มู่หนานจือ – บทที่ 213 พระหมอยา

มู่หนานจือ

แม้เจียงเซี่ยนจะชอบดูงิ้ว แต่กลับไม่ค่อยชอบไปร่วมสนุกกับคนอื่นนัก จึงเปิดเผยเรื่องนี้ไปอย่างคลุมเครือ

หลิวตงเยว่วิ่งเข้ามาบอกนางว่าหลี่เชียนกลับมาแล้ว

และยังพาพระรูปหนึ่งกับเณรสองรูปมาด้วย

พี่น้องสกุลฉีมองหน้ากันเลิ่กลั่ก และเอ่ยอย่างตกใจว่า “ท่านหญิงไม่สบายใจตรงไหนหรือ จะเชิญพระมาสวดมนต์หรือ?”

“ไม่ใช่หรอก” สองพี่น้องนี้ช่างพูดจาตรงไปตรงมาจริงๆ เจียงเซี่ยนยิ้มพลางชี้ดวงตาของตนเอง “แค่บวมนิดหน่อย เชิญหมอมาดูแล้ว ก็ดูไม่ออกว่าเป็นเพราะอะไร ใต้เท้าหลี่จึงช่วยไปเชิญพระหมอยาที่ภูเขาอู่ไถมาดูให้ข้าหน่อย”

“เช่นนั้นก็น่าจะเป็นพระวัดถ่าย่วน” ฉีซวงร้องอย่างตกใจและเอ่ยว่า “มีแต่ในวัดของพวกเขาที่มีพระหมอยา และรักษาเก่งมาก!”

“แต่พระหมอยาวัดถ่าย่วนไม่ออกไปรักษาคนนอกสถานที่ไม่ใช่หรือ?” ฉีตานเอ่ยอย่างงุนงงว่า “เจ้าเดาผิดแล้วกระมัง?”

“พระหมอยาวัดถ่าย่วนก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครออกไปรักษาคนไข้นอกสถานที่เสียหน่อย” ฉีซวงเอ่ยว่า “ครั้งที่แล้วหมู่บ้านจ้าวซีไฟไหม้ เผาคนตายไปมากมาย พระหมอยาวัดถ่าย่วนก็ออกไปรักษาคนไข้ที่หมู่บ้านจ้าวซีไม่ใช่หรือ?”

“แต่ครั้งที่แล้วนายหญิงอี๋ของน้องชายภรรยาใต้เท้าจินป่วย พระหมอยาวัดถ่าย่วนก็ไม่ออกไปรักษาคนไข้นอกสถานที่นะ สุดท้ายก็ยังหามคนมาที่วัดถ่าย่วนอยู่ดี เพราะเรื่องนี้ เซ่าหยางยังบอกว่าหากวันไหนเขาว่าง จะไปทุบสำนักซิ่งหลินของวัดถ่าย่วนเลย?”

“คนเขายินดีช่วยเหลือและประคับประคองแต่คนยากจน…”

สองพี่น้องคุยกัน ทว่าเจียงเซี่ยนกลับหลุบตาลง และลูบถ้วยชาที่อยู่ใกล้มือเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

นางไม่จัดว่าเป็นคนยากจนอย่างแน่นอน หากคนที่มาเป็นคนของวัดถ่าย่วนจริง หลี่เชียน…คงจะเปลืองแรงไปไม่น้อยเลยทีเดียวกระมัง?

นักบวชล้วนแต่ไร้ซึ่งความปราถนาในทางโลก ไม่รู้ว่าคนอย่างหลี่เชียนใช้วิธีการใด

เจียงเซี่ยนไม่หลบ แต่ฉีตานกับฉีซวงหลบอยู่หลังฉากกั้นแล้ว

คนที่มาคือพระหมอยาวัดถ่าย่วนจริงๆ อายุสามสิบกว่าๆ ผอม สุภาพและสงบเสงี่ยม เรียกตนเองด้วยฉายาทางธรรมว่า “หงอี” ส่วนเณรสองรูปเป็นลูกศิษย์ของเขา

หลี่เชียนที่เข้ามาเป็นเพื่อนเขานั้นรีบเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อย จึงแลดูหน้าตาซีดเซียวเล็กน้อย

เจียงเซี่ยนส่งสายตาให้หลิวตงเยว่

หลิวตงเยว่ยกม้านั่งมาวางข้างกายหลี่เชียนทันที และถามหลี่เชียนอย่างใส่ใจว่า “ใต้เท้าเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทางแล้ว น่าจะยังไม่ได้กินอะไรใช่หรือไม่? บนเตาตุ๋นน้ำแกงแม่ไก่โสมเอาไว้ ข้าจะยกมาให้ใต้เท้าอุ่นกระเพาะก่อนสักถ้วย แล้วเดี๋ยวค่อยจัดอาหารให้ท่าน”

“ไม่ต้องแล้ว!” หลี่เชียนส่งสัญญาณให้รักษาก่อน “พระหงอีก็ไม่ได้ฉันเพลเหมือนกัน ถึงเวลานั้นข้าค่อยกินอาหารพร้อมพระหงอี”

หลิวตงเยว่รีบเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าจะออกไปให้คนเตรียมอาหารเจ”

หลี่เชียนพยักหน้า

หลิวตงเยว่ถอยออกไป และเรียกชีกูเข้ามารับใช้

ชีกูวางผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมหังสีขาวลงบนข้อมือของเจียงเซี่ยน พระหงอีจึงตรวจชีพจรให้เจียงเซี่ยน

หงอีสีหน้าเคร่งเครียดและจริงจัง นานมากกว่าจะปล่อยมือ และครุ่นคิดพลางเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “ถึงแม้แม่นางจะคลอดก่อนกำหนดและร่างกายอ่อนแอมากตั้งแต่เด็ก ทว่าหลายปีมานี้รักษาด้วยยาวิเศษ เวลานี้จึงแข็งแรงกว่าคนทั่วไปเสียอีก ส่วนที่ตาบวมเล็กน้อยนั้นน่าจะเกิดจากหลายวันก่อนคิดและกังวลมากเกินไป และกระวนกระวายใจ ขอเพียงแม่นางปล่อยวางได้ พักผ่อนไม่กี่วันก็หายแล้ว ไม่จำเป็นต้องกินยาอะไร”

หลี่เชียนได้ยินก็ขมวดคิ้วตลอด และเอ่ยว่า “ตามปกติการคิดและกังวลมากเกินไปบั่นทอนจิตใจง่าย แล้วใบสั่งยาที่ทำให้จิตใจสงบและบำรุงลมก็ไม่จำเป็นต้องออกเหมือนกันหรือ?”

หงอีได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลี่ ก่อนหน้านี้อาตมาก็เคยบอกโยมแล้วว่า ทั้งหมดนี้เป็นอาการเล็กน้อย หมอธรรมดาก็ดูได้ เพราะโยมโน้มน้าวศิษย์พี่เจ้าอาวาส ศิษย์พี่เจ้าอาวาสถึงสั่งให้อาตมาลงจากเขามาตรวจให้แม่นางผู้นี้ และตระกูลหลี่ก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณของวัดถ่าย่วนของพวกเราแล้วเช่นกัน อย่างไรอาตมาก็คงจะกุเรื่องขึ้นมาออกใบสั่งยาให้แม่นางผู้นี้ไม่ได้กระมัง?”

ความนัยที่แฝงในนั้นก็เพียงแค่ตำหนิที่หลี่เชียนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เท่านั้น

หลี่เชียนไม่พอใจมาก เขายังอยากพูดอะไรอีก เจียงเซี่ยนก็รีบเอ่ยว่า “ขอบคุณพระหงอีมาก เป็นยาก็มีผลข้างเคียงอยู่บ้าง ในเมื่อท่านบอกว่าไม่จำเป็นต้องสั่งยา ข้าก็คิดว่าข้าจะต้องหายได้โดยไม่ใช้ยาอย่างแน่นอน” และเอ่ยอีกว่า “ท่านมาจากแดนไกล หญิงรับใช้ในเรือนเตรียมอาหารเจไว้แล้ว ขอท่านโปรดรับไว้ด้วย ฉันอาหารเจแล้วค่อยกลับวัดนะเจ้าคะ” แล้วก็ส่งสายตาให้หลี่เชียน

หลี่เชียนโกรธจนทนไม่ไหว จึงไม่กินข้าวเป็นเพื่อนพระหงอีกับศิษย์แล้ว เขาให้เซียงเอ๋อร์กับจุ้ยเอ๋อร์พาทั้งสามคนไปรับประทานอาหาร แต่เขากลับอยู่ต่อ และเอ่ยว่า “พระรูปนี้ก็พูดจาไร้มารยาทเกินไปหน่อยแล้วเช่นกัน…”

เจียงเซี่ยนยิ้มและเอ่ยแทรกเขาว่า “บางทีท่านอาจจะพูดความจริงก็ได้? หมอก่อนหน้านี้ก็บอกว่าข้าไม่จำเป็นต้องกินยาอะไรไม่ใช่หรือ? เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าก็อย่าโกรธเลย” นางพูดไปก็นึกถึงพี่น้องสกุลฉีที่อยู่หลังฉากกั้น จึงลุกขึ้นเดินไปอยู่ข้างกายหลี่เชียน และเอ่ยเสียงเบาว่า “ดูท่าทางเจ้า เมื่อวานไม่ได้นอนทั้งคืนใช่หรือไม่? รีบไปล้างหน้า กินอะไรสักหน่อย แล้วไปนอนบนเตียงสักตื่น ฉีเซิ่งแม่ทัพของต้าถงมาแล้วเจ้ารู้หรือไม่?”

“รู้!” หลี่เชียนมองเจียงเซี่ยนด้วยนัยน์ตาสดใส นางคุยกับเขาด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกลับถึงบ้านและเจอภรรยา “ข้ามาที่นี่เลย จึงยังไม่ทันได้ไปทักทายพวกเขา”

“เขาคนนี้เคลื่อนทัพและจัดวางกำลังทหารเก่งมาก แล้วก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตท่านลุงใหญ่ของข้า” เจียงเซี่ยนกำชับเขา “เดี๋ยวเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมไปคารวะเขา แล้วก็ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเขาสักสองสามจอก”

หลี่เชียนยิ้มพลางตอบว่า “ได้” สายตาที่มองนางทอประกายระยิบระยับ และฉายแววภูมิใจอย่างเบาบาง

เจียงเซี่ยนรู้สึกแปลกๆ อย่างไรก็รู้สึกว่าหลี่เชียนไม่ค่อยเหมือนเวลาปกติ ทว่าไม่เหมือนตรงไหนกันแน่นั้น นางก็บอกไม่ถูก

นางจึงทำได้เพียงเอ่ยต่อว่า “แล้วเจ้าก็ไม่ต้องรีบไปตอนนี้เช่นกัน กลับไปพักก่อนสักครู่ พักผ่อนให้เต็มที่ เวลานี้พวกเขาต่างก็เมาแล้ว เจ้าไปก็อาจจะไม่ได้เจอคน ฉีเซิ่งคอแข็ง ก่อนไปเจ้ากินอะไรรองท้องก่อนสักหน่อย ไม่อย่างนั้นจะเมาง่ายมาก…มีอะไรพวกเราค่อยคุยกันทีหลัง”

นางอยากรู้มากว่าหลี่เชียนโน้มน้าวให้เจ้าอาวาสวัดถ่าย่วนส่งพระหงอีกับศิษย์มารักษานางอย่างไร

“ข้ารู้แล้ว” หลี่เชียนยิ้ม “ข้าจะเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง หวีผมกับล้างหน้าก่อน แล้วพักผ่อนสักครู่ กินอะไรรองท้องสักหน่อย แล้วค่อยไปเยี่ยมใต้เท้าฉี…”

หมายความว่าอย่างไรที่ว่าเชื่อฟังข้าทุกอย่าง?

เจียงเซี่ยนพึมพำอยู่ในใจ ทว่าบนหน้ากลับร้อนผะผ่าว

นางเคยได้ยินเจียงลวี่บอกว่า ทหารที่อยู่ในกองทัพเปิดเผยและตรงไปตรงมามากทีเดียว พวกเขาจะดูว่าเจ้าคุ้มที่จะคบหาหรือไม่ และปกติก็จะตัดสินวีรบุรุษกันด้วยเหล้า

ไม่อย่างนั้นทำไมนางถึงกำชับครั้งแล้วครั้งเล่า?

ทันใดนั้นเจียงเซี่ยนก็พาลโกรธเล็กน้อย จึงไล่หลี่เชียนออกไป

หลี่เชียนไม่คิดว่าการทำเช่นนี้เป็นการอกตัญญู จึงยิ้มตาหยีและจากไป

ฉีตานกับฉีซวงออกมาจากหลังฉากกั้น และแลกเปลี่ยนสายตากัน สีหน้าฉายแววเจ้าเล่ห์ คนหนึ่งถามเจียงเซี่ยนว่า “เมื่อครู่นั่นคือใต้เท้าหลี่หรือ? หนุ่มมากเลย? เขารับราชการที่ไหนหรือ? หน่วยองครักษ์หรือ?”

หน่วยองครักษ์ล้อมพิทักษ์เมืองหลวง องครักษ์ธรรมดาล้วนระดับสูงกว่าขุนนางฝ่ายบู๊ข้างนอก

อีกคนเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลี่รับคำสั่งจากท่านกั๋วกงน้อยให้ไปวัดถ่าย่วนหรือ? ที่นี่ยังอยู่ไกลจากวัดถ่าย่วนเล็กน้อย? ใต้เท้าหลี่ต้องเป็นคนที่ขี่ม้าเก่งมากคนหนึ่งอย่างแน่นอน?”

ทว่าในดวงตาของทั้งสองคนกลับทอประกายความอยากรู้ความเห็นเรื่องหลี่เชียนอย่างชัดเจน

เจียงเซี่ยนไม่รู้จะทำอย่างไรดี

นางเป็นคนมาสองชาติ เป็นครั้งแรกที่เจอผู้หญิงวางตัวตามสบายแบบนี้

บางทีอาจจะมีแต่ผู้หญิงที่ใช้ชีวิตอยู่ชายแดนที่จะเปิดเผยและวางตัวตามสบายแบบนี้กระมัง?

ทันใดนั้นเจียงเซี่ยนก็รู้สึกว่าแต่งไปอยู่ซานซีก็ไม่ได้แย่อะไรเช่นกัน

บางทีนางอาจจะได้เห็นทิวทัศน์ที่แตกต่างจากชาติก่อนอย่างสิ้นเชิงก็ได้!

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท