เฉาเซวียนขาอ่อน และเกือบจะเป็นอัมพาตไปบนพื้น
เขาเกาะดอกไม้และต้นไม้ข้างๆ แล้วสูดหายใจลึก และถามขันทีคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเขาเสียงเบามาก “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ขันทีคนนั้นมองเขาครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาเหมือนยุงและแมลงวันว่า “ไทฮองไทเฮาให้พวกเขาประทับตราลงในราชโองการ พวกเขาบอกว่าต้องการหนังสือมอบจากกองพิธีการ…”
แน่นอนว่าพวกเขาเอาหนังสือมอบออกมาไม่ได้!
ดังนั้นจึงเป็นเช่นนี้หรือ?!
หน้าของไทฮองไทเฮายังเทียบหนังสือมอบแผ่นหนึ่งไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
เฉาเซวียนเงียบไป และพบว่าขันทีที่คุกเข่าอยู่โดยรอบนั้นนอกจากระดับห้าสองคนแล้วก็ล้วนเป็นพวกที่ไม่มีระดับ ระดับห้าสองคนนั้น คนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่ออกเต็มศีรษะ ส่วนอีกคนเหมือนหวาดกลัวจนตัวสั่นไม่หยุด
ไทฮองไทเฮาถามขันทีระดับห้าสองคนอย่างอ่อนโยน “ในมือของพวกเจ้าก็ไม่มีกุญแจที่เก็บรักษาและดูแลตราประทับของฝ่าบาทเหมือนกันหรือ?”
เฉาเซวียนมองใบหน้าที่ขาวผ่องและอวบอิ่มของไทฮองไทเฮา แล้วนึกถึงขันทีระดับหกที่ยังคงดิ้นรนเฮือกสุดท้ายอยู่ในเท้าไทฮองไทเฮานั้น ทันใดนั้นก็เข้าใจคำพูดที่ท่านป้าเคยพูดกับเขาในวันหนึ่ง ‘ขอเพียงเป็นผู้หญิงที่สามารถอยู่รอดในวังหลังได้ ก็ไม่มีใครเป็นคนธรรมดาสักคน’
เขานึกถึงไทฮองไท่เฟยที่ปรนนิบัติรับใช้ไทฮองไทเฮามาเกือบครึ่งร้อย…คนๆ นั้นเป็นย่าของว่าที่ภรรยาของเขา…
เฉาเซวียนรู้สึกหน้าผากของตนเองก็เหมือนจะเริ่มเหงื่อออกเช่นกัน
ขันทีที่เหมือนหวาดกลัวจนตัวสั่นคนนั้นใช้ทั้งมือและเท้าคลานไปตรงหน้าไทฮองไทเฮาแล้ว และตะโกนเสียงแหบว่า “ไทฮองไทเฮา กระหม่อมทราบว่ากุญแจอยู่ที่ไหนพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมจะไปหาให้ไทฮองไทเฮาเดี๋ยวนี้…”
ไทฮองไทเฮาไม่มองเขาสักครั้งด้วยซ้ำ
แต่หลิวเสี่ยวหม่านกลับเข้าไปพยุงเขาขึ้นมา พอเห็นเป้ากางเกงของเขาเปียกชุ่ม และส่งกลิ่นแปลกๆ ออกมา แถมยังยืนไม่ไหวด้วยซ้ำ ก็รีบส่งสายตาให้คนที่อยู่ข้างๆ จึงมีคนมาประคองขันทีคนนั้นทันที หลิวเสี่ยวหม่านถึงจะยิ้มและเอ่ยกับขันทีที่ฉี่รดกางเกงเสียงนุ่มว่า “นี่ถึงจะถูกต้อง! ไทฮองไทเฮาเรียกใช้เจ้า นั่นเป็นเรื่องที่ดีมากและเป็นพระคุณสำหรับเจ้า เจ้าควรจะตั้งใจรับใช้ไทฮองไทเฮาถึงจะถูก…”
เขาเอ่ยพลางตามขันทีสองคนนั้นเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของฝ่ายตราประทับ
ไทฮองไทเฮามองเฉาเซวียนครั้งหนึ่ง
เฉาเซวียนตกใจจนตัวสั่น และคิดได้ว่าราชโองการสองแผ่นนั้นยังอยู่ในมือของตนเอง จึงได้สติกลับมา และรีบวิ่งจากข้างกายไทฮองไทเฮาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของฝ่ายประทับตรา
เสียงร้องขอความเมตตาดังมาจากด้านหลัง
เฉาเซวียนฝืนอดทนไว้ถึงไม่ได้หันกลับไป
หากไทฮองไทเฮาฆ่าคนพวกนี้หมด ไม่นานฮ่องเต้ก็น่าจะรู้กระมัง?
ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะส่งใครตามเขาไปหรือไม่?
หากเขาถูกตามทัน เขาควรจะปลีกตัวออกมาอย่างไร?
เฉาเซวียนว้าวุ่นใจมาก เห็นเพียงหลิวเสี่ยวหม่านไม่รู้หยิบพวงกุญแจใหญ่ออกมาจากไหน ปากบ่นพึมพำว่า “พวงกุญแจไหนกันแน่” แต่มือกลับลอง ‘ตราประทับของฮ่องเต้’ ที่วางอยู่ในชั้นไม้จันทน์แดงฝาครอบแก้วเคลือบสีอย่างว่องไว ส่วนขันทีที่ฉี่รดกางเกงนั้นพูดอะไรไม่ออกตั้งนานแล้ว
เขาใจลอยเล็กน้อยในทันใด
เจียงเซี่ยนถือว่าเป็นชนชั้นสูงที่มีบรรดาศักดิ์ พระราชทานงานสมรสให้นาง ย่อมต้องใช้ตราประทับของฮ่องเต้ ทว่าหลี่เชียนกลับเป็นเพียงแม่ทัพโหยวจีระดับสามเล็กๆ คนหนึ่ง ราชโองการฉบับที่สั่งให้ฆ่าตัวตายนั้น…หากฮ่องเต้จัดการโดยเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ก็สั่งให้กรมพิธีการใช้ตราประทับที่ปกติเขาใช้กับสาส์นที่ขุนนางส่งมาก็ได้แล้ว หากจัดการโดยเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนรวม ก็ให้กรมอาญายื่นสาส์นและประทับตรา ‘พระราชโองการของฮ่องเต้’ ก็ได้แล้ว ครั้งนี้หลี่เชียนติดต่อกับเจียงเซี่ยนได้ ก็ถือว่าได้เสวยสุขกับสิทธิและฐานะของชนชั้นสูงที่มีบรรดาศักดิ์และราชโองการที่ประทับ ‘ตราประทับของฮ่องเต้’ ครั้งหนึ่งแล้วเช่นกัน ไม่แปลกเลยที่ชายหนุ่มทั้งราชสำนักนี้ต่างอยากแต่งงานกับเจียงเซี่ยน เพราะแม้แต่ตายก็ได้เสวยสุขกับระดับที่สูงกว่าคนอื่น…
เฉาเซวียนคิดถึงตรงนี้ ก็อดที่จะทำเสียงไม่พอใจออกมาไม่ได้
หากหลี่เชียนลักพาตัวเจียงเซี่ยนไปจริง การตายก็เป็นการทำให้เขาสบายด้วยซ้ำ!
ตอนที่เขามองไปที่หลิวเสี่ยวหม่านอีกครั้ง หลิวเสี่ยวหม่านหยิบตราประทับของฮ่องเต้ออกมาแล้ว และเอ่ยกับเฉาเซวียนว่า “รีบกางราชโองการบนโต๊ะเขียนหนังสือ”
เฉาเซวียนเอ่ยว่า “อื้อ” อย่างลนลาน และกางราชโองการอย่างรวดเร็ว
หลิวเสี่ยวหม่านหยิบชาดกล่องเล็กออกมาจากในถุงเงินที่พกติดตัว
เฉาเซวียนเกือบจะร้องไห้
แม้แต่สิ่งนี้ก็เตรียมพร้อมมาล่วงหน้าแล้ว…ข้างกายไทฮองไทเฮามีคนมีความสามารถมากมายจริงๆ
แล้วเขาก็มองหลิวเสี่ยวหม่านประทับตราของฮ่องเต้ลงบนราชโองการโดยมือไม่สั่นแม้แต่นิดเดียว
เฉาเซวียนคิด ที่ไทฮองไทเฮายังมีราชโองการที่ว่างเปล่าอีกแผ่น หากประทับตราของฮ่องเต้แล้วมอบให้เจียงเจิ้นหยวน ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
จ้าวอี้รู้หรือไม่ว่าตนเองนั่งอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟ และอาจจะถูกหินหนืดกลืนกินได้ตลอดเวลา…
เขาโรยทรายละเอียดที่ดูดซึมหมึกลงบนตราประทับของชาด และถามหลิวเสี่ยวหม่านเสียงเบาตอนที่รอให้ตราประทับแห้ง “คนข้างนอกจะจัดการอย่างไร? เรื่องอาจจะไปถึงหูฝ่าบาทได้”
หลิวเสี่ยวหม่านมองเขาและยิ้ม รอยยิ้มแลดูอ่อนโยนและเมตตาเล็กน้อย “ใครจะกล้าไปทูลฝ่าบาท? แม้แต่ตราประทับของฝ่าบาทก็รักษาและดูแลไม่ได้…”
เฉาเซวียนไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน บวกกับสิ่งที่เขากำลังทำในเวลานี้ ก็อดที่จะรู้สึกกลัวไม่ได้ จึงเอ่ยว่า “แต่ฝ่าบาทไม่มีทางที่จะไม่รู้…”
“ตอนนี้ไม่พูด มาพูดทีหลังยังมีประโยชน์อะไร?” เสียงของหลิวเสี่ยวหม่านอบอุ่นเหมือนกำลังสั่งสอนลูกหลาน “ยิ่งไปกว่านั้น…ไม่รู้ว่ามีคนจับตาดูรองหัวหน้าขันทีของซือหลี่เจียนอยู่ตั้งเท่าไร? เขาทำได้ไม่ดี ย่อมมีคนอยากทำ ไม่อย่างนั้นเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมข้างนอกถึงไม่เห็นระดับสี่สักคน? พวกเขาต่างหลบอยู่ในห้อง รู้ดีอยู่แก่ใจแต่ภายนอกแกล้งทำเป็นโง่! เฉิงเอินกงต่อไปทำอะไร ก็ต้องใช้สมองคิดให้มากเช่นกัน จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง แต่ก็เป็นเพราะจิตใจคนยากแท้หยั่งถึงเช่นกัน พอควบคุมได้แล้วก็ทำได้ทุกอย่าง” เขาเห็นเฉาเซวียนฟังคำพูดของเขาแล้วไม่ผ่อนคลายแม้แต่นิดเดียว กลับยิ่งเครียดมากขึ้น ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ และเอ่ยเสียงเบาลงไปด้วยว่า “เมื่อก่อนนางในในวังเป็นผู้ดูแลตราประทับของฮ่องเต้นี้ ท่านคิดว่าทำไมตอนฮ่องเต้เซี่ยวจงถึงเปลี่ยนเป็นฝ่ายตราประทับล่ะ? ก็เป็นเพราะเหล่ารองหัวหน้าขันทีของซือหลี่เจียนในเวลานั้นรู้สึกว่าการประทับตราไม่สะดวก ไม่สามารถปิดบังฝ่าบาทและแอบประทับตราลงในราชโองการได้ และไม่สามารถแสดงความน่าเกรงขามของหน่วยงานแรกในราชสำนักอย่างซือหลี่เจียนออกมาได้อย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นท่านคิดว่าทำไมพวกเขาซื่อสัตย์ขนาดนี้? ทำอะไรไม่เหลือทางหนีทีไล่ไว้เลย ทุกคนต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง แล้วฝ่าบาทยังกล้ามายุ่งกับไทฮองไทเฮาอีกอย่างนั้นหรือ…”
เฉาเซวียนงุนงงอย่างสิ้นเชิง
ถึงอย่างไรเฉาไทเฮาก็เป็นคนปกป้องมาตั้งแต่เด็กจนโต ถึงจะบ้านแตกสาแหรกขาดก็ยังไว้หน้าอยู่บ้าง
หลิวเสี่ยวหม่านยิ้มและตบบ่าของเฉาเซวียน พลางเอ่ยว่า “ท่านก็อย่าเหม่อเลย ไทฮองไทเฮากำชับแล้วว่า เดี๋ยวให้ข้าไปที่ฝ่ายดูแลคอกม้า ขอยืมใช้ม้าเหงื่อโลหิตที่ฝ่าบาทเลี้ยงไว้ที่อุทยานหลวงตะวันตกจากพวกเขาหน่อย ท่านกั๋วกงจะออกจากวังไปตอนนี้ก็ได้ ลองคิดดูว่าจะพาใครไปซานซีบ้าง เดี๋ยวข้าจะพาม้ากับราชโองการไปรอท่านที่สนามฝึกและตรวจกำลังพลในถนนเหนือของเมืองหลวงแล้วกัน ขันทีที่ดูแลงานที่นั่นเป็นคนสนิทของข้า จะได้ทาสีม้าตัวนั้นสักหน่อยด้วย หากม้าตัวนั้นวิ่งจนตายแล้ว ก็ไม่ต้องสนใจเช่นกัน ทิ้งไว้ข้างทางไปเลยก็พอ คนอื่นก็ไม่รู้เช่นกันว่านั่นคือม้าเหงื่อโลหิต…”
เฉาเซวียนไม่รู้ว่าตนเองเดินออกจากวังไปอย่างไร
กว่าเขาจะตั้งสติได้ เขาก็อยู่ระหว่างทางที่รีบไปซานซีแล้ว
—
จ้าวเซี่ยวหลับยาวถึงเวลาอาหารเที่ยงถึงจะถูกผู้ติดตามปลุก
เขาคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้ และรู้สึกเหมือนฝันไป เขานั่งเหม่ออยู่ตรงหัวเตียงนานมาก ถึงจะถามผู้ติดตาม “ทางจวนเจิ้นกั๋วกงมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่?”
ด้วยความสามารถของตระกูลเจียง สืบอ๋องเหลียวไม่นานก็น่าจะได้ผล
ผู้ติดตามของเขาลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วถึงเอ่ยเสียงเบามากว่า “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงกับซื่อจื่อชินเอินป๋อพาคนออกจากเมืองหลวงไปแล้วขอรับ ดูทิศทาง น่าจะไปทางตะวันตก แถมยังคนหนึ่งม้าสองตัว…”
นั่นก็หมายความว่า จะรีบเดินทางอย่างสุดกำลังทั้งวันทั้งคืน
จ้าวเซี่ยวสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก