มู่หนานจือ – บทที่ 274 คืนหนึ่ง

มู่หนานจือ

วันนี้หลี่เชียนอารมณ์ดีมาก จึงดื่มอย่างเต็มที่ ทว่าถึงอย่างไรในใจเขาก็คิดถึงเจียงเซี่ยนที่อยู่ที่ห้องหอคนเดียวอยู่ตลอดเวลา แม้จะดื่มอย่างเต็มที่ แต่กลับดื่มไม่มากนัก และตอนที่พวกจินเซียวยังอยากบังคับให้เขาดื่มเหล้าจากเฝินหยางอีกไห เขาก็แกล้งทำเป็นเมาและแอบหนีกลับเรือนตะวันตก แล้วดื่มน้ำแกงสร่างเมาข้างนอก หวีผมและล้างหน้าใหม่ครั้งหนึ่ง ถึงจะเข้าไปในห้องหอ

เจียงเซี่ยนเข้ามาใกล้แล้วก็ได้กลิ่นเหล้าจากบนตัวเขาอย่างเบาบาง บอกไม่ได้ว่าเกลียดทว่าก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าชอบ นางอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ และเอ่ยว่า “วันนี้เจ้าดื่มไปเยอะมากหรือ?”

หลี่เชียนกลัวว่าเจียงเซี่ยนจะไม่ชอบ จึงรีบเอ่ยว่า “วันนี้มีแต่คนมาแสดงความยินดี จึงปฏิเสธยาก ปกติก็ไม่ได้ดื่มเหล้ามากขนาดนี้”

เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม

นางไม่เชื่อคำพูดของเขาสักนิด

ลุงของนางก็จะสัญญากับป้าสะใภ้ของนางแบบนี้เหมือนกัน แต่น้อยมากที่จะทำตามสัญญา

เจียงเซี่ยนไม่อยากบังคับหลี่เชียน

ระหว่างนางกับหลี่เชียนดูเหมือนสนิทสนมกัน ทว่าความจริงแล้วห่างกันไกลมาก ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองคนจะเดินไปถึงจุดสิ้นสุดได้หรือไม่ ตอนที่อยู่ด้วยกัน มีความสุขได้ก็พยายามมีความสุขหน่อย ไม่จำเป็นต้องบาดหมางกันเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้ส่งผลต่อความเป็นความตาย ต่อไปนึกขึ้นได้ นางจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน

“เช่นนั้นข้าจะให้จุ้ยเอ๋อร์ไปตักน้ำเข้ามาให้เจ้าล้างหน้า” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม และสั่งให้จุ้ยเอ๋อร์ไปตักน้ำเสียงดัง

จุ้ยเอ๋อร์ขานรับและจากไป

หลี่เชียนก็นอนลงบนหมอนอิงใบใหญ่ของเตียงใหม่อย่างเกียจคร้าน และถามเจียงเซี่ยนว่า “หลังจากข้าไปแล้ว เจ้าได้กินอะไรหรือยัง? หิวไหม? ไม่ใช่ว่าทำให้เจ้าเหนื่อยแล้วก็จะพักผ่อนเร็วหน่อยหรือ? ทำไมยังไม่นอน พรุ่งนี้ญาติของทั้งสองฝ่ายจะต้องพบกันเป็นครั้งแรกแต่เช้า ญาติในครอบครัวไม่เยอะนัก แต่ตระกูลที่สนิทสนมกันมากจนเหมือนเป็นคนในครอบครัวนั้นมากันไม่น้อย ข้าว่าแบบนั้นถึงตอนเที่ยงก็คงจะไม่เสร็จ ข้ากลัวว่าเจ้านอนดึกแล้ว พรุ่งนี้จะอยู่ไม่ถึงตอนเที่ยง”

“ไม่เป็นไร สองวันนี้ข้านอนหลับอย่างเต็มที่” เจียงเซี่ยนพูดไปก็เหม่อลอยเล็กน้อย

ตอนนั้นตระกูลหลี่รับปากแล้วว่า หลังจากนางอายุครบสิบห้าปีเต็มค่อยเลือกวันเข้าหอ แล้วหลี่เชียนนอนลงบนเตียงใหม่ทำไมกัน? หรือว่าเขาคิดจะผิดสัญญาอย่างนั้นหรือ? หากเขาใช้อำนาจบาตรใหญ่จริงๆ ถึงเวลานั้นนางควรจะทำอย่างไร? อย่างไรก็ร้องตะโกนเสียงดังจนคนนอกพากันมาหัวเราะเยาะไม่ได้กระมัง? ทว่าหากไม่ส่งเสียงเอะอะโวยวาย ด้วยนิสัยของคนๆ นี้ อาจจะคิดว่านางกำลังจงใจปล่อยเขาไปก่อนและค่อยจับเขาก็ได้…

เจียงเซี่ยนรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย

นางรู้สึกว่าตนเองวางแผนเรื่องนี้พลาดไปเล็กน้อย เพราะมักจะคิดว่าหลี่เชียนไม่เคยผิดคำพูดเรื่องที่เคยรับปากนางเลย แต่กลับลืมไปว่าชาติก่อนเวลาที่เขาแกล้งนางขึ้นมา ไม่ว่านางจะพูดอย่างไรก็ไม่เคยปล่อยนางไป…หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกก็น่าจะให้หลิวตงเยว่อยู่รับใช้ในห้อง ไม่รู้ว่าเรียกหลิวตงเยว่เข้ามาตอนนี้จะสายไปหรือไม่?

เจียงเซี่ยนครุ่นคิดอยู่ในใจ จุ้ยเอ๋อร์ก็พาสาวใช้ตักน้ำเข้ามาแล้ว

และดูแลให้หลี่เชียนหวีผม ล้างหน้า และเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเสร็จเรียบร้อย

หลี่เชียนถามเจียงเซี่ยนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดว่า “เจ้ายังอยากกินอะไรรองท้องสักหน่อยหรือไม่!”

เจียงเซี่ยนอยู่กับไทฮองไทเฮา จึงใช้ชีวิตค่อนข้างรักษาสุขภาพ เลยกลางยามเซินตอนบ่ายก็ไม่กินอะไรอีกแล้ว

นางส่ายหน้า

หลี่เชียนก็รู้นิสัยของนางเช่นกัน จึงไม่บังคับนาง เขายิ้มพลางเก็บพุทราแดง ลำไย และถั่วลิสงที่กระจัดกระจายอยู่บนเตียงใหม่มารวมไว้ด้วยกัน และถามเจียงเซี่ยนว่า “ของพวกนี้จะทำอย่างไร? จะปล่อยให้พวกมันวางอยู่บนเตียงต่อไปหรือจะเก็บกวาด? หรือพวกเราต้องกินมัน?”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” เจียงเซี่ยนคิดว่าต้องพูดเรื่องคืนวันแต่งงานกับหลี่เชียนให้ชัดเจน ชาติก่อนจ้าวอี้ก็นอนที่วังเฉียนชิงตลอด ส่วนนางอยู่ที่วังคุนหนิง หากไม่ใช่ว่าตอนหลังไทฮองไทเฮาป่วยตายอย่างกะทันหัน และนางตัดสินใจไว้ทุกข์หนึ่งปี บางทีพวกนางก็อาจจะอยู่ด้วยกันไปแล้ว และนางก็อาจจะไม่กล้าวางยาพิษจ้าวอี้ก็ได้

พอคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกกระวนกระวายใจ

หลี่เชียนเรียกชีกูเข้ามาแล้ว และถามนางว่าพวกของที่แฝงความหมายว่าขอให้ให้กำเนิดลูกชายไวๆ นี้จะทำอย่างไร

ชีกูเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก็ปล่อยให้มันกระจายอยู่บนเตียง และพรุ่งนี้เช้าตื่นมาเก็บกวาดก็พอเจ้าค่ะ”

หลี่เชียนจึงผลักพวกของเล็กๆ น้อยๆ นั้นไปไว้ข้างหมอนหมด แล้วหยิบหมอนใบหนึ่งในนั้นขึ้นมาตบเบาๆ และวางไว้ด้านในของเตียง แล้วเอ่ยว่า “เป่าหนิง รีบนอนเถอะ!”

เจียงเซี่ยนรวบรวมความกล้าขึ้นมาและเรียก “หลี่เชียน” แล้วเอ่ยว่า “เจ้าเคยรับปากไทฮองไทเฮาว่า ไว้ข้าอายุครบสิบห้าปีเต็มแล้วพวกเราค่อยอยู่ด้วยกัน” ยังพูดไม่จบ หน้าของนางก็แดงจนเหมือนเลือดจะหยดออกมาแล้ว

หลี่เชียนอึ้งไป และเอ่ยว่า “ใช่แล้ว! ต่อให้ข้าไม่ได้รับปากไทฮองไทเฮา ก็จะไม่อยู่กับเจ้าเร็วขนาดนั้นเช่นกัน ข้าเคยได้ยินท่านหมอบอกหมดแล้วว่า ผู้หญิงหากหลับนอนกับสามีเร็วเกินไป จะทำร้ายร่างกายมาก จนอาจจะลดอายุขัยได้” เขาพูดไปก็เดินมาดึงแขนของเจียงเซี่ยน และกระซิบข้างหูนางว่า “ข้ายังคิดจะใช้ชีวิตกับเจ้าไปตลอดชีวิตนะ! แล้วจะทำให้เจ้าเจ็บป่วยเรื้อรังได้อย่างไร!”

ใบหน้าของเจียงเซี่ยนแดงมากขึ้น และพูดจาตะกุกตะกักเช่นกัน “เช่นนั้นเจ้ายัง…ยัง…นอนที่นี่…”

หลี่เชียนเข้าใจทันที จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเราต้องอยู่ด้วยกันอย่างแน่นอน ข้าไม่อยากแยกจากเจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าแต่งงานมาอยู่ไกลถึงซานซีคนเดียว มายังสถานที่แห่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีแม้แต่คนที่คุยเรื่องส่วนตัวสักคน จะไม่โดดเดี่ยวและเหงาอย่างนั้นหรือ อีกอย่าง…พวกเราอยู่ด้วยกันก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องในมุ้งของสามีภรรยาเช่นกัน พวกเรานอนคุยกันก็ดีมากเหมือนกันนี่นา!”

ทำแบบนั้นได้หรือ?

เจียงเซี่ยนสงสัยมาก

ทว่าหลี่เชียนกลับลากนางขึ้นเตียงโดยไม่ยอมให้แก้ต่างหรืออธิบาย และย่อตัวลงถอดรองเท้าให้นาง แล้วเอ่ยว่า “เจ้าวางใจ เวลานี้เจ้าเป็นแขนของข้า เป็นมือเท้าของข้า ข้าทำร้ายเจ้าก็เหมือนทำร้ายตนเอง…เมื่อก่อนเจ้าเชื่อใจข้ามากไม่ใช่หรือ? ทำไมตอนนี้ป้องกันข้าเหมือนป้องกันโจร!”

เจียงเซี่ยนถูกเขาโกรธก็ยิ้มออกมา และเอ่ยว่า “ใครป้องกันเจ้าเหมือนป้องกันโจร? หากไม่ใช่เพราะเจ้าทำให้คนไม่วางใจ ข้าจะเป็นแบบนี้หรือ? ตอนที่เจ้าตำหนิข้า ต้องสำรวจตนเองก่อนว่ามีความผิดหรือไม่ อย่าเจออะไรก็ต่อว่าข้า ข้าไม่เป็นแพะรับบาปให้เจ้าหรอก!”

ก็จริง

เจียงเซี่ยนไม่มีทางเป็นแพะรับบาปให้เขาหรอก

แต่นางสามารถช่วยเขาแบกรับภาระในช่วงเวลาสำคัญแห่งความเป็นความตายของเขาได้

นี่เป็นความรักที่ลึกซึ้งมากกว่าการเป็นแพะรับบาปเสียอีก

“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว!” หลี่เชียนเอื้อมมือไปจะช่วยนางถอดชุดแต่งงาน แต่ถูกเจียงเซี่ยนผลักออก และเรียกไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อเข้ามาล้างเครื่องสำอาง

หลี่เชียนก็พิงหัวเตียงและมองนางล้างหน้าบ้วนปาก

ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่ออยากพูดทว่าก็หยุดไว้

เจียงเซี่ยนทำเป็นมองไม่เห็น และสั่งฉิงเค่อว่า “คืนนี้ก็ให้ตงเยว่เฝ้ายามเถอะ!”

หน้าตาของฉิงเค่อฉายแววลำบากใจ นางมองหลี่เชียนครั้งหนึ่ง และเอ่ยว่า “ท่านหญิง ตงเยว่อยู่ที่เรือนด้านนอก…”

นางยังพูดไม่จบ หลี่เชียนก็เอ่ยแทรกนางแล้วว่า “เป่าหนิง แม้พวกเราทุกคนจะรู้ว่าตงเยว่เป็นอย่างไร แต่เวลานี้ตงเยว่ติดตามเจ้าออกจากวัง พวกเราก็ไม่สามารถเรียกใช้เขาเหมือนยังคงเป็นตงเยว่คนเดิมได้แล้ว ข้ารู้ว่ามีญาติในครอบครัวบุกเข้ามากลางคัน วันนี้จึงให้ตงเยว่พาพวกเด็กรับใช้ของข้าไปลาดตระเวณที่เรือนตะวันตกชั่วคราว เดิมทีข้าคิดว่าจะปรึกษาเรื่องนี้กับเจ้าอีกทีพรุ่งนี้ แต่ในเมื่อเจ้าถามขึ้นมา ข้าก็จะได้ถามความเห็นของเจ้า เจ้าว่าให้ตงเยว่เป็นเด็กรับใช้ในเรือนของเจ้าได้หรือไม่ ต่อไปก็อยู่ที่เรือนด้านนอก มีอะไร ก็ให้เขาช่วยถ่ายทอดคำพูดหรือออกไปทำธุระให้เจ้า…”

หลี่เชียนไม่ใช่คนประเภทที่ไม่ขอความเห็นชอบจากนางและทำอะไรโดยพลการ ชาติก่อนตอนที่ความสัมพันธ์ของพวกนางตึงเครียดที่สุด เขามีอะไรก็จะส่งคนมาบอกนาง จู่ๆ เขาก็เรียกใช้หลิวตงเยว่เป็นเด็กรับใช้แบบนี้ จะต้องเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน

เจียงเซี่ยนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “มีใครถามถึงตงเยว่หรือเปล่า?”

———————————–

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท