ดังนั้นตอนที่เจียงลวี่เรียกหลี่เชียนไป หลี่เชียนก็คิดว่าเจียงลวี่อยากยืนยันเรื่องการคุ้มกันของตระกูลหลี่สำหรับการรับตัวเจ้าสาวเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน ใครจะรู้ว่าเจียงลวี่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ แต่เอ่ยถึงเรื่องของตระกูลหาน “ครั้งที่แล้วเจ้าบอกข้าว่า ให้ตระกูลเฉากับตระกูลหวังร่วมมือกันจะดีที่สุด ข้าคิดว่าเจ้าพูดมีเหตุผลมาก แต่ข้าคิดดูดีๆ แล้ว หานจงผู้นี้ระมัดระวังมากเกินไปมาโดยตลอด อยากให้ตระกูลหานทำอะไรสักอย่าง เกรงว่าจะไม่ง่ายเช่นกัน ไม่รู้ว่าเจ้ามีความคิดอะไรหรือไม่?”
หลี่เชียนลำบากใจเล็กน้อย
เขาคิดไม่ถึงว่าเจียงลวี่จะให้เขาช่วยตัดสินใจ
“เจ้าคิดว่าทางเฉาเซวียนจัดการค่อนข้างยากหรือ?” หลี่เชียนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ฮองเฮาต่างหากที่เป็นมารดาของแคว้นที่แท้จริง เฉาไทเฮาอยากมีอิทธิพลต่อวังหลัง ก็จำเป็นต้องอาศัยความกตัญญู ตอนนั้นเฉาไทเฮาเลือกคุณหนูของตระกูลอันลู่โหว ก็เพราะถูกใจที่ตระกูลอันลู่โหวมีจำนวนคนในตระกูลไม่มากนัก แล้วก็ไม่มีอำนาจและอิทธิพล แต่จิ้นอันโหวกลับไม่เหมือนกัน เขาไม่เพียงแต่มีลูกหลานมากมาย ทว่ายังสนิทสนมกับฝ่าบาทด้วย คุณหนูใหญ่ตระกูลไช่เป็นฮองเฮา จะต้องช่วยฝ่าบาทต่อต้านเฉาไทเฮาอย่างแน่นอน สุดท้ายเฉาไทเฮากำจัดคุณหนูใหญ่ตระกูลไช่ไปแล้ว กลับมีท่านหญิงชิงอี๋โผล่มาอีกคน”
“ท่านหญิงชิงอี๋ยุ่งยากมากกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลไช่”
“นอกจากนางจะมีแม่เป็นท่านหญิงแล้วยังมีตาเป็นชินอ๋องด้วย หากฝ่าบาทเมินเฉาไทเฮา ท่านหญิงชิงอี๋ก็จะไม่เห็นเฉาไทเฮาอยู่ในสายตาเช่นกันอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นตอนนั้นที่เฉาไทเฮาถูกบีบบังคับให้ไปพักผ่อนอย่างสงบที่ภูเขาวั่นโซ่ว ก็ยังมีความดีความชอบส่วนหนึ่งของอ๋องเจี่ยนด้วย เฉาไทเฮาไม่มีทางที่จะยอมปล่อยให้ท่านหญิงชิงอี๋ไปนั่งบนบัลลังก์ของฮองเฮาสมใจอย่างแน่นอน ข้าคิดว่าแทนที่เจ้าจะไปปรึกษาเรื่องนี้กับเฉาเซวียน สู้คิดหาทางปรึกษาเรื่องนี้กับเฉาไทเฮาดีกว่า ข้าคิดว่า…เฉาไทเฮาจะต้องให้ความคิดที่ดีแก่เจ้าอย่างแน่นอน”
หลี่เชียนไม่อยากเข้าไปยุ่งในเรื่องนั้น
แม้เขาจะแนะนำให้ตระกูลเฉากับตระกูลหวังร่วมมือกัน ทว่านั่นก็เพื่อต่อสู้กับตระกูลหาน แต่ไปหาเรื่องตระกูลหานเอง ก็จะต้องลากไทฮองไทเฮาเข้าไปพัวพันด้วยอย่างแน่นอน และคนที่เจียงเซี่ยนใส่ใจที่สุดก็คือไทฮองไทเฮา เขาไม่อยากทำให้เจียงเซี่ยนเสียใจ
ทว่าเจียงลวี่ได้ยินแล้วกลับยิ้มออกมาเล็กน้อย
เมื่อวานเขาไปถามเจียงเจิ้นหยวน บิดาก็บอกเขาแบบนี้เหมือนกัน
และหลี่เชียนสามารถคิดไปในทางเดียวกันกับบิดาได้ ก็ถือว่ามีความคิดไม่ธรรมดาเช่นกัน
ในราชสำนักไม่มีพันธมิตรและศัตรูถาวร
ดูท่าทาง ตระกูลเจียงของพวกเขาต้องร่วมมือกับตระกูลเฉาแล้ว
เจียงลวี่เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไรแล้ว ความคิดของเจ้าดีมาก”
ไม่มีความดีใจที่แก้ปัญหาได้ แต่กลับตอบอย่างขอไปทีเล็กน้อย
หลี่เชียนถอนหายใจในใจ
นี่เป็นอีกครั้งที่ตระกูลเจียงหยั่งเชิงเขา
เพียงแต่ไม่รู้ว่าอยากหยั่งเชิงความจงรักภักดีที่เขามีต่อตระกูลเจียงหรือหยั่งเชิงมุมมองของเขาต่อเรื่องนี้
ไม่รู้ว่าเมื่อไรตระกูลเจียงถึงจะยอมรับเขาอย่างแท้จริง?
แต่เขาก็หาได้ย่อท้อไม่
หากเขาเป็นเจียงลวี่ เขาก็จะทำแบบนี้เหมือนกัน
เพียงแต่จะไม่ทำอย่างตรงไปตรงมาเหมือนเจียงลวี่เท่านั้นเอง
ในใจหลี่เชียนไม่มีความไม่พอใจ ดังนั้นรอยยิ้มจึงแลดูสงบนิ่งและอ่อนโยน เขาถามว่า “พวกอาจ้านจะตามเจ้าไปส่งตัวเจ้าสาวหรือไม่?”
ก่อนหน้านี้เพราะไม่รู้ว่าพวกหวังจ้านจะมา เจียงเซี่ยนแต่งงาน จึงมีแค่เจียงลวี่กับเจียงหานไปส่งตัวเจ้าสาว ส่วนเจียงจ้งอายุน้อยไปหน่อย กลัวว่าจะเจอโจรระหว่างทางที่ส่งตัวเจ้าสาว และเขาก็เข้าสังคมไม่เป็น จึงให้เขาอยู่ช่วยเจียงเจิ้นหยวนต้อนรับแขกที่ต้าถง
เจียงลวี่เอ่ยว่า “ไม่ พวกเขาไม่ไป ข้ากับอาหานไปเหมือนเดิม”
หลี่เชียนพยักหน้า ทั้งสองคนคุยกันเรื่องสถานการณ์ในเมืองหลวงอีกครู่หนึ่ง พอเห็นว่าสายแล้ว หลี่เชียนจึงลุกขึ้นบอกลา
เจียงลวี่ไปที่เรือนด้านหลัง
เจียงเซี่ยนเก็บของเรียบร้อยแล้ว และกำลังนอนอยู่บนเตียง โดยสาวใช้สองคนที่มาจากนางในกำลังทาของเหนียวๆ สีเขียวที่ไม่รู้ว่าคืออะไรลงบนหน้านาง ดูน่าขยะแขยงมาก
เขาอดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “นี่เจ้าเป็นอะไรไปอีก? แล้วนี่คืออะไร? พรุ่งนี้เจ้าจะออกเรือนแล้ว อย่าทำให้หน้าพังเชียว ระวังหลี่เชียนจะถอนหมั้นในงาน!”
เจียงเซี่ยนไม่สามารถเอ่ยปากพูดได้ จึงพึมพำเสียงเบาๆ อยู่ตรงนั้นว่า “ท่านไม่ใช่พี่ชายของข้าหรือ? หากเขากล้าทำลายงานแต่ง ท่านจะไม่ต่อยเขาอย่างนั้นหรือ? ข้ายังต้องกังวลอะไรอีก!”
เจียงลวี่นึกถึงเรื่องที่เขาพ่ายแพ้หลี่เชียนก่อนหน้านี้…ทันใดนั้นก็รู้สึกว้าวุ่นใจมาก จึงเอ่ยว่า “เจ้าก็หาเรื่องไปเถอะ ข้าจะไปหาท่านแม่แล้ว!”
ทิ้งเจียงเซี่ยนเอาไว้ และสะบัดแขนเสื้อจากไป
เจียงเซี่ยนไม่รู้ว่าเจียงลวี่โกรธอะไร พลางคิดว่าเดี๋ยวก็จะทาแตงกวาเหนียวๆ บนหน้าตนเองเสร็จแล้ว เลยตัดสินใจว่าเดี๋ยวล้างหน้าแล้วค่อยไปถามเจียงลวี่ จึงนอนนิ่งๆ และฟังสาวใช้สองคนเอ่ยเรื่องพิธีแต่งงานในวันพรุ่งนี้ต่อ “…ฮูหยินตั้งใจสั่งให้คนแลกเหรียญทองแดงมาสิบหลัวโดยเฉพาะ ถึงเวลานั้นจะห่อทั้งหมดเป็นเงินและตกรางวัลให้คนรับใช้ของตระกูลหลี่ที่มาช่วยขนย้ายสินเดิม เหล่าพี่น้องในเรือนต่างก็ถูกฮูหยินเรียกไปแล้ว ตอนเที่ยงก็ไม่ได้กลับมาเจ้าค่ะ”
นางพยักหน้าอย่างเหม่อลอย ด้วยไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้นัก และถามสาวใช้ว่า “ทาสิ่งนี้บนหน้าแล้วจะทำให้ข้าขาวขึ้นจริงๆ หรือ?”
“พวกเราทาแล้วต่างก็ดูขาวขึ้น” สาวใช้คนหนึ่งในนั้นเอ่ยอย่างจริงใจว่า “แต่ท่านหญิงขาวขนาดนี้แล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนหรือไม่”
เจียงเซี่ยนดีใจเล็กน้อย และเอ่ยว่า “พวกเจ้าคิดว่าข้าขาวมากหรือ?”
“ขาวมากเจ้าค่ะ!” ทั้งสองคนเอ่ยเหมือนกันว่า “พวกเรายังไม่เคยเจอคนที่ขาวมากกว่าท่านหญิงเลย!”
“พวกเจ้าเคยเจอคนกี่คนล่ะ!” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย ทว่าความรู้สึกดีใจในใจนั้นกลับอย่างไรก็ต้านไม่อยู่ จนอยากบอกไป๋ซู่ถึงจะรู้สึกสบายใจ
นางถามถึงไป๋ซู่ “ท่านหญิงไปทำอะไรแล้ว?”
สาวใช้คนหนึ่งในนั้นยิ้มพลางเอ่ยว่า “ถูกแม่นมเมิ่งเรียกไปช่วยตรวจนับรายการสินเดิมของท่านเจ้าค่ะ”
สินเดิมมากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะมอบให้ฉิงเค่อคนเดียวก็จบเรื่อง ไป๋ซู่กับเมิ่งฟางหลิงต้องไปตรวจสอบรายการสินเดิมที่ฉิงเค่อคัดลอกใหม่อย่างแน่นอน ขอเพียงคัดลอกรายการถูกต้อง ของเพิ่มหรือลดก็สามารถตรวจสอบได้
เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกดีใจที่ตนเองไม่ต้องยุ่งเรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นหลายวันนี้นางก็อย่าได้คิดที่จะหลับสบายเลย
นางหาวครั้งหนึ่ง และงีบไปครู่หนึ่งถึงจะลุกจากเตียง ล้างสิ่งที่อยู่บนหน้าออกหมด และเข้าไปส่องใกล้กระจกตะวันตกหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
รู้สึกว่าบนหน้าแวววาวและขาวผ่องไม่น้อยจริงๆ
นางดีใจมาก จนวิ่งไปที่ห้องหนังสือเล็กที่พวกไป๋ซู่ตรวจสอบรายการสินเดิมทันที โดยไม่สนว่าไป๋ซู่กำลังทำอะไรอยู่
ไป๋ซู่ผลักนางออกมาทันที และเอ่ยว่า “เจ้าอย่ามาก่อกวนข้าที่นี่เลย หากไม่มีอะไรทำก็ไปนอนสักครู่ ฤกษ์มงคลพรุ่งนี้เช้ายามเหม่า ยามจื่อเจ้าก็ต้องลุกขึ้นมาแต่งตัวแล้ว ถึงเวลานั้นอย่าเดินไปหลับไป ทำให้ตระกูลหลี่เสียหน้า!”
“นอนไม่หลับ!” เจียงเซี่ยนถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วนั่งลงบนตั่งเล็กหน้าประตูห้องหนังสือเล็ก และถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ยังไม่ถึงเวลานอนของข้าเลย ข้าจะนอนหลับได้อย่างไร ถึงแม้พรุ่งนี้ข้าจะต้องตื่นตั้งแต่ยามจื่อ แต่พอข้าขึ้นเกี้ยวแล้วก็นอนต่อได้ เจ้าก็ไม่ต้องไล่ข้าไปนอนตอนนี้ก็ได้กระมัง?”
ไป๋ซู่กลัวว่าตนเองคุยกับเจียงเซี่ยนและมองข้ามไปบรรทัดหนึ่งก็ยุ่งยากแล้ว ต้องรู้ว่า ทุกบรรทัดในสมุดบัญชีนี้ล้วนมีมูลค่าสูงมาก หากนางมองข้ามไปชิ้นหนึ่ง ก็เท่ากับเสียทองไปร้อยตำลึง แล้วนางจะไม่จริงจังได้อย่างไร
“เช่นนั้นเจ้านั่งอยู่ตรงนี้เงียบๆ” ทว่าพอเจอเจียงเซี่ยนที่เบื่อมาก นางก็ใจอ่อน และยังเอ่ยอย่างประนีประนอมว่า “อย่างมากที่สุดอีกหนึ่งชั่วยามข้าก็เสร็จแล้ว”
เจียงเซี่ยนพยักหน้า และเท้าคางนั่งมองพวกไป๋ซู่ตรวจสมุดบัญชีอยู่ตรงนั้น
แต่เพียงแค่ครึ่งถ้วยชา เจียงเซี่ยนก็ทนไม่ไหวแล้ว และเอ่ยว่า “จ่างจู เจ้าว่าตอนที่ข้าเจอใต้เท้าหลี่ ต้องชมเขาสักหน่อยหรือไม่?”
“ชม?” ไป๋ซู่งุนงง และเอ่ยว่า “เจ้าเป็นลูกสะใภ้ของเขา ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของเขาเสียหน่อย ชมใต้เท้าหลี่…ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?”
———————————-