มู่หนานจือ – บทที่ 196 ตัดขาดความสัมพันธ์

มู่หนานจือ

นี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมหลี่เชียนถึงให้เฉาเซวียนไปพบเจียงเซี่ยนเช่นกัน

แต่ตอนนี้…หลังจากเฉาเซวียนไปพบเจียงเซี่ยนกลับไม่ออกมานานมากแล้ว

หลี่เชียนเริ่มรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย

ไม่อย่างนั้น…ก็ให้จงเทียนอี้แอบเข้าไปดูสักหน่อย?

เขากำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ หลิวตงเยว่ก็เดินออกมา

สายตาของทุกคนในลานต่างจับจ้องไปที่หลิวตงเยว่

หลิวตงเยว่ยังไม่เคยถูกคนจ้องมองแบบนี้ จึงรู้สึกลนลานเล็กน้อย ทว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ไม่นานก็สงบสติอารมณ์ได้ จึงไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง และเอ่ยว่า “ซื่อจื่อชินเอินป๋อ ท่านหญิงเชิญท่านเข้าไปขอรับ!”

ทุกคนมองหวังจ้านอย่างตกใจ

หวังจ้านแปลกใจกว่าพวกเขาเสียอีก เขาอ้าปากกว้าง นานมากกว่าจะชี้ตนเองและเอ่ยว่า “ท่านหญิงให้ข้าเข้าไป?”

หลิวตงเยว่ขานรับอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ” และเอ่ยว่า “ท่านหญิงเชิญท่านเข้าไปคุยด้วย”

“อ้อ!” หวังจ้านจับต้นชนปลายไม่ถูก และสับสนมึนงง จนไม่ได้คุยกับเจียงลวี่ด้วยซ้ำ ก็เดินเข้าไปเหมือนเดินละเมอแล้ว

หลี่เชียน เจียงลวี่ และหวังจ้านยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ คนที่พวกเขาพามาก็อดที่จะซุบซิบแสดงความคิดเห็นไม่ได้

ด้านหนึ่งเงียบอย่างแปลกประหลาด อีกด้านแอบซุบซิบคุยกัน บรรยากาศในลานกว้างแปลกประหลาดมาก

ทว่าไม่ว่าจะเป็นหลี่เชียน เจียงลวี่ หรือจ้าวเซี่ยว เวลานี้ถึงจะใช้ความคิดอย่างหนักมากก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่เรือนด้านในกันแน่ แต่ละคนต่างทำได้เพียงเม้มปากแน่นสนิท และรอต่อไปด้วยหน้าตาหม่นหมอง

ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป หลิวตงเยว่พยุงหวังจ้านที่สีหน้าซีดเผือด ท่าทางสับสน และจะล้มมิล้มแหล่เดินออกมาอย่างยากลำบาก

ทุกคนต่างตกใจมาก เจียงลวี่รีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว และช่วยหลิวตงเยว่พยุงหวังจ้าน พลางถามหลิวตงเยว่ด้วยสีหน้ากังวลว่า “เกิดอะไรขึ้น?” หลิวตงเยว่ยังไม่ทันตอบ เขาก็ตบใบหน้าที่สายตามืดมนของหวังจ้านเบาๆ แล้ว และเอ่ยอย่างเป็นห่วงว่า “อาจ้าน! อาจ้าน! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่สบายตรงไหน?”

หวังจ้านกะพริบตาปริบๆ เหมือนวิญญาณหายไป แล้วถึงจะมองไปที่เจียงลวี่ เจียงลวี่ยังไม่ทันพูด เขาก็ขอบตาแดงแล้ว น้ำตาพลันคลอเบ้าจวนจะร่วงลงมาในทันใด “ท่านพี่อาลวี่! ท่านพี่อาลวี่! ข้า…ข้า…”

เขาเดี๋ยวอ้าปากเดี๋ยวหุบปาก เอ่ยว่า “ข้า” นานมากแล้วก็พูดออกมาไม่ครบประโยคแม้แต่ประโยคเดียว

เจียงลวี่ร้อนใจมาก จึงมองไปที่หลิวตงเยว่

หลิวตงเยว่หดศีรษะ และรีบเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ขอรับ! ตอนที่ท่านหญิงเรียกข้าเข้าไป ซื่อจื่อชินเอินป๋อก็เป็นแบบนี้แล้ว…”

ความจริงแล้วเขาไม่กล้าพูดความจริง

ตอนที่เขาเข้าไป ซื่อจื่อชินเอินป๋อกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือในห้องโถงอย่างเหม่อลอย เหมือนไม่มีวิญญาณแล้ว ท่านหญิงคุยกับเขา เขาก็ไม่สนใจเช่นกัน จนเฉิงเอินกงต่อยซื่อจื่อชินเอินป๋อไปสองสามหมัด ซื่อจื่อชินเอินป๋อถึงได้สติกลับมา และถูกเขาพยุงออกมาจากห้องโถงตรงประตูใหญ่

เห็นเจียงลวี่เป็นแบบนี้ เขากล้าบอกความจริงที่ไหน!

หลิงตงเยว่ก้มตัว และอยากจะกลายเป็นก้อนกรวดบนพื้น แบบนี้ก็ไม่มีใครเห็นเขาแล้ว

เจียงลวี่ถามอะไรจากหลิวตงเยว่ไม่ได้ ก็ยิ่งกังวล เขาเรียก “อาจ้าน” ครั้งหนึ่ง พลางคิดว่าจะทำให้หวังจ้านร่าเริงขึ้นมาได้อย่างไร แต่เขายังไม่ทันพูด จู่ๆ หวังจ้านก็เหมือนตื่นจากความฝันแล้ว และไม่เพียงแต่พยายามลุกขึ้นยืนจากข้างกายเจียงลวี่ ทว่ายังเอ่ยกับจ้าวเซี่ยวด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า “ซื่อจื่อจิ้งไห่โหว ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว!”

จ้าวเซี่ยวเข้าใจทันที

แต่หลี่เชียนกลับขมวดคิ้วแน่น

หลังจากหวังจ้านพบเจียงเซี่ยนมาแล้วก็รีบจะพบจ้าวเซี่ยว หรือว่าหวังจ้านมาถ่ายทอดคำพูดให้เจียงเซี่ยนอย่างนั้นหรือ?

ทว่าเรื่องอะไรกันที่สามารถทำให้หวังจ้านเหมือนสูญเสียวิญญาณได้?

หลี่เชียนจ้องภาพเงาด้านหลังของจ้าวเซี่ยวเขม็ง

แต่จ้าวเซี่ยวกลับไม่มองหลี่เชียนแม้แต่นิดเดียว และเดินตามหวังจ้านไปที่มุมของลาน

ทั้งสองคนแอบซุบซิบกันเสียงเบา

มือของหลี่เชียนกำเป็นหมัดแน่น

เจียงลวี่มองหลี่เชียน และหัวเราะเยาะอย่างไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว

หลี่เชียนไม่สนใจ

เจียงลวี่ยิ้มเยาะ

หลี่เชียนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

เจียงลวี่เห็นแล้วก็โกรธ อยากเสียดสีหลี่เชียนสักสองสามคำ หางตาก็เห็นจ้าวเซี่ยวค่อยๆ หันตัวมา

เขาตาแดงก่ำทั้งสองข้าง และจ้องหลี่เชียนอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ท่าทางเหมือนอยากจะกินหลี่เชียน

เจียงลวี่ตกใจมาก ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอีก จึงรีบเอ่ยว่า “อาเซี่ยว เกิดอะไรขึ้น?”

จ้าวเซี่ยวไม่มองเจียงลวี่แม้แต่นิดเดียว เขาแลดูโกรธจัด แล้วจู่ๆ ก็ก้มตัวออกแรงฉีกชายเสื้อคลุมโยนไปทางหลี่เชียน เสียงแหบแห้งและหม่นหมอง “หลี่เชียน ตั้งแต่นี้ไปข้ากับเจ้าตัดขาดความสัมพันธ์กันอย่างเด็ดขาด และอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้!” เขาพูดจบก็ลงจากเขาไปทันทีเหมือนที่จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวบนภูเขา

เจียงลวี่แปลกใจ และจำต้องถามหวังจ้าน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

แต่หวังจ้านกลับเบือนหน้าทางอื่น หลบสายตาของเจียงลวี่ และตอบพึมพำว่า “เจียหนานให้ข้าคุ้มกันจ้าวเซี่ยวกลับเมืองหลวง ท่านพี่อาลวี่ ข้าขอตัวก่อน! มีเรื่องอะไร พวกเรากลับเมืองหลวงค่อยว่ากัน” แล้วเอ่ยกับองครักษ์ที่ตามพวกเขามาเสียงดังว่า “หลี่เหว่ย พวกเจ้าอยู่ฟังซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงสั่งการ ที่เหลือ…ตามข้าคุ้มกันซื่อจื่อจิ้งไห่โหวกลับเมืองหลวง” แล้วหันตัวเดินตามจ้าวเซี่ยวไปอย่างรวดเร็วเหมือนหนี

เจียงลวี่ตามไป

ทว่าตามไปไม่กี่ก้าว เขาก็คิดถึงเจียงเซี่ยน จึงจำเป็นต้องหยุดฝีเท้า แล้วกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดและสั่งหลี่เหว่ยว่า “ดูแลซื่อจื่อให้ดี!”

พวกหลี่เหว่ยขานรับและลงจากเขา

แต่คนของหลี่เชียนกลับมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

หลี่เชียนเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

ทว่าเจียงลวี่กลับโกรธจนหน้าเขียว

ส่วนจงเทียนอี้มีความสุขกับความทุกข์ของคนอื่น เขาใช้เสียงที่ทุกคนสามารถได้ยินได้เอ่ยเสียงเบาว่า “คงจะไม่ได้เกิดความขัดแย้งกันภายในใช่หรือไม่? เช่นนี้จะดีอย่างไร? คนยังยืนหยัดไม่ได้ ใจคนกลับแยกออกไปแล้ว…”

ในลานเงียบไปชั่วขณะ ได้ยินเพียงเสียงของจงเทียนอี้

เงาร่างของเฉาเซวียนปรากฏขึ้นบนขั้นบันไดของห้องโถงตรงประตูใหญ่อย่างฉับพลัน

เขามองลงมาและค่อยๆ เรียกชื่อของหลี่เชียน “ฟังราชโองการ!”

หลี่เชียนมองเฉาเซวียนอย่างแปลกใจ

บอกว่าราชโองการให้เจียงเซี่ยนไม่ใช่หรือ?

แล้วทำไมต้องให้เขาฟังราชโองการ?

หลี่เชียนมองไปที่เฉาเซวียน

เฉาเซวียนมองเขาอย่างเย็นชา และเอ่ยคำพูดเมื่อครู่อีกครั้ง “หลี่เชียน! ฟังราชโองการ!”

หลี่เชียนไม่ตัดใจ จึงมองไปที่เจียงลวี่

เจียงลวี่หลุบตาลง และไม่มองเขาแม้แต่นิดเดียว

หลี่เชียนเลิกคิ้ว

เขาเติบโตอยู่ข้างกายพวกโจรท้องถิ่นที่ถูกเกลี้ยมกล่อมให้ยอมจำนนมาตั้งแต่เด็ก คนแบบนี้เจ้าอย่าหวังว่าเขาจะเกรงกลัวอำนาจของฮ่องเต้เลย

แค่คิดว่าหลังจากเจียงเซี่ยนเรียกหวังจ้านเข้าไป และหวังจ้านซุบซิบคุยกับจ้าวเซี่ยวพักหนึ่ง จ้าวเซี่ยวกลับโกรธมากจนจะตัดขาดความเป็นเพื่อนกับเขาอย่างเด็ดขาด ก็ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกมีความหวังขึ้นมาไม่ได้เท่านั้นเอง

เขาให้คนไปเตรียมธูปเทียนให้เรียบร้อย แล้วเลิกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงหน้าโต๊ะบูชา

ทว่าในใจกลับคิดว่า หากราชโองการฉบับนี้ตรงกับความปรารถนาของเขาพอดีก็แล้วไป หากไม่ตรงกับความปรารถนาของเขา ก็จำเป็นต้องขอโทษเฉาเซวียนที่ทำให้เฉาเซวียนมาเสียเที่ยวแล้ว…

เฉาเซวียนคาดการณ์ความคิดของหลี่เชียนได้ที่ไหนกัน

เขาเริ่มอ่านราชโองการ “ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา ท่านหญิงเจียหนาน บุตรสาวคนโตของหย่งอันองค์หญิงต้าจั่ง เฉลียวฉลาด งดงาม จิตใจดี รอบคอบ สุภาพ และเยือกเย็น ปรนนิบัติไทฮองไทเฮาในชั่วเวลาอันสั้น ไทฮองไทเฮาทรงรักเป็นอย่างยิ่ง ข้ารับพระราชเสาวนีย์จากไทฮองไทเฮา ให้เลือกลูกเขยที่ดีจากในหมู่ขุนนางมากมายทั้งราชสำนักให้แต่งงานกับท่านหญิง ได้ยินว่าหลี่เชียนบุตรชายคนโตของหลี่ฉางชิงแม่ทัพซานซีเป็นคนสุขุมรอบคอบ เก่งทั้งบุ๋นและบู๊…”

ราชโองการยังอ่านไม่จบ หลี่เชียนก็ยับยั้งความประหลาดใจที่เหมือนคลื่นอันบ้าคลั่งโหมกระหน่ำซัดสาดในใจไม่ได้จนเงยหน้าขึ้นมาแล้ว

เป็นราชโองการพระราชทานงานสมรส

เป็นราชโองการพระราชทานงานสมรสให้เขากับเจียงเซี่ยน

เขาน้ำตาคลอเบ้า

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท