เช้าวันรุ่งขึ้น เจียงเซี่ยนตื่นมาก็เห็นเปลือกหอยสังข์วางอยู่ข้างหมอน ขนาดเท่าจอกเหล้า เปลือกสีชมพู เปล่งแสงออกมาหลากสีสัน ดูคล้ายเปลือกหอยกาบที่ขัดให้เงามาแล้ว
นางอดไม่ได้ที่จะถือไว้ในมือและชม พลางถามหลิวตงเยว่ “ของชิ้นนี้มาจากไหนหรือ?”
หลิวตงเยว่กำลังยกน้ำล้างหน้าเข้ามา พอได้ยินก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใต้เท้าหลี่นำมาให้เมื่อคืนขอรับ เห็นท่านหลับแล้ว จึงไม่กล้าปลุกท่าน”
เปลือกหอยสังข์แบบนี้น่าจะหายากมาก
เจียงเซี่ยนถือไว้ในมือและส่องกับแสงแดด
บนเปลือกหอยสังข์มีรอยเป็นวงๆ เหมือนเคยถูกน้ำไหลเซาะ งดงามมาก
นางเอ่ยกับหลิวตงเยว่ว่า “ทำเป็นคนโทได้ชิ้นหนึ่ง น่าสนใจกว่าเครื่องเคลือบกับเครื่องดีบุกอีก”
ความรู้สึกชอบนั้นเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
หลิวตงเยว่เม้มปากยิ้ม และเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลี่ช่างตั้งใจจริงๆ วันนี้ฟ้ายังไม่สว่างก็ตื่นแล้ว กำลังต้มน้ำแกงปลาอยู่ขอรับ! ท่านล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้ว ข้าจะยกมาให้ท่านชิมสักหน่อย”
เจียงเซี่ยนพยักหน้า และวางเปลือกหอยสังข์ไว้ข้างๆ
หลิวตงเยว่รีบเก็บของไว้
เจียงเซี่ยนใช้เกลือบ้วนปาก ล้างหน้า และผูกผมอย่างลวกๆ นางกำลังรออาหารเช้าอยู่ หลี่เชียนก็ยกน้ำแกงปลาเข้ามาวางบนโต๊ะเล็กในรถม้าด้วยตนเอง
นางมองไปก็เป็นเพียงน้ำแกงถ้วยหนึ่งจริงๆ แถมต้มจนขาวมากเหมือนนมแพะ
เจียงเซี่ยนชอบของจืดชืดพวกนี้ ดื่มน้ำแกงไก่ก็ดื่มเพียงน้ำแกงถ้วยนั้นเท่านั้นเช่นกัน
นางยิ้มและขอบคุณหลี่เชียน
สายตาของหลี่เชียนหยุดอยู่บนศีรษะของนางชั่วครู่
นางไม่ได้หวีผม ไม่มีสาวใช้คอยดูแล หลายวันนี้ก็ผูกอย่างลวกๆ และผมกระเซิงแบบนี้ ดีที่ไม่ได้หน้าตามอมแมม
หลี่เชียนรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
เจียงเซี่ยนโตมาขนาดนี้ก็ไม่เคยลำบากขนาดนี้กระมัง?
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว ปล่อยให้มันกระจายและสยายไป ทุกครั้งที่เขาเห็นนางเป็นแบบนี้ไม่รู้ทำไมถึงนึกถึงเหล่ากวีที่มีชื่อเสียงในสมัยเว่ยจิ้นที่กล่าวถึงในหนังสือ มีความงดงามและเรียบง่ายอยู่ในตัว ทำให้เขารู้สึกว่านางลำบากก็มีความงดงามของความลำบากเช่นกัน
เขาไม่ได้จากไปเหมือนเช่นเคย แต่นั่งปรึกษากับนางเสียงเบาบนแอกของรถ “แถวนี้มีวัดป่าโอสถ ทิวทัศน์สวยมาก ไม่อย่างนั้นพวกเราไปพักในวัดสักคืนแล้วกัน? เจ้าก็จะได้อาบน้ำล้างมือล้างหน้าด้วย ไท่หยวนยังอยู่ห่างจากที่นี่อีกสามสี่วัน”
เจียงเซี่ยนเอียงศีรษะมองเขา และล้อเล่นว่า “เจ้าคิดจะพาข้าไปด้วยจริงๆ หรือ? พ่อของเจ้าน่าจะไม่รู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่? มิน่าเล่าเจ้าถึงบอกข้าว่าเจ้าซื้อบ้านที่อยู่หลังกองบัญชาการไว้หลังหนึ่ง คิดจะซื้อบ้านให้ผู้หญิงที่รักอยู่อาศัยเอาอย่างบุรุษทั่วๆ ไป อย่างนั้นหรือ?”
หูของหลี่เชียนแดงก่ำในทันใด
เขาไอเบาๆ อย่างอึดอัดเล็กน้อย และข้ามเรื่องพวกนี้ไปเอ่ยว่า “ข้าได้ยินว่าวัดป่าโอสถมีถ้ำหินเย็นอยู่แห่งหนึ่ง ถ้ำหินแกะสลักพระพุทธรูปไว้หลายองค์ และยังมีบ่อน้ำแปดเหลี่ยมด้วย น้ำบ่อนั้นสามารถขจัดภัยและป้องกันโรคได้ จึงถูกคนในพื้นที่เรียกว่า ‘น้ำศักดิ์สิทธิ์’ ถึงเวลานั้นข้าไปขอดื่มสักถ้วยเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่?”
เจียงเซี่ยนรู้ว่าหลี่เชียนไม่อยากบอกแผนการของเขากับนาง จึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แล้วก็คิดว่าหากนางเป็นหลี่เชียน ก็เกรงว่าจะทำแบบนี้เหมือนกัน ชั่วขณะหนึ่งจึงรู้สึกเข้าใจมาก จะโมโหก็แลดูเหมือนจงใจหาเรื่องอย่างไม่มีเหตุผล ดังนั้นนางจึงไม่ซักไซ้ไล่เลียง และคุยเล่นกับหลี่เชียน “เรื่องอื่นต่างพูดง่าย วัดป่าโอสถมีคนไปไหว้มากมาย แต่จะมากกว่าวัดต้าเซี่ยงกั๋วกับอารามเมฆขาวได้หรือ? แทนที่จะไปดูเรื่องสนุก เจ้าหาสถานที่ให้ข้าพักผ่อนดีกว่า หลายวันนี้นอนอยู่แต่บนรถม้า จนเอวของข้าจะแข็งแล้ว”
หลี่เชียนอดที่จะปรายตามองเอวของนางครั้งหนึ่งไม่ได้
เจียงเซี่ยนนอนตะแคงอยู่บนหมอนอิงใบใหญ่อย่างเอียงๆ รูปร่างน่าหลงใหลเหมือนเทือกเขาที่สูงต่ำสลับกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอวบางที่จมลงไปนั้น บางราวกับกิ่งหลิวที่พลิ้วไหว เหมือนมือสองมือก็สามารถปิดได้
“เช่นนั้นก็ดี!” หลี่เชียนพูดออกมาราวกับจิตใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ข้าจะส่งคนไปจัดการที่วัดป่าโอสถเดี๋ยวนี้ รถม้าของพวกเราวิ่งช้าหน่อยได้ พรุ่งนี้เจ้ายังจะไปเดินเล่นในเมืองสักหน่อยหรือไม่? มีของอะไรต้องซื้อหรือไม่…”
เหมือนไม่กังวลว่าจะมีคนมาหาอย่างสิ้นเชิง
เจียงเซี่ยนรู้สึกไม่สบายใจ และไม่มีอารมณ์คุยกับหลี่เชียนแล้ว จึงถามหลี่เชียนว่า “เจ้ากินอาหารเช้าแล้วหรือ? ข้าจะกินอาหารเช้าแล้ว! มีอะไรเดี๋ยวพวกเราค่อยว่ากันเถอะ?”
หลี่เชียนตอบว่า “ได้” ทว่าสายตากลับเผยความอาลัยอาวรณ์อย่างลึกซึ้งออกมาโดยไม่รู้ตัว
เจียงเซี่ยนรู้สึกเพียงหน้าร้อนผะผ่าว
ตอนเที่ยง พวกเขาถึงวัดป่าโอสถแล้ว
เจ้าอาวาสของวัดป่าโอสถห่มจีวร และพาเหล่าพระกับเณรมาต้อนรับหน้าประตูใหญ่ของวัด ข้างๆ ยังมีเกี้ยวด้วย
เจียงเซี่ยนเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก
หลังจากหลี่เชียนทักทายพระกับเณรเหล่านั้น ก็ให้นางขึ้นเกี้ยวอย่างที่คิดจริงๆ
เจียงเซี่ยนคิดว่าเหล่าพระอาวุโสกำลังปีนเขา นางนั่งเกี้ยวตามไป เหมือนไม่ค่อยเคารพพระโพธิสัตว์ จึงไม่ค่อยอยากนั่งเกี้ยว
แต่ใครจะรู้ว่าหลี่เชียนกลับเอ่ยกับนางเสียงเบาว่า “วันนั้นเจ้าเดินจากเรือนด้านในของหมู่บ้านมาถึงประตูข้างก็แทบจะเดินไม่ไหวแล้ว นับประสาอะไรกับบันไดหลายพันขั้นของวัดป่าโอสถเล่า? หากเจ้าเดินไปได้ครึ่งทางและเดินไม่ไหวแล้ว…” เขาเอ่ยถึงตรงนี้ นัยน์ตาสองข้างก็ทอประกาย และเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีว่า “แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงเวลานั้นข้าก็แบกเจ้าขึ้นเขาลงเขาแล้วกัน”
เจียงเซี่ยนไล่เขาออกไป พอคิดถึงสภาพที่ตนเองหอบและปีนไม่ไหวแล้ว ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ และให้หลิวตงเยว่ประคองนางขึ้นเกี้ยว
หลี่เชียนปีนขึ้นไปบนภูเขาโดยรายล้อมไปด้วยพระหลายรูปอย่างแน่นหนา
เจียงเซี่ยนเลิกม่านเกี้ยวขึ้นมองออกไปข้างนอก หากไม่ใช่ภูเขาที่เต็มไปด้วยพืชพรรณสีเขียวกับต้นสนและต้นไป่ ก็เป็นยอดเขามากมาย ดูสองสามครั้งนางก็เบื่อแล้ว จึงปล่อยม่านเกี้ยวลงและงีบ ใครจะรู้ว่าจะหลับไปจริงๆ ตอนที่นางตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้น พวกเขาก็ถึงหน้าอุโบสถของวัดแล้ว
หลิวตงเยว่รีบเข้ามาดูแลให้เจียงเซี่ยนสวมหมวกม่านตาข่าย
พระหลายรูปยังควบคุมตนเองได้ ทว่าเณรหลายรูปที่ตามมานั้นกลับทำไม่ได้ พวกเขาคอยหาโอกาสที่จะได้เห็นเจียงเซี่ยนสักครั้ง และแสดงความอยากรู้อยากเห็นออกมาอย่างหมดเปลือก
จนกระทั่งพวกเขาไหว้พระโพธิสัตว์ พักผ่อนในห้องข้างที่ให้คนที่มาไหว้พระที่วัดค้างคืนโดยเฉพาะ นำน้ำร้อนมาให้ และเห็นหลิวตงเยว่รับใช้เจียงเซี่ยนที่ห้องด้านนอก คนเหล่านั้นก็เริ่มมองหลิวตงเยว่และแอบซุบซิบกันอีก
เจียงเซี่ยนขี้เกียจที่จะสนใจ นางไม่ได้อาบน้ำดีๆ มาหลายวันแล้ว จึงแช่อย่างสบายในอ่างอาบน้ำใหม่ที่ไม่รู้ว่าหลี่เชียนหามาให้นางจากไหน แล้วเช็ดตัวอย่างลวกๆ…ส่วนผมที่เปียกนั้นก็เหลือบ่ากว่าแรงแล้วจริงๆ
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางอาบน้ำเอง
เจียงเซี่ยนกำลังลังเลอยู่ว่าจะเรียกหลิวตงเยว่เข้ามาช่วยดีหรือไม่ หลิวตงเยว่ก็เอ่ยผ่านบานประตูมาว่า “ท่านหญิง ใต้เท้าหลี่ส่งหญิงสาวสองคนมาสระผมให้ท่าน ท่านจะให้พวกนางเข้ามารับใช้ไหมขอรับ?”
ผมที่เปียกตอนอาบน้ำเมื่อครู่ทำให้เสื้อชั้นในของนางเปียกแล้ว หากนางไม่ให้พวกนางเข้ารับใช้นางก็เกรงว่าเดี๋ยวคงต้องสวมเสื้อผ้าเปียกๆ
ยิ่งกว่านั้นนางเชื่อว่าคนที่หลี่เชียนหามาน่าจะไม่แย่มากนัก
เจียงเซี่ยนให้หญิงสาวสองคนนั้นเข้ามา
หญิงทั้งสองต่างแต่งตัวธรรมดามาก แต่สะอาดและเรียบร้อยมาก หลังจากเข้ามาก็ไม่มองมั่วซั่วเช่นกัน แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงที่ทำอะไรว่องไวและรู้งาน
เจียงเซี่ยนให้พวกนางสระผมให้ตนเอง
หญิงสองคนนั้นตอนแรกก็ยังไม่ส่งเสียง ตอนหลังเห็นเจียงเซี่ยนหน้าตาอ่อนโยนและใจดี ก็อดที่จะชมเจียงเซี่ยนไม่ได้
“แม่นางผมสวยจริงๆ ดำขลับ ไม่ทาน้ำมันใส่ผมก็ยังลื่น ข้าเคยเจอหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนและที่ออกเรือนแล้วใกล้หมู่บ้านเหล่านี้มาไม่น้อย แต่กลับไม่มีใครเทียบแม่นางได้สักคน”
และเอ่ยอีกว่า “แม่นางผิวละเอียดและเกลี้ยงเกลาจริงๆ ขาวและนุ่มกว่าเด็กที่เพิ่งเกิดเสียอีก มิน่าเล่าเมื่อครู่ใต้เท้าผู้นั้นถึงสั่งว่าแค่สระผมให้แม่นาง นี่หากอาบน้ำให้แม่นาง เกรงว่าสองมือของพวกเราจะข่วนผิวของแม่นางเป็นรอยแล้ว”
และถามอีกว่า “ทำไมแม่นางไม่พาสาวใช้มาด้วยสักสองคน? เจ้าหนุ่มข้างนอกเมื่อครู่นั้นเป็นอะไรกับแม่นางหรือ? เหตุใดท่านไม่มีสาวใช้ข้างกายเลยสักคน?”