มู่หนานจือ – บทที่ 287 ความรู้สึก

มู่หนานจือ

หลี่เชียนรู้สึกดีใจมากจนสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที และเอ่ยว่า “แน่นอนว่าจะต้องปกป้องเจ้าอยู่แล้ว! เจ้าเป็นคนที่ข้าชอบ ยิ่งกว่านั้นหากเจ้าเป็นฮองเฮาจริง ก็ต้องไม่ใช่เพราะไม่ชอบข้าอย่างแน่นอน แต่เพราะสถานการณ์บังคับ แล้วจะโทษเจ้าได้อย่างไร?”

“จริงหรือ?” เจียงเซี่ยนพึมพำ

“แน่นอนว่าจริงอยู่แล้ว” สายตาที่หลี่เชียนมองนางเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ต่อให้มีวันนั้นจริง และข้าไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ ก็จะส่งใครสักคนไปปกป้องเจ้าอยู่ดี”

เจียงเซี่ยนพลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางนึกถึงชีกู

นางเอ่ยเสียงเบาว่า “เหมือนอย่างชีกูหรือเปล่า…” เป็นหญิงรับใช้ข้างกายนาง ทว่ากลับมีวิทยายุทธ์ชั้นเลิศ

หลี่เชียนพยักหน้า

เจียงเซี่ยนยิ้มออกมา

นางอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของหลี่เชียนอย่างอ่อนแอ

ดังนั้นชาติก่อนอวิ๋นหลินถึงอยู่ที่ด่านจวีหย่งและเป็นแม่ทัพที่ด่านจวีหย่งตลอด

เช่นนั้นชาติก่อนเขายังเคยทำเรื่องที่นางไม่เคยรู้กี่เรื่องกัน?

เจียงเซี่ยนอยากจัดการอย่างละเอียด แต่อ้อมกอดของหลี่เชียนสบายเกินไป ในสมองของนางเสียงดังอึกทึกครึกโครมจนว่างเปล่า นางคิดอะไรไม่ออกและไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น

นางอยากอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของหลี่เชียนตลอดไปเหมือนอย่างตอนนี้

เจียงเซี่ยนกอดเอวของหลี่เชียนแน่น

“เป่าหนิง!” หลี่เชียนรู้สึกถึงความสั่นคลอนทางอารมณ์ของเจียงเซี่ยน เขาไม่ค่อยเข้าใจ แล้วก็กังวลเล็กน้อย อยากดึงเจียงเซี่ยนที่ซบอยู่บนตัวเขาออก ทว่าหลายครั้งก็ไม่สมปรารถนา เขาจึงกอดนางแบบนี้เสียเลย พอจิตใจค่อยๆ สงบลงตามไปด้วย สติปัญญาก็ค่อยๆ กลับคืนมาเช่นกัน เขาถึงรู้สึกได้ว่าคำพูดเหล่านั้นของเจียงเซี่ยนเมื่อครู่กะทันหันแค่ไหน เขาเอ่ยอย่างทุ้มต่ำและอ่อนโยนข้างหูนางว่า “เป่าหนิง ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงถามว่าหากเจ้าเป็นไทเฮาจะเป็นอย่างไร? เกิดเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้ขึ้นหรือเปล่า?”

“เปล่า!” เจียงเซี่ยนไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแล้ว นางแค่รู้สึกว่าโชคดีมากที่หลังจากนางกับหลี่เชียนผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาแล้ว นางได้เกิดใหม่ หลี่เชียนไม่ทอดทิ้งนาง แถมโชคชะตายังพลิกผันให้ทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากันด้วย นางไม่อยากไปสืบหาสาเหตุของพวกบุญคุณและความแค้นในชาติก่อนอีกแล้ว นางแค่อยากใช้ชีวิตกับหลี่เชียน และเดินต่อไปแบบนี้กับเขา “ข้าแค่ฝันร้าย ฝันว่าข้าแต่งงานกับจ้าวอี้ สุดท้ายเป็นไทเฮาตั้งแต่อายุยังน้อย…”

หลี่เชียนหัวเราะ และเอ่ยว่า “กลางวันคิดถึงเรื่องอะไรกลางคืนก็จะฝันถึงเรื่องนั้น เจ้าต้องคิดถึงอะไรบางอย่างแน่ถึงได้ฝันแบบนี้ รีบบอกมา ว่าเจ้าคิดถึงอะไร? หรือว่าเห็นอะไร?”

เจ้าหมอนี่ ตอนที่โง่ก็โง่จนทำให้คนทนมองไม่ได้ ตอนที่ฉลาดก็ฉลาดจนทำให้คนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“เจ้าไม่ถามไม่ได้หรือ?” เจียงเซี่ยนตัดสินใจหลอกไปว่า “ไม่ใช่ว่ายากจนงงหรือ? เจ้าก็แกล้งทำเป็นงงตอนที่ข้าไม่อยากบอกไม่ได้หรือ?”

“เรื่องอื่นทำได้” หลี่เชียนเอ่ยอย่างเด็ดขาดว่า “มีแต่เรื่องนี้ที่ไม่ได้ เจ้าเป็นอะไรไปกันแน่? ทำไมจู่ๆ ถึงคิดว่าหากเจ้าเป็นฮองเฮาจะเป็นอย่างไร?”

เจียงเซี่ยนโกรธมาก

เจ้าหมอนี่จะหยุดได้หรือยัง?

แต่หากไม่หลอกเขาไป เขาจะต้องไม่หยุดอย่างแน่นอน

ชาติก่อนท่านลุงใหญ่รู้ว่าเวลาว่างนางชอบดูงิ้วฆ่าเวลา จึงเชิญคณะงิ้วที่ไม่มีชื่อเสียงเข้ามาแสดงงิ้วในวังให้นาง พูดจริงๆ คณะงิ้วนั้นแสดงงิ้วได้ธรรมดามากจริงๆ ทว่าก็ไม่เท่านักแสดงหลายคนต่างหน้าตาดี เหล่าสตรีในวังเห็นแล้วต่างก็ไม่ละสายตา นางรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงให้คณะงิ้วนั้นอยู่แสดงติดต่อกันหลายวัน สุดท้ายไม่รู้ว่าเรื่องนี้แพร่ไปถึงหลี่เชียนได้อย่างไร เขาส่งสาส์นอย่างด่วนที่สุดมาวันเดียวหกฉบับ เพียงเพื่อถามนางเรื่องนี้ ตอนแรกนางยังอดทนตอบเขา ตอนหลังเห็นเขายุ่งเรื่องของนางเหมือนป่วยอีก นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น และสั่งซือหลี่เจียนว่าหากเห็นสาส์นของเขาอีกก็เก็บไว้ก้นกล่องเลย

แต่หลี่เชียนกลับรีบมาจากซีอาน และยังจับนางไว้แน่นไม่ปล่อย ซักถามนางในห้องทรงอักษรยังไม่หยุด กลับตามไปถึงวังฉือหนิง เหมือนการที่นางเรียกคณะงิ้วเข้ามาแสดงงิ้วในวังนั้นคือกำลังยั่วเย้านักแสดงและมั่วกันในวังหลัง…ตอนนั้นนางก็โกรธจนถึงขีดสุดเช่นกัน และถามเขาว่า ‘เจ้ามีสิทธิอะไรมายุ่งเรื่องของข้า’ ‘ข้าชอบเรียกใครเข้าวังก็เรียก’ ‘เจ้ามีความสามารถก็ปลดไทเฮาอย่างข้าสิ’

หลี่เชียนตาแดงและพุ่งออกไป

ไม่นาน นางก็ได้ยินข่าวว่า ตัวละครหลักหลายตัวของคณะงิ้วนั้นต่างถูกคนฆ่าหมดแล้ว

นางรู้ว่านี่เป็นฝีมือของหลี่เชียนโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ

พอเรียกเขาเข้าวังมาซักถาม เขายังเอ่ยอย่างคิดว่าตนเองมีเหตุผลเพียงพอว่าหลังจากนักแสดงพวกนั้นออกจากวังก็ใช้นามของนางหลอกลวงคนข้างนอก เจียงลวี่ไม่จัดการ เขาจัดการเอง…ทำให้นางโกรธแทบตาย

ทว่าใครจะรู้ว่าเจ้าหมอนั่นกลับยังคงทำหน้าเย็นชาและซักไซ้นางเช่นเดิมว่าหลายวันนี้ทำไมจู่ๆ ถึงหลงใหลการดูงิ้ว…ช่วงนั้นนางเห็นเขาแล้วก็รู้สึกปวดศีรษะ

หลี่เชียนสนใจสมมติฐานเมื่อครู่ของนางขนาดนี้ ก็จะต้องถามจนถึงที่สุดเหมือนที่นางเรียกนักแสดงเข้ามาแสดงงิ้วในวังเช่นกันอย่างแน่นอน

เจียงเซี่ยนจำเป็นต้องเอ่ยว่า “ข้าเห็นว่าไม่ว่าข้าจะไปที่ไหน ก็มักจะมีคนของเจ้าอยู่ข้างกายเสมอ จึงคิดว่าหากข้าเข้าวังไปเป็นฮองเฮา จะต้องไม่มีวันนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นถึงได้ลองถามเจ้า!”

นางเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติและตรงไปตรงมา แม้แต่นางก็ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าสิ่งที่นางเอ่ยนั้นคลุมเครือแค่ไหน กระทั่งแฝงการปลอบโยน เอาใจ และไกล่เกลี่ยความขัดแย้งเพื่อให้เรื่องราวสงบลงเล็กน้อย

แต่หลี่เชียนกลับฟังออก เขารู้สึกดีใจอย่างถึงที่สุดทันที เขากอดเจียงเซี่ยนพลางเรียกว่า “เป่าหนิง” ไม่หยุด และรัดเจียงเซี่ยนแน่นจนหายใจไม่ค่อยออก

เจียงเซี่ยนผลักเขาติดกันหลายครั้ง และเอ่ยว่า “นี่เจ้าทำอะไรน่ะ? ข้าจะหายใจไม่ออกแล้ว”

หลี่เชียนรีบปล่อยนาง ทว่าดวงตาที่มองนางกลับลึกซึ้งและยึดมั่นเหมือนหมึกที่ไม่ละลาย

“เป่าหนิง” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ขอเพียงในใจเจ้ามีข้า ต่อให้เจ้าเป็นฮองเฮา ข้าก็จะปกป้องเจ้าเหมือนเดิม”

หรือว่าชาติก่อนเขาคิดว่าในใจนางมีเขาอย่างนั้นหรือ?

เจียงเซี่ยนตั้งใจขึ้นมาทันที และเอ่ยว่า “หากในใจข้าไม่มีเจ้าล่ะ? เจ้าจะไม่ปกป้องความปลอดภัยของข้าหรือ?”

หลี่เชียนเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับครุ่นคิดเรื่องที่นางเอ่ย แล้วก็เหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่าง เอ่ยกับเจียงเซี่ยนอย่างจริงจังว่า “หากในใจเจ้าไม่มีข้า ข้าจะคิดหาทางทำให้ในใจเจ้ามีข้า สุดท้ายข้าก็ยังจะส่งคนไปปกป้องเจ้าอยู่ดี”

เจียงเซี่ยนอึ้งไป

หลี่เชียนกอดเจียงเซี่ยนเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นแล้ว ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าและจะดูแลเจ้าตลอดไป พวกเรานอนเถอะ! พรุ่งนี้ยังต้องกลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านของเจ้าและพบท่านพี่แต่เช้าอีก”

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “อืม” ในใจปะปนไปด้วยหลากหลายความรู้สึกจนบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ทว่าตอนที่ออกห่างจากอกของหลี่เชียน นางกลับพบว่าหูของหลี่เชียนแดงก่ำ ราวกับถูกไฟแผดเผา

นางกระวนกระวายใจ

ประโยคเมื่อครู่…คงเป็นความในใจของหลี่เชียนกระมัง?

เช่นนั้นนางสามารถสันนิษฐานได้หรือไม่ว่า…หลี่เชียนในชาติก่อนก็คิดแบบนี้?

เจียงเซี่ยนร้อนผะผ่าวไปทั่วทั้งร่าง

นางผลักหลี่เชียนออก และใช้ผ้าห่มพันตนเองเป็นดักแด้ แล้วหลับตาพลางเอ่ยกับหลี่เชียนว่า “ข้าจะนอนแล้ว” และก็ไม่สนใจเขาอีกเลย

หลี่เชียนหัวเราะเบาๆ แล้วช่วยจัดผ้าห่มให้นาง และตะแคงตัววางมือตรงเอวของนาง แล้วก็หลับตาลงเช่นกัน

เจียงเซี่ยนไม่รู้ว่าตนเองหลับไปตอนไหน แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองหลับไปอย่างไร ตอนที่ตื่นขึ้นมา ฟ้ายังไม่สว่าง แต่หลี่เชียนกลับตื่นแล้ว และกำลังสั่งฉิงเค่อที่เข้าเวรกลางคืนเสียงเบาว่า “ไม่ต้องรบกวนท่านหญิง ให้นางนอนอีกสักครู่ พวกเจ้าเตรียมของทุกอย่างให้พร้อม แล้วปลุกนางก่อนออกเดินทางครึ่งชั่วยาม ส่วนอาหารเช้าก็กินในรถม้าก็ได้”

————————————

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท