มู่หนานจือ – บทที่ 286 หยั่งเชิง

มู่หนานจือ

ก่อนนอนหลี่เชียนหยอกเล่นกับเจียงเซี่ยนพักหนึ่ง เขาอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ตอนหลังเห็นเจียงเซี่ยนหน้าตาหดหู่เล็กน้อย เขาถึงทำหน้าขรึม แล้วดูแลให้เจียงเซี่ยนนอนลง และหลังจากเจียงเซี่ยนนอนลงแล้วก็ยังไม่ปฏิเสธเขา ปล่อยให้แขนของเขาวางอยู่บนเอวของนาง และหลับตาลง

ในจมูกและในใจของเขามีแต่กลิ่นหอมที่เจือต้นสนและต้นไป่เล็กน้อยจากตัวเจียงเซี่ยน

ทว่ากลิ่นหอมที่เย็นยะเยือกขนาดนั้น กลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่น และหลับไปอย่างรวดเร็ว

อาจจะเป็นเพราะต่อให้หลับไปแล้ว เขาก็ยังคิดอยู่ในใจตลอดเวลาว่าเจียงเซี่ยนหลับไปหรือยังกันแน่ ดังนั้นพอเจียงเซี่ยนขยับ เขาจึงตื่นทันที ตอนที่เจียงเซี่ยนเขย่าไหล่ของเขา เขาก็ลืมตาและลุกขึ้นมานั่งแล้ว และเอ่ยอย่างสมองปลอดโปร่งว่า “เป็นอะไรไป? หิวน้ำและอยากดื่มน้ำหรือ? หรือว่าหิว?”

เขารู้ว่าวันนี้นางพูดคุยกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา คงจะไม่ค่อยได้นั่งลงกินอาหารดีๆ

เจียงเซี่ยนส่ายหน้า อยากลองถามเขาว่า แม่ทัพที่กล้าหาญอย่างอวิ๋นหลิน ทำไมเขาถึงได้จัดให้อวิ๋นหลินอยู่ที่ด่านจวีหย่ง แถมให้อยู่ถึงห้าปี เขาไม่กลัวอวิ๋นหลินไม่พอใจ? ไม่กลัวอวิ๋นหลินไม่ยอม? ไม่กลัว…นางสงสัยว่าอวิ๋นหลินมาจับตาดูนาง…

ทว่าตอนที่นางมองดวงตาที่เหมือนดำสนิทและสดใสของหลี่เชียน แล้วมองใบหน้าที่แลดูจริงจังเล็กน้อยเพราะเป็นห่วงมากเกินไปของเขา จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าน่าขำเล็กน้อย

เรื่องบางเรื่องเป็นเพียงความทรงจำของนาง

หลี่เชียนไม่สามารถแบ่งปันกับนางได้

นางกลายเป็นรู้สึกหดหู่ทันที

เรื่องราวในชาติก่อนจะไม่มีคำตอบตลอดไปอย่างนั้นหรือ?

แล้วนางจะแสวงหาความงุนงงเหล่านั้นจากใครได้อีกเล่า?

“นอนเถอะ!” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างเซื่องซึมว่า “ข้าเพียงแค่จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมา จึงกลัวนิดหน่อยเท่านั้น”

นางพูดไปก็หลับตาลงอีกครั้ง

หลี่เชียนมองเจียงเซี่ยน ขนตาที่เรียวยาวและหนาของนางเหมือนปีกผีเสื้อ สั่นเบาๆ ลูกตากลิ้งอยู่ใต้เปลือกตา เห็นได้ชัดว่ากำลังแกล้งหลับ

เขายังอยากเดินต่อไปแบบนี้กับเจียงเซี่ยนตลอดชีวิต ทว่าระหว่างเขากับนางยังมีความแตกต่างและความขัดแย้งมากขนาดนั้น เขาจึงไม่อยากให้เจียงเซี่ยนมีเรื่องปิดบังเขา

นั่นมีแต่จะทำให้ระหว่างพวกเขายิ่งเดินก็ยิ่งห่าง

หลี่เชียนครุ่นคิดเล็กน้อยและตัดสินใจ

เขาเขย่าไหล่ของเจียงเซี่ยนเบาๆ และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นเจ้าก็คุยเป็นเพื่อนข้าเถอะ…ข้าถูกเจ้าปลุกแล้ว ก็นอนไม่หลับชั่วขณะเช่นกัน”

เจียงเซี่ยนรู้สึกเสียใจ

นางไม่สนใจเรื่องแต่งงาน แต่เห็นท่านป้าสะใภ้ใหญ่กับเมิ่งฟางหลิงดูหัวหมุน นางก็จินตนาการได้เช่นกันว่าฝ่ายชายที่รับตัวเจ้าสาวจะยุ่งแค่ไหน ทว่าหลี่เชียนกลับไม่พูดอะไรต่อหน้านางแม้แต่คำเดียว ส่วนหลี่ฉางชิงก็ดีใจมาก เพียงแค่นางแสดงความเคารพออกมาโดยไม่รู้ตัวเล็กน้อยก็แทบจะยินดีควักหัวใจกับปอดออกมาให้…กว่าเรื่องงานแต่งงานจะจบไปช่วงหนึ่งก็ไม่ง่ายเลย หลี่เชียนกำลังนอนหลับฝันดี แต่กลับถูกนางปลุก

ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแบบที่จะนอนหลับยากมากหลังจากตื่นขึ้นมากลางคันหรือเปล่า

มีช่วงหนึ่งนางก็เป็นแบบนั้น

จะมองท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นตลอดถึงจะฝืนหลับตานอนสักครู่ได้

ทว่าอีกไม่กี่ชั่วยามพวกเขาก็ต้องกลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านฝ่ายหญิงแล้ว ท่านพี่พยายามจับผิดหลี่เชียนมาตลอด ตอนที่หลี่เชียนไปพบท่านพี่ก็ต้องทำจิตใจให้สดชื่นอย่างเต็มที่แน่นอน…

เจียงเซี่ยนลุกขึ้นพิงหัวเตียง และยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าอยากคุยเรื่องอะไรกับข้าหรือ?”

หลี่เชียนหันไปหยิบเสื้อสองชั้นที่นางพาดไว้ที่ขอบเตียงมาคลุมให้นาง และพิงหัวเตียงเคียงข้างนาง แล้วถึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก็ไม่มีอะไรเช่นกัน แค่เห็นเจ้านอนไม่หลับ เลยคุยเป็นเพื่อนเจ้า”

เจียงเซี่ยนอึ้งไปเล็กน้อย

หลี่เชียนรู้ได้อย่างไรว่านางนอนไม่หลับ?

นางหายใจติดขัดเล็กน้อย

เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน

ทุกครั้งที่นางอารมณ์ไม่ดี คนอื่นดูไม่ออก เขาก็สังเกตเห็นหมด

พวกคนที่รับใช้นางอยู่ด้วยกันมานานแล้ว จะรู้สึกได้ก็ไม่แปลก แต่ชาติก่อนนางกับหลี่เชียนปีหนึ่งก็เจอกันไม่กี่ครั้ง ยิ่งกว่านั้นเรื่องที่เกี่ยวกับนางล้วนเป็นเรื่องใหญ่ในวังมาตลอด คนธรรมดาไม่อนุญาตให้แอบดูอย่างเด็ดขาด ต่อให้เขาตั้งใจ ก็ไม่มีทางที่จะสืบได้ละเอียดแบบนั้นเช่นกัน

มีครั้งหนึ่งนางถามเมิ่งฟางหลิงว่า รู้ได้อย่างไรว่านางอารมณ์ไม่ดี

เมิ่งฟางหลิงยิ้มและบอกนางว่า หากท่านใส่ใจคนๆ หนึ่งอยู่ตลอดเวลา ก็จะรู้สึกถึงทุกการกระทำและความรู้สึกต่างๆ ของเขาได้

ตอนนั้นนางรู้สึกว่าคำพูดของเมิ่งฟางหลิงเกินจริงไปหน่อย

ทว่าตอนนี้จู่ๆ นางก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และรู้สึกว่าคำพูดของเมิ่งฟางหลิง…อาจจะมีเหตุผลเล็กน้อย

เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะกระหายน้ำมาก

นางเลียริมฝีปากแดงที่แห้งผาก

ในใจของหลี่เชียนเหมือนไฟกำลังลุกไหม้ทันที

เขาอดทนแล้วอดทนอีก สุดท้ายก็ยังทนไม่ไหว จึงหันไปประคองใบหน้าของนาง แล้วแนบแก้มของนางเบาๆ และเรียกอย่างอ่อนโยนว่า “เป่าหนิง” “เป่าหนิง” “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าพวกเราเคยตกลงอะไรกันไว้? มีเรื่องอะไรห้ามปิดบังอีกฝ่าย ข้ารู้ว่าเจ้าอารมณ์ไม่ดี ต้องเจอเรื่องอะไรอย่างแน่นอน หากเจ้าไม่อยากบอก ก็ยังไม่ต้องบอก แต่ตอนที่เจ้าอยากบอก ต้องบอกข้านะ เจ้าไม่บอก ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเจอเรื่องอะไร?”

อ้อมกอดของหลี่เชียนอบอุ่นเช่นนี้ ในเสียงของเขาเจือความปรารถนาที่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการอย่างเบาบาง ทำให้นางเวียนศีรษะทันที อยากอยู่แต่ในอ้อมกอดนี้แบบนี้ และไม่ต้องแยกจากกันตลอดไป

“จงเฉวียน!” เจียงเซี่ยนกอดหลี่เชียนตอบ สายตาที่แฝงความเหลาะแหละเล็กน้อยตอนที่ตอบนางพลางมองนางที่ตำหนักจินหลวนของเขาปรากฏขึ้นในความทรงจำของนาง

เจียงเซี่ยนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

เขาเคยปล่อยไก่ต่อหน้านางมาหมดแล้ว…เทียบกันแล้ว นางเก่งกว่าเขามาก…

นางกำลังคิดอยู่ จึงเอ่ยเรื่องบางเรื่องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “หากข้าเป็นไทเฮา และเลี้ยงจ้าวสี่ แต่เจ้ากลับเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ควบคุมพื้นที่แถบหนึ่ง เจ้ายังจะปกป้องข้าหรือไม่?”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร!” อยู่ๆ ความอบอุ่นก็หนาวยะเยือกไปถึงกระดูกในทันใด หลี่เชียนประคองใบหน้าของนาง จ้องนางด้วยดวงตาสีแดง เหมือนหมาป่าชั่วร้ายที่จะกระโจนเข้ามาเลาะกระดูกนางลงท้องตลอดเวลา หากนางกล้าเอ่ยสิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจอีกแม้แต่ประโยคเดียว เขาก็จะกลืนนางลงไปในคำเดียว

เจียงเซี่ยนควรจะรู้สึกกลัวถึงจะถูก

ทว่าไม่รู้ทำไม นางไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกกลัว กลับรู้สึกเหมือนกำลังแกล้งสุนัขตัวใหญ่ที่รูปลักษณ์ภายนอกดุร้ายและแข็งแกร่ง ไม่ปราณีต่อคนอื่นแม้แต่นิดเดียว ทว่ากลับทำอะไรนางไม่ได้

นางเอ่ยเสียงดังว่า “หากข้าแต่งงานกับจ้าวอี้ แต่ไม่มีลูก หลังจากจ้าวอี้ตาย ข้าจำเป็นต้องสนับสนุนและตั้งจ้าวสี่เป็นฮ่องเต้ ว่าราชการหลังม่านเป็นไทเฮา โต้เถียงอย่างรุนแรงและสู้กันไปมากับเหล่าขุนนางใหญ่ทุกวันเหมือนเฉาไทเฮา…”

“เป่าหนิง!” สีหน้าของหลี่เชียนเคร่งขรึม สายตาที่มองนางพลันลึกเหมือนบ่อน้ำที่แห้งขอด เย็นชา สงบนิ่ง เงียบสงบไร้คลื่น และฉายแววตักเตือนอย่างน่าสะพรึงกลัวในทันใด

เจียงเซี่ยนรู้สึกกระวนกระวาย

ชาติก่อน นางกลัวหลี่เชียนมองนางแบบนี้ที่สุด

ทุกครั้งที่เขามองนางแบบนี้ ก็หมายความว่าจะจัดการเรื่องของนางอย่างถึงที่สุด

ไม่ว่านางจะโกรธ ดึงมาเป็นพวก หรือแสร้งทำเป็นยอมอ่อนข้อให้อย่างไร เขาก็ไม่หวั่นไหวทั้งนั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องส่วนตัวของนาง

ที่จะดื้อรั้นเกินความคาดหมาย

เพียงแต่นางยังไม่ทันเอ่ยปาก หลี่เชียนก็เอ่ยแล้วว่า “เจ้าเสียใจที่แต่งงานกับข้าหรือ?”

เจียงเซี่ยนถึงรู้สึกตัวว่าตนเองพูดผิดไปแล้ว

ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้นางอยากแก้ไข ก็ไม่สามารถบอกทั้งหมดได้อยู่ดี

นางกัดริมฝีปาก สมองเริ่มแล่นอย่างเร็วมาก

หลี่เชียนคาดคั้นอีกครั้งแล้วว่า “เจ้าเสียใจที่แต่งงานกับข้าแล้วหรือ?”

เห็นเขาซักไซ้คำถามนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจียงเซี่ยนก็โล่งอก

นางเอ่ยเหมือนคนเลวชิงฟ้องก่อนว่า “ข้าบอกว่าข้าเสียใจที่แต่งงานกับเจ้าแล้วหรือ? ทำไมทุกครั้งที่คุยกับเจ้า เจ้าก็จับประเด็นไม่ได้สักที ข้าหมายความว่า หากข้าลงเอยแบบนั้น เจ้ายังจะปกป้องข้าหรือไม่?”

หลี่เชียนได้ยินแล้วก็กะพริบตาปริบๆ ผ่านไปครู่หนึ่งเหมือนเพิ่งจะเข้าใจความหมายของนาง

———————————-

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท