ระยะทางต่อมาหลังจากนั้นเจียงเซี่ยนก็แลดูจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
กินอาหารกลางวันที่เป็นมังสวิรัติล้วนแล้ว นางก็ถามหลี่เชียน “พวกเราจะออกเดินทางเมื่อไร?”
หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “เจ้าอยากไปเร็วหน่อยหรือ?”
เจียงเซี่ยนส่ายหน้า และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าอยากพักกลางวัน หากเจ้าจะไปตอนบ่าย เวลานี้ก็ต้องเริ่มเก็บสัมภาระแล้ว”
หลี่เชียนเอ่ยว่า “พวกเราออกเดินทางพรุ่งนี้”
เจียงเซี่ยนไม่ได้ถามว่าทำไม และให้หลิวตงเยว่พากลับห้องข้าง
หลี่เชียนยืนอยู่ในลานกว้าง เขามองต้นทับทิมที่ดอกตูมสีแดงเพิ่งบานข้างบันไดของห้องหลักและถามจงเทียนอี้ “ในวัดต้องไม่มีความปรารถนาใดๆ แล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมที่นี่ถึงปลูกต้นทับทิม?”
ตามปกติต้นทับทิมจะแฝงความหมายว่ายิ่งมีลูกมากยิ่งมีวาสนา
จงเทียนอี้คิดนานมาก และเอ่ยว่า “พวกคนที่มาขอพระโพธิสัตว์ในวัดอาจจะหวังว่ายิ่งมีลูกมากยิ่งมีวาสนากระมัง?”
“ที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของพระโพธิสัตว์กวนอิมเสียหน่อย”
“ไม่อย่างนั้นก็เป็นเพราะพระศรีศากยมุนีดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง?”
ทั้งสองคนคุยแต่เรื่องที่น่าเบื่อนี้ประมาณครึ่งก้านธูป ปิงเหอก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาในลานกว้างด้วยสีหน้าลนลาน
“นายท่าน!” เขาถือเทียบเชิญปิดทองสีแดงเข้มอยู่ในมือ เสียงที่พูดอยู่ก็สั่นไปด้วย “คือ…ซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงให้คนส่งเทียบขอพบมาขอรับ บอกว่าอยาก…อยากขึ้นเขามาเยี่ยมเยียนท่าน เขาพาคนมาสิบกว่าคน เว่ยสู่บอกว่า ทุกคนเป็นยอดฝีมือ ยอดฝีมือของหน่วยองครักษ์ขอรับ…”
ในที่สุดก็มาแล้ว!
เหตุการณ์คับขัน หลี่เชียนกลับโล่งอก
เขาเอ่ยว่า “เชิญซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงไปนั่งในห้องโถงด้านหน้า!”
เสียงของหลี่เชียนสุขุมและเยือกเย็น หลังจากปิงเหอจากไปอย่างเร่งรีบแล้ว จงเทียนอี้ก็อดที่เอ่ยเสียงเบาไม่ได้ว่า “เจ้ารอเจียงลวี่อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย!”
“ไม่อย่างนั้นเล่า?” หลี่เชียนยิ้มพลางย้อนถามว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะหลบเจียงลวี่อย่างนั้นหรือ? ใต้หล้าอันกว้างใหญ่ล้วนเป็นแผ่นดินของฮ่องเต้ ข้าหลบได้เพียงชั่วคราว ใช่ว่าจะหลบไปตลอดชีวิต”
ก็จริง
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาหลี่เชียนก็ไม่เคยเป็นคนที่ถูกกระทำและถูกทำร้าย
ออกไปทำสงครามกับศัตรูเองแบบนี้ต่างหากที่เป็นนิสัยของเขา
จงเทียนอี้อดไม่ได้ที่จะแสดงความกล้าหาญออกมามากกว่าปกติ และเอ่ยว่า “ไป ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า ข้าจะได้มีโอกาสทำความรู้จัก ‘เสี่ยวหลี่ก่วง’ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้นี้ด้วย”
“เขาจะต้องไม่ทำให้เจ้าผิดหวังอย่างแน่นอน!” หลี่เชียนยิ้ม ในดวงตามีความภูมิใจอย่างรู้สึกเป็นเกียรติและโชคดี แล้วหันตัวไปที่ห้องโถงตรงประตูใหญ่
จงเทียนอี้อึ้งไป พอเห็นว่าเงาร่างของหลี่เชียนหายไปที่ประตูฉุยฮวาแล้ว ก็รีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
—
หวังจ้านมองทางบนภูเขาอันสูงชันที่ว่างเปล่าและไม่มีใครเฝ้าสักคน เด็กรับใช้ที่ฝีเท้าหนักอึ้งและหอบหายใจหนักนำทางอยู่ข้างหน้า เส้นเลือดบนหน้าผากปูดออกมาตลอดเวลา
เขาเอ่ยกับเจียงลวี่เสียงเบาว่า “ท่านพี่อาลวี่ หลี่เชียนรังแกคนเกินไปแล้ว เขาเดาได้ว่าพวกเราไม่กล้าลงมือกับเขาตามใจชอบอย่างนั้นหรือ? ถึงได้หยุดอยู่ที่นี่อย่างไม่สนใจไยดีแบบนี้…”
“อาจ้าน!” เจียงลวี่หยุดฝีเท้า และเอ่ยแทรกเขา มองดวงตาของเขาด้วยสายตาลุ่มลึก และเอ่ยเสียงเบาว่า “ตอนนี้เจ้าต้องสงบสติอารมณ์ เจ้าลองคิดดู ตอนแรกหลี่เชียนใช้จินเซียวถ่วงเวลา แล้วก็ดึงดูดความสนใจมาตลอดทางจนมาพักที่วัดป่าโอสถ ท่าทางเหมือนรอพวกเรามาหาถึงที่ นี่เป็นสิ่งที่คนธรรมดาทำได้หรือ? เป่าหนิงอยู่ในกำมือเขา เจ้าอยากช่วยเป่าหนิง ก็ต้องผ่านด่านเขาไปให้ได้ พวกเรารีบเดินทางอย่างสุดกำลังทั้งวันทั้งคืน เป็นกองทัพที่เหนื่อยล้าแล้ว เขารอให้พวกเรามา พวกเราก็เสียเปรียบแล้ว เจ้ายังไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยเหตุผลอีก เช่นนั้นพวกเรามีแต่คำว่า ‘แพ้’ แทนที่จะขึ้นเขาไปเสียหน้าตอนนี้ สู้หาโรงเตี๊ยมที่ตีนเขาสักแห่งพักผ่อนและปรับปรุงกำลังสักคืนแล้วค่อยมาพบหลี่เชียนดีกว่า…”
“ข้ารู้แล้ว!” หวังจ้านสูดลมหายใจลึก สีหน้าค่อยๆ กลับมาสงบนิ่ง “เรื่องนี้ข้าผิดเอง ช่วงนี้ข้าวุ่นวายใจเกินไปแล้ว”
“วุ่นวายใจไม่ใช่เรื่องแย่ ทว่าหากควบคุมความวุ่นวายใจในใจไม่ได้ เจ้าก็จะเป็นได้เพียงทหารชั้นผู้น้อยตลอดไป” เจียงลวี่เอ่ยอย่างเฉยชา และตามหลังเด็กรับใช้ปิงเหอขึ้นเขาไปทีละก้าวด้วยสีหน้าเหมือนเดิม “อาจ้าน คนเราต้องเลือกทำสิ่งที่สำคัญและไม่ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เลือกอย่างไร จะตัดสินว่าหลังจากนี้เจ้าจะเดินไปในเส้นทางไหน”
จะมีผลงานใหญ่แค่ไหน
เขาเอ่ยเงียบๆ อยู่ในใจ และเงยหน้าเดินผ่านประตูวัดบานที่สาม
—
หลี่เชียนยืนอยู่สุดทางของประตูวัด เขามองเงาร่างของพวกเจียงลวี่ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในทางบนภูเขาหินสีเขียวที่คดเคี้ยว
จงเทียนอี้ใจเต้นและอยากจะแสดงฝีมือ
หลี่เชียนเงียบสงบดุจสายน้ำ
ผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา เจียงลวี่ก็ขึ้นบันไดไม่กี่สิบขั้นสุดท้าย
เขามองไปเหมือนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง
รอบด้านมีแต่ต้นสนกับต้นไป่ที่เขียวชอุ่มตลอดทั้งปี สายลมในยามเช้าและภูเขาที่ทอดตัวต่อกัน ป่าลึกเงียบสงัด ไม่เห็นเงาคนสักคน
เจียงลวี่รู้สึกไม่พอใจ
นึกไม่ถึงว่าจะไม่มาต้อนรับเขาที่หน้าประตูวัด หลี่เชียนผู้นี้หยิ่งในศักดิ์ศรีมากจริงๆ
เขาเข้ามาในวัดแล้ว ก็เห็นหลี่เชียนพาคนสี่ห้าคนออกมาต้อนรับ
“ซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกง!” เขาทักทายเจียงลวี่มาแต่ไกลด้วยรอยยิ้มสดใส “ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับ โปรดอภัยให้ด้วย! บ้านโกโรโกโสและลานเล็ก ล่วงเกินมากทีเดียว เชิญไปดื่มชาที่ห้องโถงตรงประตูใหญ่ดีกว่า”
เจียงลวี่ยิ้มเยาะ
ดื่มชาที่ห้องโถงตรงประตูใหญ่ เห็นพวกเขาเป็นขุนนางที่ยังไม่มีระดับหรือ?
หวังจ้านโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว
เพียงแต่เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม หลี่เชียนก็เข้ามาคารวะแล้ว และเอ่ยว่า “เรือนด้านในมีสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิง จึงไม่สะดวกรับแขกจริงๆ ขอท่านทั้งสองโปรดเข้าใจด้วย ไว้วันไหนกลับเมืองหลวง ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่หอฉยงฮวา ขอโทษท่านทั้งสองอย่างแน่นอน!”
เรือนด้านในมีสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิง นี่เขากำลังบอกพวกเขาว่าเจียงเซี่ยนอยู่ในกำมือของเขาหรือ?
แม้จะเตรียมใจมาแล้ว เจียงลวี่ที่ได้รับการยืนยันก็ยังคงโกรธมากจนปลายนิ้วสั่นอยู่ดี ทว่ายิ่งเป็นแบบนี้ บนหน้าของเขาก็ยิ่งสงบนิ่ง
เขายิ้มพลางพยักหน้าให้หลี่เชียน และให้หลี่เชียนเข้าไปในห้องโถงเป็นเพื่อนด้วยสีหน้าจริงจัง
สายตาของจงเทียนอี้จับจ้องอยู่ที่เจียงลวี่ และเหมือนจะดึงสายตากลับมาไม่ได้
ที่แท้เจียงลวี่หน้าตาแบบนี้นี่เอง สุภาพและมีมารยาท ไม่เหมือนแม่ทัพ กลับเหมือนบัณฑิตคนหนึ่ง
ได้ยินว่าเขาอายุสิบห้าก็น้าวธนูที่ต้องใช้แรงสองต้านได้แล้ว ไม่รู้ว่ามาฝึกได้ในภายหลังหรือว่ามีพละกำลังมหาศาลตั้งแต่เกิด
เขามองไปที่มือของเจียงลวี่
เสียดายที่มือของเจียงลวี่กำเป็นหมัด เขาจึงมองไม่เห็นง่ามมือระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้และปลายนิ้วว่ามีรอยด้านหรือไม่
ส่วนหวังจ้านกลับรู้สึกเครียดมาก
ไม่รู้ว่าท่านพี่อาลวี่สังเกตหรือไม่ว่า รอบวัดนี้เหมือนจะมีคนซ่อนอยู่มากมาย และล้อมพวกเขาเอาไว้
เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่เห็นเป็นศัตรูเหล่านั้น
หลี่เชียนไม่ใช่คนดีอย่างที่คิดจริงๆ เขาไม่ได้ไร้พิษสงและตรงไปตรงมาเหมือนอย่างที่เขาแสดงออกมาสักนิด!
หวังจ้านนึกถึงเหล่าทหารของกองบัญชาการต้าถงที่ตามหลังพวกเขามา แล้วเขาก็อดที่จะหัวเราะเยาะในใจไม่ได้
หลี่เชียนไม่ลงมือก็แล้วไป หากลงมือ เขาก็จะทำให้หลี่เชียนไม่เหลือศพอย่างแน่นอน
มือของเขาจับของตกแต่งที่ฝังอยู่ปลายด้ามดาบตรงเอว เขาอยู่หลังเจียงลวี่สองสามก้าวและเข้าไปในห้องโถงตรงประตูใหญ่
ทุกคนแบ่งลำดับความสำคัญและนั่งลง ปิงเหอนำชากับของว่างมาให้อย่างหวาดกลัวจนตัวสั่น
หลี่เชียนยิ้มและแนะนำกับเจียงลวี่ “นี่เป็นต้าหงเผา เวลานี้เป็นชาที่เป็นของบรรณาการแล้ว ยังดีที่ข้ามีเพื่อนสนิทที่ฝูเจี้ยนอยู่บ้าง ปีที่แล้วจึงคิดหาทางหามาได้เล็กน้อย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นของจริงหรือของปลอม เชิญซื่อจื่อลองชิม”
เจียงลวี่ก็ดื่มและวินิจฉัยชากับหลี่เชียนจริงๆ “สีชาที่ชงส้มสดใส กลิ่นหอมกรุ่น เป็นต้าหงเผาที่ดีที่สุดจริงๆ”
หลี่เชียนได้ยินก็สีหน้าผ่อนคลายเล็กน้อยเหมือนโล่งอก และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นก็ดี! ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่มีหน้านั่งดื่มชากับซื่อจื่อตรงนี้แล้ว”
เจียงลวี่ได้ยินก็ยิ้มและเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลี่พูดผิดแล้ว! หากใต้เท้าหลี่เป็นคนที่รักหน้าตา ท่านกับข้าจะมานั่งดื่มชาที่วัดป่าโอสถได้อย่างไร? นักบวชไม่พูดโกหก คนฉลาดก็ไม่จำเป็นต้องพูดมากเช่นกัน ใต้เท้าหลี่ต้องการสิ่งใด เชิญบอกมาให้ชัดเจน คนหยาบคายอย่างข้าจะได้ไม่คาดเดามั่วซั่ว จนทำลายงานของใต้เท้าหลี่”