ฮูหยินฝางก็เห็นด้วยเช่นกัน
พวกนางต่างไม่สามารถรั้งอยู่ต้าถงได้นาน
เมิ่งฟางหลิงยิ้มและเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าจะให้คนนำจดหมายไปให้ไทฮองไทเฮา”
ฮูหยินฝางเอ่ยว่า “ลำบากแล้ว” ทุกคนคุยเล่นกันอีกไม่กี่คำก็แยกย้าย
ไม่นาน เจียงเซี่ยนก็ได้ข่าว
นางขดตัวอยู่ในผ้าห่มและรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
อีกหนึ่งเดือนนางก็จะแต่งงานแล้ว
และแต่งงานกับหลี่เชียนที่ชาติก่อนสู้กับนางอย่างตาต่อตาฟันต่อฟันในทุกด้าน
ครั้งนี้รู้สึกประหลาดมาก
ราวกับกำลังอยู่ในความฝัน
และไม่อยากตื่นจากฝันนี้
เพราะนางรู้จักความเงียบเหงาและความโดดเดี่ยวหลังจากตื่นจากฝันดีเป็นอย่างดี
เจียงเซี่ยนไปที่ห้องของไป๋ซู่ เพราะอยากนอนกับนาง
ไป๋ซู่ยิ้มและให้คนหอบผ้าห่มเข้ามา
ทั้งสองคนนอนศีรษะติดกัน และคุยกันอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ
“เจ้าชอบหลี่เชียนได้อย่างไร?”
“แล้วเจ้าชอบเฉาเซวียนได้อย่างไร?”
“เฉาเซวียนหล่อน่ะสิ!” ไป๋ซู่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมามาก “เจ้าก็รู้”
เจียงเซี่ยนเงียบและไม่เอ่ยสิ่งใด
ไป๋ซู่พลิกตัวและนอนคว่ำลงบนเตียง แล้วเอ่ยกับนางว่า “เฮ้” เบาๆ และเอ่ยว่า “เจ้าไม่มีทางที่จะเอ่ยกับข้าแบบนี้อย่างไร้สาเหตุแน่นอน เจ้าคิดอะไรอยู่หรือเปล่า? อยากเล่าให้ข้าฟังหรือไม่?”
“อื้ม!” เจียงเซี่ยนเบิกตาโตและมองถุงหอมที่แขวนอยู่ตรงมุม แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ากำลังคิดว่า ข้าชอบหลี่เชียนได้อย่างไร? เป็นเพราะข้างกายเขามักจะบรรยากาศคึกคักมากหรือว่าเพราะข้ารู้จักเขาเป็นอย่างดี จึงรู้สึกว่าอยู่ข้างกายเขาแล้วปลอดภัยมาก…”
ชาติก่อนเกิดเรื่องขึ้นมากขนาดนั้น นางคิดว่าตนเองเห็นชัดเจนมากแล้ว สุดท้ายพอหันกลับมามอง ที่แท้นางก็ยังคงเป็นคนที่ถูกหลอกลวงและปิดบังคนนั้นอยู่ดี
ไป๋ซู่หัวเราะ และเอ่ยว่า “เป่าหนิง บางครั้งข้ารู้สึกว่าเจ้าแปลกมาก…ตอนที่เจ้าเตือนข้าเจ้าเก่งกาจมาก แต่พอถึงคราวของตนเองเหมือนมักจะหาทิศทางไม่เจอ”
เจียงเซี่ยนมองไป๋ซู่อย่างประหลาดใจ
ไป๋ซู่ยิ้มและพลิกตัวอีกครั้ง นางนอนไหล่ติดกันกับเจียงเซี่ยน พลางมองแมลงปอที่วาดอยู่บนหลังคามุ้ง และเอ่ยเสียงเบาว่า “ตอนที่ข้าชอบเฉาเซวียนก็ลังเลมากเช่นกัน เจ้ายังเตือนข้าเลยว่า ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งงาน ก็แต่งกับคนที่รู้สึกมีความสุขและสบายใจดีกว่า ถึงวันไหนความรักอันลึกซึ้งจะจืดจางลง ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ได้เสวยสุขแล้ว ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะเลือกหลี่เชียนเพราะอะไร ขอเพียงเจ้าได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็ถือว่ามีวาสนาในการแต่งงานแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เจียงเซี่ยนไม่รู้
นางกลัวถูกหลี่เชียนทอดทิ้งเหมือนชาติก่อน
ไป๋ซู่เห็นท่าทางของนางแล้วก็หัวเราะหนักกว่าเดิม และเอ่ยว่า “เจ้าน่ะ! คนนอกมักจะมองสิ่งต่างๆ ออกมากกว่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์ หากเจ้าเอาแต่ดันทุรังอยู่แบบนี้ ต่อให้ชีวิตสบายเพียงใดก็ต้องใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่า”
เจียงเซี่ยนมักจะรู้สึกว่าไป๋ซู่มีความฉลาดในการใช้ชีวิตมาก
ทุกครั้งที่นางนึกถึงสิ่งที่ไป๋ซู่เอ่ย ก็จะถูกยืนยันว่ามีเหตุผลมาก
“เช่นนั้นข้าก็ไม่คิดอะไรแล้ว!” เจียงเซี่ยนยิ้มเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่นัยน์ตาสีดำอันลุ่มลึกทอประกายระยิบระยับแวววาวเหมือนเม็ดทองที่ปนอยู่ในผืนทราย “ใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดี ส่วนเรื่องราวหลังจากนี้ ค่อยว่ากันทีหลัง…”
ชาติก่อนนางคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ยังถูกจ้าวสี่วางยาพิษไม่ใช่หรือ
ชาตินี้นางเลือกเส้นทางสองสายที่แตกต่างจากชาติที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
พัวพันกับหลี่เชียนมาสองชาติ ก็เพียงแค่กำลังหลอกให้อีกฝ่ายถอยและตนเองก็เข้าหาเท่านั้น บางทีคนสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจริงๆ แล้วถึงจะรู้ว่า ทั้งสองคนนั้นไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือความเคยชินต่างก็ไม่มีทางประนีประนอมกันได้ และสุดท้ายก็ต้องต่างคนต่างอยู่ บางทีพวกเขาอาจจะเป็นคู่ที่มีความสุขและสนิทกันมาก แต่สุดท้ายกลับเลือกที่จะต่างคนต่างเดินไปในเส้นทางของตนเองต่อหน้าผลประโยชน์ของตระกูล บางที…นางจูงใจหลี่เชียนได้แล้ว สุดท้ายหลี่เชียนอาจจะเลือกยอมอ่อนข้อให้?!
พอคิดถึงตรงนี้ เจียงเซี่ยนก็หัวเราะออกมา
ความคิดนี้ของนางน่าขำเล็กน้อย
อยากให้คนอย่างหลี่เชียนสละปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่จะแย่งชิงอำนาจทางการเมืองของแคว้นในใต้หล้าเพื่อสตรีนางหนึ่ง…เกรงว่าด้วยหน้าตาของนางจะยังขาดคุณสมบัติไปสักหน่อย
รอยยิ้มของเจียงเซี่ยนเลือนหายไปเล็กน้อย และถอนหายใจอย่างผิดหวัง
ไป๋ซู่เห็นนางเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวกลุ้ม ก็ยิ้มอยู่ข้างๆ ตลอด
เห็นได้ชัดว่ารักมาก ยังจะถามนางว่าตนเองชอบหลี่เชียนได้อย่างไรอีก
ในที่สุดไป๋ซู่ก็วางใจแล้ว
บางทีอาจจะเหมือนที่เจียงเซี่ยนเอ่ยเองก็ได้ สาเหตุที่นางชอบหลี่เชียน ก็เพียงเพราะคนๆ นี้สามารถนำชีวิตนอกวังที่คึกคักและธรรมดามาให้นางได้
ในวัง เงียบเหงาเกินไปแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครอง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอย่างเจียงเซี่ยนที่บิดามารดาเสียชีวิตทั้งคู่ จึงต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่น จวนเจิ้นกั๋วกงเห็นนางเป็นคนในวัง คนในวังเห็นนางเป็นคนของจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว
ทว่าความเงียบเหงาแบบนี้หากพูดออกไปคนอื่นกลับจะคิดว่านางหาเรื่องอย่างไม่มีเหตุผล เสวยสุขกับการปรนนิบัติในราชสำนักมากมายแต่กลับบ่นว่าชีวิตน่าเบื่อ…
ไป๋ซู่อดที่จะช่วยเหน็บมุมผ้าห่มให้เจียงเซี่ยนอย่างสงสารไม่ได้ และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เสียดายก็แต่ตอนที่ข้าออกเรือนเจ้ามาส่งข้าไม่ได้ ข้าไม่เคยคิดฝันว่าเจ้าจะแต่งงานก่อนข้า ต่อไปพวกเราก็เจอกันยากแล้ว…”
ทั้งสองคนซุบซิบคุยเรื่องส่วนตัวกัน จนไม่รู้ว่าสะลึมสะลือหลับไปตอนไหนด้วยซ้ำ
—
ส่วนเมิ่งฟางหลิงหลังจากตื่นมาในวันรุ่งขึ้นและเจอฮูหยินฝาง ถึงจะรู้ว่าสินสอดของตระกูลหลี่รวมทองสองพันตำลึงและเงินอีกห้าหมื่นตำลึงด้วย
นางตกตะลึง และเอ่ยว่า “จะมีคนปล้นหรือไม่?”
นางได้ยินคนบอกว่า นอกวังชาวบ้านใช้ชีวิตลำบาก บางคนสามารถฆ่าคนได้เพื่อเงินหนึ่งตำลึง
ฮูหยินฝางยิ้มและเอ่ยว่า “อาลวี่ก็เอ่ยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ข้าคิดว่าในเมื่อหลี่เชียนกล้าฉุดผู้หญิงมาแต่งงาน และในเมื่อตระกูลหลี่กล้าออกทองสองพันตำลึงกับเงินห้าหมื่นตำลึงเป็นสินสอด พวกเราก็ไม่ควรเป็นคนกังวลเรื่องนี้ แต่ทองสองพันตำลึงกับเงินห้าหมื่นตำลึงนี้มาถึงพวกเราแล้ว พวกเราจะนำกลับไปปักกิ่งหรือทิ้งไว้ที่ต้าถง เรื่องนี้ยังต้องปรึกษาท่านกั๋วกง”
เมิ่งฟางหลิงก็ไม่กล้าตัดสินใจเช่นกัน
ทว่าฮูหยินฉีได้ยินแล้วก็ยิ้มและเอ่ยว่า “ก็ถือเสียว่าเป็นเงินติดตัวที่ตระกูลเจียงมอบให้ท่านหญิง ก็ให้ท่านหญิงเอาไปแล้วกัน”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้!” ฮูหยินฝางยิ้มพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นสินสอดที่มอบให้ตระกูลของเรา ตระกูลของเราก็ต้องเป็นคนเก็บไว้ สินเดิมของท่านหญิงเตรียมเสร็จเรียบร้อยตั้งนานแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะโลภเงินห้าหมื่นตำลึงกับทองสองพันตำลึงของพวกเขา และไม่จำเป็นต้องเอาสิ่งนี้ไปเติมให้ครบจำนวน”
ฮูหยินฉีได้ยินก็อดที่จะอยากรู้ไม่ได้ จนกระทั่งเมิ่งฟางหลิงเอารายการสินเดิมให้ฮูหยินฝางดู นางจึงตั้งใจดูจำนวนรวมนั้นอีกครั้ง
นางไม่มองก็ยังดี พอมองไปเกือบจะเป็นลม
สินเดิมยี่สิบกว่าหน้าหนาๆ ของโบราณกับภาพเขียนทั้งหมดไม่อยู่ในนั้น แค่เครื่องประดับเงินทองที่สั่งทำให้ท่านหญิงสำหรับการแต่งงาน เครื่องลายคราม ภาชนะดีบุกที่เผาขึ้นมาใหม่ เครื่องเรือนของตกแต่งที่ทำขึ้นก็ใช้ทองสี่หมื่นตำลึงและเงินสามล้านแปดแสนตำลึงแล้ว
ตอนที่ฮูหยินฝางเห็นรายการนี้สีหน้าไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว แถมยังเอ่ยว่า “เวลากระชั้นชิดเกินไป ทำให้เจียหนานของพวกเราน้อยใจแล้ว ไว้ตอนที่ลูกของเจียหนานอายุครบหนึ่งร้อยวัน ค่อยชดเชยให้ด้วยของขวัญชิ้นใหญ่”
เมิ่งฟางหลิงก็ยิ่งไม่ประหลาดใจแล้ว นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ดังนั้นครั้งนี้ไทฮองไทเฮาจึงเปิดคลังส่วนพระองค์ และนำพวกเครื่องหยก เงิน ทองที่ล้ำค่ามามอบเป็นของขวัญให้ท่านหญิง ถึงเวลานั้นตอนที่หามไปก็ดีหน่อยเช่นกัน” นางเอ่ยพลางยื่นสมุดบัญชีเล่มหนาให้ฮูหยินฝางอีก
ฮูหยินฉีเข้าใจอย่างลึกซึ้งในทันทีว่าทำไมฉีเซิ่งผู้เป็นสามีถึงมักจะบอกว่าเจียงเจิ้นหยวนเป็นลูกหลานตระกูลขุนนาง และจวนเจิ้นกั๋วกงมีความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงในการก่อตั้งแคว้น
เทียบกับตระกูลเจียงแล้ว พวกเขาก็เหมือนขอทาน
ฮูหยินฉีเริ่มอึดอัดใจแทนหลี่เชียน
ตอนที่สินสอดทองสองพันตำลึงกับเงินห้าหมื่นตำลึงส่งมาจะต้องจัดการยากมากอย่างแน่นอน ทว่าเขาจะเอาสินเดิมที่มีมูลค่าเกินสิบล้านตำลึงของท่านหญิงกลับไปไท่หยวนอย่างไร คงจะยากยิ่งกว่ากระมัง?