มู่หนานจือ – บทที่ 205 ในวัง

มู่หนานจือ

“นี่ข้าก็อยากเขียนจดหมายไปถามว่าพาเจ้าไปไท่หยวนเลยได้หรือไม่ไม่ใช่หรือ?” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ให้ของยืนยันกับข้าสักชิ้น หากเจิ้นกั๋วกงคิดว่าใครกำลังล้อเขาเล่น และทิ้งจดหมายที่ข้าเขียนทันทีจะทำอย่างไร?”

เจียงเซี่ยนยังคงไม่มีของอะไรที่เหมาะจริงๆ

นางแบมือและเอ่ยว่า “เช่นนั้นเชิญเจ้าหาได้ตามสบาย เห็นอะไรเหมาะที่จะเอาไปก็ได้”

ปกติเจียงเซี่ยนก็ไม่ค่อยชอบสวมเครื่องประดับ เวลาที่ออกจากเมืองหลวงมาค้างแรมข้างนอก จึงยิ่งไม่มีทางที่จะพกอะไรติดตัว หลี่เชียนหารอบหนึ่งแล้วก็ยังไม่เจออะไรที่สามารถเป็นของยืนยันของเจียงเซี่ยนได้จริงๆ

เขาอดที่จะบ่นพึมพำไม่ได้ “เจ้าต้องจงใจแน่ๆ”

เจียงเซี่ยนจงใจจริงๆ

ชาติก่อนนางก็รู้สึกว่าหลี่เชียนน่าสนใจเป็นพิเศษ อะไรที่ธรรมดามากพอไปถึงเขาต่างก็กลายเป็นไม่ธรรมดา เขามักจะหาจุดที่น่าสนใจเจอเสมอ ดังนั้นนางจึงชอบแสดงความเห็นตรงข้ามกับหลี่เชียนเป็นพิเศษ

นางเม้มปากยิ้ม และเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้น…ข้าเขียนข้อความ? ไทฮองไทเฮาเห็นแล้วต้องเชื่ออย่างแน่นอน”

“ได้!” ตั้งแต่ครั้งก่อนที่หลี่เชียนได้ยินเจียงเซี่ยนบอกว่านางลายมือไม่สวยในวัง หลี่เชียนก็อยากรู้มากมาตลอดว่าลายมือของเจียงเซี่ยนเป็นอย่างไรกันแน่

เขาถือพู่กัน หมึก กระดาษ และจานฝนหมึกมาด้วยตนเองอย่างคึกคัก และช่วยฝนหมึกให้เจียงเซี่ยน

ช่วงเวลานี้ในชาติก่อน ลายมือของเจียงเซี่ยนไม่สวยจริงๆ

ตอนที่นางฝึกเขียนหนังสือยังอายุไม่ถึงสามขวบ ข้อมือไม่มีแรง อาจารย์สอนนางเขียนหนังสือ นางมักจะถือพู่กันไม่ได้ก็โมโห และคิดว่าถือพู่กันแบบไหนแล้วสบายก็ถือแบบนั้น อาจารย์ไม่กล้าดุนาง จนกระทั่งค่อยๆ เติบโตขึ้น นิสัยบางอย่างเปลี่ยนไม่ได้แล้ว อย่างไรลายมือก็ไม่สวยขึ้น

ตอนหลังนางเป็นไทเฮาแล้วต้องเขียนแสดงความเห็นในฎีกา สิ่งที่เหล่าขุนนางระดับสูงจากสำนักฮั่นหลินและสำนักราชเลขาธิการมักจะพูดติดปากก็คือ ‘ลายมือสื่อตัวตน’ และเดิมทีก็ไม่ค่อยสบายใจกับการว่าราชการหลังม่านของนางอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงใช้เวลากับการฝึกเขียนหนังสือไปมากมาย

เพราะฉะนั้นตอนนี้นางจึงเขียนตัวอักษรก่วนเก๋อได้สวยมาก

หลี่เชียนเห็นแล้วแลดูค่อนข้างผิดหวัง และเอ่ยว่า “เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว!”

“ข้าไปหลอกเจ้าตอนไหน” เจียงเซี่ยนเหมือนไม่เห็น นางวางพู่กันขนเพียงพอนเหลืองลงบนที่วางพู่กันอย่างเยือกเย็น แล้วรับผ้าอุ่นที่เซียงเอ๋อร์ยื่นมาไปเช็ดมือ พลางเอ่ยว่า “ตัวอักษรแบบนี้ ขอเพียงเป็นคนที่เรียนหนังสือก็เขียนเป็นกันหมดกระมัง? แปลกตรงไหน แต่เจ้าน่ะ ข้าได้ยินเจ้าบอกว่าฝึกอักษรหวัดได้แล้ว เขียนให้ข้าดูสักสองสามตัวดีกว่า”

หลี่เชียนกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก และรีบเอ่ยว่า “นั่นข้าฝึกมั่วซั่ว ใช้ไม่ได้หรอก ใช้ไม่ได้หรอก”

หรือว่าเวลานี้เขายังไม่เริ่มเรียนเขียนอักษรหวัดอย่างนั้นหรือ?

เจียงเซี่ยนนึกถึงครั้งแรกที่นางเจอเขาในชาติก่อนคือสี่ปีหลังจากนี้…และอดที่จะยิ้มไม่ได้

หลี่เชียนเหงาหงอยเล็กน้อย

เขาหาพวกแบบอักษรบรรจงของฮูหยินเว่ยมา กะว่าจะฝึกเขียนหนังสือเป็นเพื่อนเจียงเซี่ยนตอนที่ว่าง…ตอนนี้คว้าน้ำเหลวแล้ว

เจียงเซี่ยนเห็นเขาเซื่องซึม และไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเหมือนดอกไม้และต้นไม้ที่ถูกแสงแดดอันร้อนแรงสาดส่องจนเหี่ยวเฉา ก็ไม่ค่อยสบายใจนัก

ในความทรงจำของนาง เวลาหลี่เชียนอยู่ต่อหน้านางมักจะพูดมากเป็นพิเศษ น้อยมากที่จะเงียบแบบนี้ และดูเหมือนถูกบางสิ่งกระทบกระเทือนจิตใจ

ดูท่าทางต่อไปนางยังต้องพูดจาระวังหน่อย

เจียงเซี่ยนคิดแล้วก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้หลี่เชียนอารมณ์ดีขึ้นมาได้อีกครั้ง จึงทำได้เพียงเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าจะส่งจดหมายเข้าเมืองหลวงไม่ใช่หรือ? ข้าว่าสายแล้ว เจ้ารีบไปส่งจดหมายดีกว่า! จะได้ไม่เสียเวลาไปอีกวัน”

หลี่เชียนได้ยินก็ทำจิตใจให้สดชื่นขึ้นทันที และรีบเอ่ยว่า “เจ้าไม่พูดข้ายังลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แล้วก็เฉาเซวียน…ต้องไปหาอีกรอบถึงจะดี”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า พอส่งหลี่เชียนออกไป นางก็นอนลงบนเตียงอรหันต์ทันที และถอนหายใจยาวเหยียด

นางรู้ที่มาของราชโองการดีกว่าหลี่เชียน

จ้าวอี้จะเป็นบ้าขึ้นมาจนบุ่มบ่ามทำเรื่องที่ผิดปกติหรือไม่ ก็ยังไม่มีใครบอกได้แน่ชัดจริงๆ

ถึงแม้หลี่เชียนเอ่ยเช่นนี้จะเห็นแก่ตัว แต่ก็มีเหตุผลอยู่บ้างเช่นกัน

นางสั่งให้เซียงเอ๋อร์ไปเรียกหลิวตงเยว่เข้ามา ให้เขาไปเชิญเจียงลวี่มาคุยด้วย และเอ่ยว่า “หากคุณชายใหญ่ยังนอนอยู่ เจ้าฝากข่าวไว้ก็พอแล้ว หลายวันนี้เขาเหนื่อยแล้ว ให้เขานอนจนตื่นเอง”

หลิวตงเยว่ยิ้มพลางขานรับและจากไป

เจียงเซี่ยนเริ่มคิดแผนการรับมือ

ตามหลี่เชียนไปไท่หยวนแบบนี้ต้องไม่ได้อย่างแน่นอน แต่กลับเมืองหลวงแบบนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน…สุดท้ายแล้วจะทำอย่างไรกันแน่? นางยังต้องคิดให้รอบคอบ

ในพระราชวังต้องห้าม ไทฮองไทเฮาเรียกฮูหยินเจิ้นกั๋วกงแซ่ฝางเข้าเฝ้าสามวันติด

เรื่องนี้ทำให้จ้าวอี้สนใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถึงวันที่สี่ เขารีบไปที่วังฉือหนิงก่อนอาหารเที่ยง

ดอกมะลิฤดูหนาวในวังฉือหนิงบานเป็นหย่อมๆ ทำให้ทิวทัศน์มีชีวิตชีวามาก

จ้าวอี้หยุดฝีเท้าและมองดูอยู่ครู่หนึ่ง

ดอกไม้เหล่านี้ล้วนเป็นดอกไม้ที่เจียงเซี่ยนเห็นจากข้างนอกแล้วนำกลับมาปลูกที่วัง

เป็นต้นหญ้าและต้นไม้ต่ำต้อยที่โยนไปตรงไหนก็เจริญเติบโตได้ดีและบานสะพรั่งได้

ทว่าที่แปลกคือ คนที่เย็นชาอย่างเจียงเซี่ยน กลับชอบดอกไม้และต้นหญ้าแบบนี้

จ้าวอี้เด็ดดอกมะลิฤดูหนาวกิ่งหนึ่งและเข้าไปในวังฉือหนิง

ไทฮองไทเฮาไม่สบาย เขารออยู่ครู่หนึ่ง เมิ่งฟางหลิงถึงพาเขาไปที่ห้องอุ่นตะวันตก

ไทฮองไทเฮาสวมเสื้อคลุมยาวผ้าไหมหังไม่มีลายสีเหลืองเข้มนอนตะแคงอยู่บนหมอนอิงของเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่าง สวมผ้าคาดหน้าผาก สีหน้าซีดเซียว

จ้าวอี้เห็นแล้วก็ต้องถามอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า “ทำไมถึงป่วยได้” “หาหมอหลวงหรือยัง” “สั่งยาอะไรให้บ้าง” “ตอนนี้เสด็จย่ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”

ไทฮองไทเฮาตอบว่า “อืม” สองสามคำ แล้วเมิ่งฟางหลิงที่รับใช้อยู่ข้างๆ ก็เป็นคนตอบ

จ้าวอี้ฟังอย่างเหม่อลอย เขาไม่เห็นเจียงเซี่ยน จึงอดที่จะแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้…ปกติเวลานี้นางจะทุ่มเทแรงกายแรงใจรับใช้อยู่ข้างๆ วันนี้ทำไมถึงไม่เห็นตัว

สายตาของเขามองไปที่เหล่านางใน

จู่ๆ ไทฮองไทเฮาก็เรียกว่า “ฝ่าบาท”

จ้าวอี้ตกใจ และรีบดึงสายตากลับมา

ก็ได้ยินไทฮองไทเฮาเอ่ยว่า “หลายวันก่อนได้ยินว่ามีขุนนางระดับสูงยื่นหนังสือขอให้ฝ่าบาทตั้งฮองเฮาในเร็ววัน ฝ่าบาทคิดเห็นอย่างไร? กรมพิธีการมีวิธีอะไรหรือไม่?”

จ้าวอี้ขมวดคิ้ว และคิดว่าไทฮองไทเฮาอยู่ในวังหลังยังรู้เรื่องนี้ หรือว่าจะจริงดังที่วังจี่เต้าเอ่ย ไทเฮาคิดร้าย เวลานี้ไม่มีไทเฮาแล้ว ไทฮองไทเฮาก็เริ่มทำตัวออกนอกลู่นอกทางเช่นกัน และอยากก้าวก่ายเรื่องของเขาแล้วอย่างนั้นหรือ?

แต่จ้าวอี้ยังไม่ทันพูด ไทฮองไทเฮาก็สั่งเมิ่งฟางหลิงแล้ว “เจ้าไปหยิบกล่องไม้สีทองที่ฮูหยินฝางมอบให้ข้าเมื่อสองสามวันก่อนมาให้ข้า”

เมิ่งฟางหลิงขานรับอย่างนอบน้อมและออกไป

จ้าวอี้มองไทฮองไทเฮาอย่างไม่เข้าใจ

ทว่าไทฮองไทเฮากลับหลับตาลง เหมือนไม่อยากคุยกับเขา

จ้าวอี้งุนงง เขาไม่ดึงแขนเสื้อของไทฮองไทเฮาและอ้อนเหมือนประจบไทฮองไทเฮาอย่างแต่ก่อน ทว่านั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ และรอดูว่าไทฮองไทเฮาจะทำอะไรกันแน่?

ไทฮองไทเฮารู้สึกผิดหวังอีกครั้ง

ลอบถอนหายใจในใจ

ถึงแม้ในหนังสือต่างสั่งสอนบรรดาผู้ที่เป็นภรรยาเอกว่าควรจะปฏิบัติกับสายภรรยาเอกและสายอนุภรรยาเหมือนกัน แต่คนที่เจ้าไม่ให้กำเนิดก็คือคนที่เจ้าไม่ได้ให้กำเนิด อย่างไรก็ไม่เหมือนกัน

ไม่ว่าตอนไหนเป่าหนิงก็ชอบเกาะติดนาง ส่วนจ้าวอี้เป็นฮ่องเต้แล้วก็แตกต่างกันมาก

ท่ามกลางความเงียบสงบ ไม่นานเมิ่งฟางหลิงก็ถือกล่องไม้สีทองเดินเข้ามา

ไทฮองไทเฮาส่งสัญญาณให้เมิ่งฟางหลิงวางกล่องลงใกล้มือจ้าวอี้ แล้วไล่คนรับใช้ในห้องออกไป และเอ่ยกับจ้าวอี้ว่า “เจ้าเปิดดูเองเถอะ!”

จ้าวอี้เปิดกล่องอย่างอยากรู้อยากเห็น

ในนั้นเป็นพระราชเสาวนีย์ฉบับหนึ่ง

จ้าวอี้นึกถึงสิ่งที่ไทฮองไทเฮาเอ่ยเมื่อครู่ แล้วก็รู้สึกตกใจ จึงรีบเปิดพระราชเสาวนีย์

เขาเพิ่งจะเหลือบมองครั้งเดียวก็ลุกขึ้นทันที

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” จ้าวอี้ถามไทฮองไทเฮาด้วยสีหน้าโกรธจัด “ทำไมเสด็จแม่ถึงได้คิดที่จะพระราชทานเป่าหนิงให้เป็นภรรยาของหลี่เชียนจากตระกูลโจรท้องถิ่นที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนนั่น?”

————————————

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท