มู่หนานจือ – บทที่ 264 ออกเรือน

มู่หนานจือ

จริงด้วย!

ตอนนี้นางเป็นลูกสะใภ้ของหลี่ฉางชิง ไม่ใช่ไทเฮาที่สำเร็จราชการแทน…

เจียงเซี่ยนลูบหน้าอย่างเขินอาย และหัวเราะออกมาเล็กน้อย

ไป๋ซู่อดที่จะยิ้มไม่ได้ และกอดเจียงเซี่ยนเบาๆ ทีหนึ่ง พลางเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าก็อย่าตื่นเต้นเกินไปเช่นกัน ดูจากท่าทางที่ตระกูลหลี่แสดงออกมาที่ได้แต่งงานกับเจ้า พ่อสามีของเจ้าก็เป็นคนฉลาดเช่นกัน ขอเพียงปกติเจ้าไว้หน้าเขาสักหน่อย คิดดูแล้วเขาก็คงจะไม่ยุ่งเรื่องของเจ้าเช่นกัน”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า นางหน้าแดงจนเหมือนเมฆหลากสียามพระอาทิตย์ขึ้นแต่กลับเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ตื่นเต้น ข้าเพียงแค่ไม่รู้ว่าจะอยู่ร่วมกับใต้เท้าหลี่อย่างไรเท่านั้น”

ไป๋ซู่เม้มปากยิ้ม และปลอบใจนางอย่างล้อเลียนว่า “ก็ได้ ก็ได้! ข้ารู้แล้ว! เจ้าไม่ได้ตื่นเต้น เพียงแค่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี!”

พูดจนเจียงเซี่ยนพาลโกรธ และวิ่งหนีไปอย่างเร็วมาก

ไป๋ซู่หัวเราะอยู่เบื้องหลังนาง

เจียงเซี่ยนกลับห้องและดึงผ้าห่มมาคลุมศีรษะนอน

ชีกูที่รีบมารีบดึงผ้าห่มลงมาใต้คางให้นาง และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มืดแล้ว ข้าให้คนตักน้ำเข้ามาให้ท่านหญิงล้างหน้าและบ้วนปากดีกว่า?”

เจียงเซี่ยนฝืนทำเป็นเยือกเย็นและเอ่ยว่า “อืม”

ชีกูไปเรียกสาวใช้กับแม่บ้านเข้ามารับใช้ในห้องเหมือนเช่นเคย

จนกระทั่งเจียงเซี่ยนล้างหน้าบ้วนปากเสร็จและนอนลงบนเตียง ถึงจะรู้สึกว่าหน้าไม่ได้ร้อนขนาดนั้นแล้ว

ชีกูยิ้มพลางถือกล่องใบหนึ่งเข้ามา และเอ่ยว่า “ท่านหญิง เมื่อครู่ปิงเหอที่อยู่ข้างกายนายท่านมาเจ้าค่ะ บอกว่ามาส่งของให้ท่านตามคำสั่งของนายท่าน” นางพูดไปก็ยกกล่องในมือ “ท่านว่าวางไว้ตรงไหนถึงจะเหมาะสมเจ้าคะ?”

เจียงเซี่ยนลุกขึ้นมานั่งและรับกล่องมา

พอเปิดดูเป็นหุ่นไม้ที่สวมเสื้อคลุมยาวสีแดงเข้ม สูงสามนิ้วกว่า เกล้ามวยทรงง่ามคู่ บนหน้าอ้วนๆ ทาแก้มสีแดงกลมๆ ศีรษะใหญ่มาก ตัวเล็กนิดเดียว ตอนที่ไม่แตะต้องก็ส่ายศีรษะเช่นกัน น่ารักมาก

เจียงเซี่ยนวางหุ่นไม้ไว้บนเตียง

หุ่นไม้ตัวนั้นส่ายศีรษะต่อ เมื่อบวกกับดวงตาที่ยิ้มตาหยี จึงน่าเอ็นดูมาก

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “นางไม่มีช่วงเวลาที่ไม่ส่ายศีรษะเลยหรือ?”

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ” ชีกูยิ้มพลางตอบ และรินน้ำอุ่นให้เจียงเซี่ยน “ท่านหญิงดื่มน้ำถ้วยนี้แล้วค่อยนอนเถอะเจ้าค่ะ! ปิงเหอบอกว่า นายท่านยังให้เขามาบอกท่านด้วยว่า ยังมีอีกชิ้นหนึ่งอยู่ในมือของนายท่าน ตอนที่ท่านไปก็อย่าลืมนำสิ่งนี้ไปด้วย”

เจียงเซี่ยนเม้มปาก และตอบว่า “รู้แล้ว” นางดื่มน้ำอุ่นที่ชีกูยื่นมาใกล้ปาก และนอนลงอีกครั้ง

ในห้องเงียบสงัด มีแต่หุ่นที่หลี่เชียนเพิ่งส่งมาให้ตรงหัวเตียงนางที่ส่ายศีรษะไม่หยุด

ไม่รู้ทำไม เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าหลี่เชียนเหมือนกับหุ่นไม้ตัวนี้มาก

ทำให้นางมีความสุขตลอด และหยอกนางเล่นตลอด…

นางหัวเราะออกมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้ จิตใจกลายเป็นสงบมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

นางหยอกหุ่นไม้นั้นเล่นครู่หนึ่ง ก็รู้สึกง่วงขึ้นมา ไม่นานก็เข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน

ยามจื่อ ไป่เจี๋ยเป็นคนปลุกนาง ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น นางก็พลิกตัวและงีบอีกครู่หนึ่งถึงจะลุกจากเตียง แต่ในใจกลับคิดว่า เดี๋ยวเจอหลี่เชียน ต้องบอกเขาว่า นางโตมาขนาดนี้ก็เพิ่งเคยตื่นเช้าขนาดนี้เป็นครั้งแรก เขาต้องชดใช้ที่นางไม่ได้นอน

ไม่รู้ว่าตอนที่หลี่เชียนได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้จะทำหน้าอย่างไร? จะคิดว่านางมักจะก่อกวนอย่างไร้เหตุผลหรือไม่? จะคิดว่านางจงใจหาเรื่องหรือเปล่า…

เจียงเซี่ยนคิดในใจเช่นนั้น ทว่าในจิตใต้สำนึกกลับมั่นใจมากและรู้ว่าหลี่เชียนไม่มีทางตำหนินางจริงๆ จึงอดที่จะยิ้มมุมปากไม่ได้

กว่าจะอาบน้ำ เปลี่ยนชุดแต่งงาน หวีผม และกินบัวลอยเสร็จ ท้องฟ้าก็ค่อยๆ สว่างขึ้นแล้ว

ทันใดนั้นฮูหยินฝางที่เฝ้าอยู่ข้างกายนางมาตลอดก็น้ำตาร่วงลงมา

เจียงเซี่ยนที่ยังเยาว์วัย จะแต่งงานแล้ว!

จะกลายเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลอื่นแล้ว!

ไทฮองไทเฮาที่อยู่ในวังไม่ได้เห็นแม้แต่การบอกลาครั้งสุดท้ายของนางด้วยซ้ำ

ใครจะรู้ว่าออกไปเที่ยวธรรมดาครั้งหนึ่ง เจียงเซี่ยนจะบอกลาเมืองหลวงที่เกิดและเติบโตที่นี่ตั้งแต่นี้ไป บอกลาญาติกับเพื่อนที่เห็นนางมาตั้งแต่เด็กจนโต แต่งงานไปอยู่ไกลถึงซานซี แต่งงานกับคนที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน…สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาวางใจก็คือตระกูลหลี่ฐานะครอบครัวต่ำกว่า ถึงจะแต่งงานไปอยู่ไกล ตระกูลหลี่ก็ไม่กล้ารังแกเจียงเซี่ยนอยู่ดี…

วันนี้เป็นวันดีของเด็กคนนี้ ทางนั้นยังไม่มารับตัวเจ้าสาวนางก็ร้องไห้ออกมาก่อนแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน!

ฮูหยินฝางรีบเบือนหน้าไปทางอื่น และแอบเช็ดหางตา

ทว่าวันนี้นางก็แต่งหน้าเช่นกัน ถึงอย่างไรน้ำตาก็ยังทำให้เครื่องสำอางของนางเปียก

แม่นมอวี๋ดึงแขนเสื้อของฮูหยินฝางเบาๆ และเตือนนางอย่างเยือกเย็นว่า “ฮูหยินก็ไปแต่งตัวเถอะเจ้าค่ะ! อีกไม่นานเกี้ยวของลูกเขยก็จะเข้าจวนแล้ว”

เดี๋ยวนางยังต้องบอกลาเจียงเซี่ยนแทนบิดามารดาของเจียงเซี่ยนอีก

มีเสียงประทัดกับเสียงตีฆ้องดังมาจากข้างนอกแว่วๆ จริงๆ

เจียงเซี่ยนจะแต่งงานไปแล้วหรือ?

ฮูหยินฝางนั่งอึ้งอยู่ตรงนั้น เรี่ยวแรงทั้งร่างเหมือนถูกสูบออกไปหมด จนไม่มีแรงลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ

แม่นมอวี๋รีบเข้าไปพยุงฮูหยินฝาง

ทว่าจู่ๆ เจียงเซี่ยนที่นั่งอยู่บนเตียงกลับยื่นมือออกมาจับมือของฮูหยินฝางที่จับผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่น และยิ้มพลางเอ่ยกับฮูหยินฝางว่า “ท่านป้า ท่านกับท่านลุงใหญ่วางใจเถอะ ข้าจะใช้ชีวิตกับหลี่เชียนอย่างดี ต่อให้ทะเลาะกัน ก็จะไม่หนีกลับไปบ้านของตนเองง่ายๆ แต่จะไล่เขาออกไปอย่างแน่นอน…”

สายตาของนางใสแจ๋วและโปร่งใส เปล่งประกายความสุขจนปิดไม่มิด สีหน้าแลดูจริงจังและจริงใจ

ฮูหยินฝางอึ้งไป แล้วก็ยิ้มออกมา และเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ใครเขาพูดถึงสามีของตนเองแบบนี้กัน!” พลางนึกถึงที่ตนเองกังวลแทนนางมาก ทว่านางกลับดูเหมือนไม่คิดอะไรมากและไม่กังวล…พอคิดถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ บางทีอาจจะไม่ใช่ไม่คิดอะไรมาก แต่มีแผนการอยู่ในใจก่อนแล้ว?

สมกับเป็นผู้หญิงของตระกูลเจียงจริงๆ ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็จะจัดการอย่างมั่นใจในตนเองมาก แทนที่จะบ่นและร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้น

ทันใดนั้นฮูหยินฝางก็ไม่เสียใจแล้ว

ก็แค่แต่งงานไม่ใช่หรือ?

ยังกลัวว่าตระกูลหลี่จะปฏิบัติกับนางไม่ดีอีกอย่างนั้นหรือ?

หากตระกูลหลี่กล้าปฏิบัติกับนางไม่ดี ก็กลับมาก็ได้ ในเมืองหลวงก็ไม่ใช่ว่าไม่มีลูกสาวที่แต่งงานแล้วถูกสามีทอดทิ้งจึงกลับไปบ้านของตนเองตลอดไปเสียหน่อย!

แม้จะมีลูก ตระกูลเจียงก็สามารถเลี้ยงไปพร้อมกันได้เช่นกัน ไม่แน่อาจจะมีอนาคตมากกว่าติดตามตระกูลหลี่ก็ได้

พอคิดแบบนี้ ฮูหยินฝางก็รู้สึกว่าเจียงเซี่ยนแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าอะไรแล้ว

นางล้างหน้า หวีผม และแต่งตัวใหม่ ตอนที่ออกมาจากห้องด้านใน สีหน้าไม่มีความกังวลและความไม่สบายใจอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว

เจียงเซี่ยนทำจิตใจให้สงบ และถอนหายใจยาวเหยียด

เวลานี้ในชาติก่อน ความสัมพันธ์ของนางกับตระกูลเจียงเย็นชาและห่างเหิน จนกระทั่งนางเป็นไทเฮาและต้องการการสนับสนุนจากตระกูลเจียง ตระกูลเจียงกลัวว่านางจะเสียเปรียบ ถึงจะค่อยๆ สนิทสนมกัน

ตอนนี้คิดดูแล้วนางก็รู้สึกเสียใจ

ดังนั้นนางจึงกลัวมากว่าจะทำให้ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้ แล้วก็พวกพี่ชายอย่างเจียงลวี่เสียใจ

นางคล้องแขนของฮูหยินฝาง และหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ข้าออกเรือนแล้ว ท่านป้าโล่งใจหรือไม่ ต่อไปก็จะได้เลือกภรรยาให้ท่านพี่อาลวี่อย่างสบายใจแล้ว!”

ฮูหยินฝางรู้ว่าเจียงเซี่ยนกำลังเบี่ยงเบนความสนใจของนาง อยากให้อารมณ์ดี ความเศร้าใจที่เพิ่งจะกดลงไปจึงผุดออกมาอีก จนอดไม่ได้ที่จะกอดเจียงเซี่ยน และเอ่ยว่า “เด็กดี เจ้าเป็นคนดีขนาดนี้ พระโพธิสัตว์จะคุ้มครองเจ้า!”

แต่ชาติก่อนนางฆ่าคน…พระโพธิสัตว์จะคุ้มครองนางหรือ?

เจียงเซี่ยนก้มหน้าลง จิตใจพลันหดหู่ถึงขีดสุดในทันใด

ฮูหยินฉีมาแล้ว และคารวะฮูหยินฝาง พอเห็นเจียงเซี่ยนแลดูจิตใจหดหู่ จึงเข้าไปโอบไหล่นาง และหยอกเล่นว่า “อุ๊ย เจ้าสาวของพวกเราไม่อยากไปจากบ้านของตนเอง จึงเสียใจอยู่ตรงนี้นี่นา!”

————————————

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท