวิตไว้ได้เวลาที่เจออันตรายในเมืองหลวง แต่เจ้ากลับเอามันไปหลอกจินเซียว ทำให้จินเซียวคิดว่าข้าจะหนีตามเจ้าไป…ข้าก็ว่า ทำไมจินเซียวถึงรับปากเจ้าโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว จนทำให้ท่านพี่อาลวี่รับมือไม่ทัน…”
นางเสียใจมาก!
จินเซียว…นางเป็นคนแนะนำให้ เทียบขอพบ…นางเป็นคนให้
ก็เหมือนกับชาติก่อน
นางเชื่อใจเขาอย่างถึงที่สุดจนจัดเตรียมไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้วทั้งชีวิต ทว่าเขากลับทรยศนาง
เป็นคนมาสองชาติ นางก็ตกอยู่ในกำมือของคนคนเดียว
นี่นางไม่ได้เรื่องได้ราวขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?!
แล้วน้ำตาก็ร่วงลงมาจากใบหน้าของเจียงเซี่ยนอย่างไม่ทันตั้งตัว
หลี่เชียนลนลานขึ้นมาทันที
ในความทรงจำของเขา เจียงเซี่ยนเข้มแข็งมาก
ต่อให้นางกับฮ่องเต้จะเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ฮ่องเต้เป็นชู้กับแม่นมของตนเอง นางก็จะไปพิสูจน์ความจริง
และหากพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง นางก็สามารถลืมคนผู้นั้นไปจนหมดสิ้น และเลือกสามีที่จะแต่งงานได้ทันที
ทว่าเวลานี้นางกลับร้องไห้ออกมา
———————————–
[1] เกลือที่บิดาเคยกินมากกว่าสะพานที่เขาเคยเดินเสียอีก หมายถึง บิดามีประสบการณ์มากกว่าเขา
[2] ในด่าน หมายถึง พื้นที่แถบตะวันตกของด่านซานไห่และแถบตะวันออกของด่านเจียอวี้