มู่หนานจือ – บทที่ 203 ปล่อยวาง

มู่หนานจือ

หลี่เชียนถอนหายใจยาวเหยียด

แต่จู่ๆ ก็คิดว่า หากไทฮองไทเฮาไม่เชื่อว่าเจียงเซี่ยนไปกับเขาเองอย่างด้วยความเต็มใจล่ะ?

เขาคิดถึงคำพูดของเว่ยสู่ขึ้นมาในทันใด

ในนั้นใส่ราชโองการไว้สองฉบับ…

ทว่าพวกเขาเห็นแค่ฉบับเดียว

และ…เฉาเซวียนก็เริ่มประกาศราชโองการหลังจากไปพบเจียงเซี่ยนมาแล้ว แถมก่อนหน้านั้นยังให้หวังจ้านพาจ้าวเซี่ยวออกไปด้วย

หลี่เชียนสีหน้าเป็นปกติ แต่ในฝ่ามือกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ

เว่ยสู่ไม่มีทางหลอกเขา

กล่องที่สลักลายมังกรสีแดงที่ใช้บรรจุราชโองการน่าจะใส่ราชโองการไว้สองฉบับ

เฉาเซวียนอ่านฉบับหนึ่ง

เช่นนั้นอีกฉบับหนึ่งล่ะ?

ในนั้นเขียนไว้อะไรบ้าง?

หลี่เชียนสูดหายใจลึก และบอกให้ตนเองสงบสติอารมณ์เอาไว้อย่างต่อเนื่อง กว่าจะรับประทานอาหารเช้ากับเฉาเซวียนเสร็จก็ไม่ง่ายเลย และไปที่เรือนของเจียงเซี่ยนทันที

เจียงลวี่รู้ว่าหลี่เชียนไม่อยู่ที่เรือนของเจียงเซี่ยนก็วางใจ เจียงเซี่ยนเอ่ยเพียงไม่กี่คำ เขาก็ลืมตาไม่ค่อยขึ้นแล้ว สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าวันนี้จะอยู่พักผ่อนและปรับปรุงกองกำลังที่วัดป่าโอสถหนึ่งวัน และออกเดินทางไปเมืองหลวงพรุ่งนี้เช้า

ตอนที่หลี่เชียนมานั้น เจียงลวี่กลับไปนอนต่อที่ห้องแล้ว

เจียงเซี่ยนกำลังคุยกับชีกู พอเห็นหลี่เชียนมา ชีกูก็รีบพาเซียงเอ๋อร์กับจุ้ยเอ๋อร์ไปยังห้องข้างที่ใช้เป็นห้องพักผ่อนทางตะวันตก เจียงเซี่ยนก็ชี้เก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างกายเพื่อสื่อว่าให้เขาหาที่นั่งเอง และถามเขาว่ารับประทานอาหารเช้ามาหรือยัง

หลี่เชียนไม่ทำหน้าทะเล้นและล้อนางเล่นเหมือนเมื่อก่อน ทว่ายืนจ้องนางนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างไม่วางตาด้วยสีหน้าแปลกๆ

เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็รู้สึกเพียงปวดหน้าผาก และเอ่ยอย่างไม่มีแรงว่า “นี่เจ้าเป็นอะไรไปอีก?”

หลี่เชียนมองนางอย่างแน่วแน่โดยไม่เอ่ยสิ่งใด ในสายตามีความน้อยใจ ความซาบซึ้ง ความหลงใหล และความปวดใจ…ปะปนกันมากมายจนทำให้เจียงเซี่ยนอึดอัดเล็กน้อย

นางจำเป็นต้องไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง และเอ่ยว่า “เมื่อคืนเจ้าบอกว่ามีเรื่องจะบอกข้าไม่ใช่หรือ? เจ้าอยากบอกอะไรข้า?”

หลี่เชียนเหมือนคนที่อยู่ในความฝันและตกใจตื่นอย่างกะทันหัน จู่ๆ ก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วจับแขนของเจียงเซี่ยนและยกเจียงเซี่ยนขึ้นทันที

“ว้าย!” แม้จะไม่เจ็บ แต่การห้อยอยู่กลางอากาศจะทำให้คนรู้สึกไม่ปลอดภัย นางอดที่จะร้องอย่างตกใจไม่ได้ อยากจับอะไรไว้หน่อย ทว่าแขนกลับถูกหลี่เชียนใช้กำลังจำกัดไว้จนขยับไม่ได้

“เป่าหนิง! เป่าหนิง!” หลี่เชียนยกนางขึ้นและหมุนไปรอบห้องสองรอบ หมุนจนเจียงเซี่ยนเวียนศีรษะและตาลาย และเอาแต่ร้องว่า “เจ้ารีบปล่อยข้าลง! เป็นบ้าอะไรอีก”

หลี่เชียนไม่ฟังนาง และหัวเราะเสียงดัง แล้ววางเจียงเซี่ยนลงบนเตียงอรหันต์ที่นางนั่งก่อนหน้านี้ และคุกเข่าข้างเดียวลงตรงหน้านาง และจับมือของนางไว้ไม่ปล่อย “เป่าหนิง! ขอบคุณ! ขอบคุณที่เจ้าเลือกข้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังอย่างแน่นอน ข้าจะดีกับเจ้าให้มาก ดีมากไปตลอดชีวิต!”

นี่เขากำลังทำอะไรอีก?

ความงุนงงฉายวาบในดวงตาของเจียงเซี่ยน

รอยยิ้มของหลี่เชียนเลือนหายไปเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้น “เป่าหนิง ราชโองการอีกฉบับอยู่ไหน?”

เจียงเซี่ยนอึ้งไป

หลี่เชียนรู้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ?

นางคิดว่านางจะปิดบังเขาได้

หลี่เชียนเห็นแล้ว สายตาก็ค่อยๆ ร้อนแรงขึ้น ทว่าเสียงกลับเหมือนสายลมยามเช้าที่พัดผ่านดอกไม้และต้นไม้อย่างแผ่วเบาในเดือนสาม “ราชโองการฉบับนั้น เป็นราชโองการที่สั่งให้ริบทรัพย์และสังหารตระกูลหลี่ทั้งตระกูลหรือสั่งให้ข้าฆ่าตัวตายใช่หรือไม่?”

“ไม่ใช่!” เจียงเซี่ยนตอบ และพบว่าเสียงของตนเองตึงเครียดเล็กน้อย

ในเมื่อนางเลือกแล้ว ก็ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องบางเรื่องที่ไม่มีความหมายอีก

“มีราชโองการแค่ฉบับเดียว” นางเอ่ย “เพียงแต่ตอนนั้นพวกเขาไม่รู้สถานการณ์ระหว่างพวกเรา จึงตั้งใจฝากฝังให้เฉาเซวียนมาประกาศราชโองการโดยเฉพาะ ก็เพราะอยากดูสถานการณ์ก่อนและค่อยตัดสินใจด้วย”

“อือ!” หลี่เชียนเอ่ยเสียงอ่อนโยน นิ้วหัวแม่มือลูบหลังมือของนางเบาๆ ความรักและความสงสารที่จะไม่ยอมให้ผิดพลาดปรากฏอยู่ในความเบาและนุ่มนวล เขายิ้มและเอ่ยด้วยสายตาร้อนแรงว่า “มีราชโองการแค่ฉบับเดียว ข้ารู้แล้ว!”

เขารู้อะไร?

เจียงเซี่ยนขมวดคิ้ว และเอ่ยว่า “เจ้าคิดอะไรฟุ้งซ่านอีก…”

นางคิดไม่ถึงว่าหลี่เชียนจะเป็นคนคิดมากขนาดนี้ หากรู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก นางก็น่าจะพูดกับเขาให้ชัดเจน

“ข้าไม่ได้คิดฟุ้งซ่าน” หลี่เชียนยิ้มพลางเอ่ยแทรกเจียงเซี่ยน และเอ่ยเสียงเบาว่า “เพียงแค่ข้ารู้ว่าราชโองการฉบับนี้ก็เป็นความประสงค์ของเจ้าเหมือนกันก็พอแล้ว” หลี่เชียนลุกขึ้นยืน และนั่งลงบนตั่งเล็กที่อยู่ต่ำกว่าเจียงเซี่ยน แล้วยิ้มอย่างสดใสราวกับฤดูร้อน “ข้ารู้ว่าข้าเจอคนที่ชาตินี้ ไม่สิ สามชาติสามภพก็ทำให้ผิดหวังไม่ได้ก็พอแล้ว!”

“เจ้า…” เจียงเซี่ยนงุนงงเล็กน้อย

นางสำคัญขนาดนั้นจริงหรือ?

เช่นนั้นชาติก่อนทำไมเขาถึงทำกับนางแบบนั้น?

ความคิดนี้ฉายวาบผ่านไปในสมองของนาง นางกดมันลงไปที่ก้นบึ้งของหัวใจทันที

ชาติก่อนคือชาติก่อน ชาตินี้คือชาตินี้

ในเมื่อนางเลือกหลี่เชียนแล้วก็ต้องตั้งใจใช้ชีวิตกับเขาต่อไป ไปคิดเล็กคิดน้อยพวกเรื่องที่ไม่เกิดในชาตินี้ของชาติก่อนอีก มีแต่จะทำให้นางหุนหันพลันแล่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนต่อให้อยู่กับหลี่เชียนแล้ว ก็อาจจะไม่เป็นผลดีเช่นกัน

ถ้าเป็นแบบนั้น การฟื้นคืนชีพของนางและการเลือกของนางในชาตินี้จะมีความหมายอะไร?

ลืมพวกเรื่องในอดีตไป และตั้งใจเดินกับหลี่เชียนต่อไปดีกว่า!

ก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์กัน ทั้งสองคนก็เคยมีช่วงเวลาที่หัวเราะอย่างมีความสุขเช่นกัน

ตอนที่จุดยืนของพวกนางสอดคล้องกัน เขาไม่เลือกนาง นางก็ไม่เคยลองไปช่วงชิงเขามา

ชาติก่อนไป๋ซู่เคยเอ่ยประโยคหนึ่งกับนาง

ไม่มีใครเกิดมารู้ใจคนไปเสียทุกเรื่อง แม้แต่บิดามารดาก็ไม่มีทางที่จะเหมือนกันทุกประการเช่นกัน จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงสามีภรรยา เรื่องบางเรื่องเจ้าไม่พูด เขาก็ไม่มีวันรู้ แทนที่จะเดาไปเดามา เจ้าโกรธและรู้สึกว่าเขาไม่ใส่ใจเจ้า ก็บอกเขาไปตรงๆ ว่าเจ้าอยากให้เขาทำอย่างไรดีกว่า ถึงแม้บางครั้งจะรู้สึกว่าน่าเบื่อ ทว่าอย่างไรก็ดีกว่าตนเองแอบโกรธเพราะเขาทำผิดแล้วเขายังไม่รู้ตัว

ตอนนี้นางคิดดูแล้วรู้สึกว่าคำพูดไป๋ซู่มีเหตุผลมาก

เพียงแต่ตอนนั้นนางรู้สึกว่าไป๋ซู่เองก็ใช้ชีวิตอย่างสับสนวุ่นวาย มาเตือนนางกับจ้าวอี้ด้วยคำพูดแบบนี้ จึงไม่มีความน่าเชื่อถือแม้แต่นิดเดียว

เจียงเซี่ยนอดที่จะยิ้มไม่ได้ และถามถึงเฉาเซวียน “เจ้าไปเจอเขามาแล้วหรือ? เรื่องบางเรื่องควรพูดต่อหน้าเขาให้ชัดเจน และยิ่งเร็วก็ยิ่งดี ไม่ว่าอย่างไร ในสายตาคนอื่น เจ้าก็เป็นคนของตระกูลเฉา และได้รับพระคุณที่ประคับประคองจากเฉาไทเฮาอยู่ดี…”

“ข้ารู้!” หลี่เชียนยังคงจ้องเจียงเซี่ยนอย่างจดจ่อเช่นเดิม เหมือนอยากดูทุกสีหน้าของนางให้ชัดเจน “เมื่อเช้าข้าก็กินอาหารเช้ากับเขา แต่ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ ข้าก็ต้องไปขอบคุณเขาอีกสักครั้ง เรื่องของพวกเราสองคนในครั้งนี้ หากไม่มีเขาเป็นคนกลาง จะต้องยุ่งยากมากแน่ๆ ข้าจะขอบคุณเขาในเรื่องนี้ไปตลอดชีวิต แต่ข้าก็ทำได้เพียงขอบคุณเขา กลับไม่อาจพูดอะไรกับเขาได้ พวกเราสองคนเป็นตัวแทนของสองตระกูล คำสัญญาที่เวลานี้ดูเหมือนไม่สำคัญ สักวันหนึ่งก็อาจจะกลายเป็นจุดสำคัญที่ตัดสินความเป็นความตาย ต่อไปหากเขาเจอความลำบาก ด้วยศีลธรรมแล้วข้าไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ก็ช่วยได้เพียงเขาเช่นกัน ทว่าช่วยตระกูลเฉาไม่ได้”

“ข้ารู้” เจียงเซี่ยนถอนหายใจ บางทีนี่อาจจะเป็นความเศร้าของทายาทที่มาจากตระกูลอย่างพวกเขา “ข้าเชื่อว่าเฉาเซวียนก็รู้เช่นกัน”

หลี่เชียนพยักหน้า

บรรยากาศในห้องอึมครึมเล็กน้อย

ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาหลี่เชียนก็ไม่ใช่คนที่ชอบเศร้า สายตาของเขามองไปที่สิ่งที่อยู่ก่อนหน้าและจ้องอนาคตอยู่ตลอดเวลา

ไม่นาน บรรยากาศที่อึมครึมก็ถูกเขาทำลายแล้ว

“ข้ารู้ว่าอีกไม่นานเขาก็จะแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ของเป่ยติ้งโหวแล้ว” เขาปรึกษากับเจียงเซี่ยนด้วยรอยยิ้ม “เจ้าว่าพวกเรามอบที่ดินอะไรทำนองนั้นให้เขาสักแปลงดีหรือไม่ เผื่อตอนที่เขาทะเลาะกับคุณหนูใหญ่ของเป่ยติ้งโหว ก็จะได้มีที่ไปสักแห่งเช่นกัน!”

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท