ถึงเวลาที่ตกลงกันเมื่อวานเซี่ยหยวนซีกับอวิ๋นหลินก็มาบอกลาหลี่เชียน หลี่เชียนกับเจียงเซี่ยนถึงนึกเรื่องที่เมื่อวานทั้งสองคนปรึกษากันเรียบร้อยขึ้นมาได้
หลี่เชียนยิ้มเล็กน้อย
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับลำบากใจเล็กน้อย
เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้เช่นกัน พอพวกเขาสองคนเริ่มคุยกันก็ไม่จบไม่สิ้น ต่อให้ทะเลาะกัน ก็ต้องทะเลาะกันสักหนึ่งหรือสองชั่วยาม
นางถามหลี่เชียน “เช่นนั้นยังจะให้ตงเยว่ไปหรือไม่?”
“แน่นอน” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “แม้เรื่องนี้จะเร่งด่วน แต่ก็ไม่อาจสะเพร่าเพราะรีบร้อนได้เช่นกัน ตงเยว่ไปดีที่สุดแล้ว จะได้ปลอมตัวเป็นพวกคุณชายน้อยที่อ่อนต่อโลกในตระกูลขุนนางที่มั่งคั่งและมีอำนาจ”
แม้หลิวตงเยว่จะเป็นขันที ทว่าอย่างไรเขาก็เติบโตที่วังฉือหนิง ไม่มีเจียงเซี่ยนอยู่ข้างๆ เดินออกไปก็มีมาดทั้งตัวอยู่ดี จึงหลอกลวงคนได้มาก
ในจุดนี้ ข้างกายหลี่เชี่ยนไม่มีใครเทียบเขาได้สักคน
เจียงเซี่ยนตอบว่า “ได้” ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และให้เซียงเอ๋อร์ไปเรียกตงเยว่มา
ส่วนหลี่เชียนก็บอกเรื่องนี้กับเซี่ยหยวนซีและอวิ๋นหลิน
ทั้งสองคนต่างก็ชมว่า “ดี” พร้อมกัน เซี่ยหยวนซีเอ่ยว่า “เมื่อครู่อวิ๋นหลินยังบอกข้าว่า กังวลว่าตนเองจะปลอมตัวเป็นคุณชายจากตระกูลขุนนางได้ไม่ดี หากตงเยว่สามารถไปกับพวกเราได้ นั่นก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
ทั้งสามคนเริ่มปรึกษารายละเอียดกัน
หลังจากหลิวตงเยว่รู้เจตนาที่เจียงเซี่ยนเรียกเขามา ก็ส่ายศีรษะเหมือนป๋องแป๋ง “ไม่ได้ ไม่ได้! ท่านหญิง ข้าทำไม่ได้! เรื่องใหญ่ขนาดนี้ หากทำพลาดจะทำอย่างไร? จะทำให้ท่านหญิงกับท่านแม่ทัพเดือดร้อนได้นะขอรับ!”
ให้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาปลอมตัวเป็นโจรลู่หลินปล้นของของเพื่อนขุนนาง นี่หากแพร่งพรายออกไป ชาตินี้หลี่เชียนก็อย่าได้คิดที่จะเป็นคนเลย!
และเขาเป็นคนที่พิการทางร่างกาย เพราะนิสัยชอบเอาชนะ ปกติจะไม่เผยออกมาแม้แต่นิดเดียวอย่างเด็ดขาด ทว่าในใจกลับมีปมด้อยเรื่องนี้ไม่น้อย ให้เขาปลอมตัวเป็นคุณชาย และให้เขาปลอมตัวเป็นคุณชายต่อหน้าเจียงเซี่ยน เขาไม่มั่นใจจริงๆ
เจียงเซี่ยนคิดมาตลอดว่าหลี่เชียนดึงคนมาเป็นพวกเก่งกว่านาง พอได้ยินจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พูดถึง เรื่องนี้ยังเป็นความต้องการของท่านแม่ทัพด้วย หากเจ้าคิดว่าทำไม่ได้ เจ้าก็ไปบอกท่านแม่ทัพเองแล้วกัน!”
“ความต้องการของท่านแม่ทัพ?!” หลิวตงเยว่ตกใจ
ท่านแม่ทัพก็คิดว่าเขาเหมาะสมเหมือนกันหรือ?
หลิวตงเยว่นึกถึงพวกลูกน้องของหลี่เชียน แต่ละคนต่างก็เก่งมาก…ท่านแม่ทัพคิดว่าเขาก็เก่งมากเหมือนอย่างนั้นหรือ?
เขาหน้าตาลังเลและไม่สบายใจ
เจียงเซี่ยนก็ยิ้มพลางพาเขาไปหาหลี่เชียน
หลี่เชียนบอกสิ่งที่เขาต้องทำกับเขาอีกครั้ง
หลิวตงเยว่ฟังอย่างตั้งใจมาก ครั้งนี้ไม่ปฏิเสธทางอ้อม แต่บอกหลี่เชียนอย่างระมัดระวังมากว่า เขากลัวว่าจะทำได้ไม่ดี “…ทำลายงานใหญ่ของท่านแม่ทัพ!”
หลี่เชียนโบกมืออย่างไม่เห็นด้วย และเอ่ยว่า “คนมากขนาดนี้ ทำไมข้าถึงเลือกเจ้าคนเดียว แน่นอนว่าเพราะคิดว่าเจ้าทำได้…”
หลี่เชียนยังพูดไม่จบ หลิวตงเยว่ปรายตาไปมองเซี่ยหยวนซีกับอวิ๋นหลินที่ยืนยิ้มพลางมองเขาอยู่ข้างๆ แล้ว ดวงตาก็สดใสกว่าปกติเล็กน้อย
ไม่รอให้หลี่เชียนพูดอีก เขาค้อมตัวคารวะ แสดงออกว่ายินดีทำตามคำสั่งของหลี่เชียนทุกอย่าง
หลี่เชียนพยักหน้าอย่างพอใจ และมอบหลิวตงเยว่ให้เซี่ยหยวนซีกับอวิ๋นหลิน ให้ทั้งสองคนอธิบายอย่างละเอียดว่าเขาควรทำอะไรบ้าง ต้องเตรียมอะไรบ้าง และตัดสินใจให้พวกเขาเลื่อนการเดินทางออกไปสองวัน เตรียมทุกสิ่งที่ควรเตรียมให้เรียบร้อย ส่วนเวลาที่ล่าช้าค่อยคิดหาทางชดเชยกลับมาระหว่างทาง
ทั้งสามคนยิ้มพลางตกลง หลี่เชียนส่งเจียงเซี่ยนกลับห้อง…เดี๋ยวเขายังต้องตามหลี่ฉางชิงไปเยี่ยมเยียนหูอี่เหลียงอีก หวังว่าหูอี่เหลียงจะสามารถแจกจ่ายเงินเดือนทหารของกองบัญชาการซานซีลงมาได้อย่างเร็วที่สุด
เจียงเซี่ยนก็หยิกแขนของหลี่เชียนทีหนึ่ง
กล้ามเนื้อที่แข็งแรงแน่นมากและมีพลัง จนหยิกไม่เข้าด้วยซ้ำ
เจียงเซี่ยนจึงยิ่งโกรธ และเอ่ยว่า “ข้าไม่ต้องการหลิวตงเยว่แล้ว เจ้าเก็บเขาไว้ข้างกายเถอะ”
หลี่เชียนตกใจ ทว่าพอคิดอีกทีก็เข้าใจ
เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปกอดเจียงเซี่ยน และหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยว่า “เรื่องนี้ก็ต้องหึงหรือ? หากไม่ใช่เพราะเจ้า เขาจะเชื่อฟังข้าได้อย่างไร นี่ก็เป็นเพราะก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าอยากให้หลิวตงเยว่ช่วยเจ้าจัดการสินเดิมเช่นกัน ข้าจึงตั้งใจสังเกตมาระยะหนึ่งแล้ว คิดว่านิสัยและพฤติกรรมของเขาต่างไม่เลวทีเดียว ถึงได้คิดว่าเขาเหมาะสม…หลิวตงเยว่ไปฝูเจี้ยนเช่นนี้ ไม่ว่าความรู้หรือพฤติกรรมต่างก็จะเฉลียวฉลาดและก้าวหน้าขึ้นเล็กน้อย ตอนที่ช่วยเจ้าจัดการพวกทรัพย์สินของเจ้าก็จะทำงานราบรื่นมาก”
เจียงเซี่ยนหน้าแดงก่ำ และตวาดด่าเขาว่า “รีบปล่อยมือ!”
ยังมีกะจิตกะใจฟังว่าเขาพูดอะไรบ้างที่ไหนกัน?
หลี่เชียนก็ปล่อยมือทันที
เจียงเซี่ยนถึงพบว่ารอบๆ นอกจากพวกเขาสองคนแล้วก็ไม่มีคนอื่น
หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าวางใจ คนที่อยู่ข้างกายข้าต่างก็มีไหวพริบมาก เห็นพวกเราสองคนเดินเล่นอยู่ตรงนี้ ก็จะไม่ตามมาอย่างเด็ดขาด ไม่เพียงเท่านี้ ยังจะบอกเป็นนัยด้วย สาวใช้กับหญิงรับใช้ที่รับใช้ข้างกายเจ้าต้องมีความสามารถในการมองสักหน่อย…”
เจียงเซี่ยนเกลียดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน และอดไม่ได้ที่จะหยิกเขาอีกครั้ง
หลี่เชียนประหลาดใจและเบะปากร้องตลอดว่า “เจ็บ” “เจ้าเบาหน่อย เจ้าเบาหน่อย…เดี๋ยวข้ายังต้องช่วยท่านพ่อเขียนเทียบขอพบอีก เจ้าหยิกข้าเจ็บแล้ว ดูสิว่าเจ้าจะทำอย่างไร?”
“ก็ไม่ใช่ว่าข้าเขียนหนังสือไม่ได้แล้ว” เจียงเซี่ยนไม่เห็นด้วย แต่ก็หยุดมือ “ก็ไม่ใช่ว่าข้าเสียหน้าคนเดียว!”
หลี่เชียนหัวเราะเสียงดัง และจูงมือของนางไปที่ห้องหลัก “หากรู้สึกเบื่อก็อ่านหนังสือสักพัก ตอนเที่ยงข้าน่าจะกลับมารับประทานอาหารเที่ยงไม่ได้แล้ว เจ้าต้องกินข้าวดีๆ เดี๋ยวตอนกลับมา จะเอาแอปเปิ้ลกลับมาให้เจ้ากิน”
เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ฤดูนี้มีแอปเปิ้ลหรือ?”
“มี” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าได้ยินหญิงรับใช้ในบ้านเอ่ยว่าเป็นแอปเปิ้ลสีเขียว ไม่แดง ขนาดเท่ากำปั้นของทารก เปรี้ยวๆ หวานๆ บางคนชอบกิน บางคนไม่ชอบกิน ฤดูนี้เพิ่งจะวางตลาด…”
ทั้งสองคนคุยกัน และลืมเรื่องของหลิวตงเยว่ไปหมดสิ้นอีกแล้ว
ทว่าหลังจากหลี่เชียนจากไป เจียงเซี่ยนก็ยังรู้สึกเบื่อมากจริงๆ
ถึงจะอ่านนิยาย ก็รู้สึกว่าเขียนไปเขียนมาต่างก็เป็นของพวกนี้ เพียงแค่นี้
คนที่อยู่ข้างกายนางเห็นนางหน้าตาไม่มีความสุข จึงพากันออกความคิด
“ท่านหญิง ไม่อย่างนั้นไปเดินเล่นในสวนดอกไม้เถอะเจ้าค่ะ? ในสวนดอกไม้เย็นสบาย!”
“ท่านหญิง ไม่อย่างนั้นพวกเราไปเด็ดดอกเทียนมาทาเล็บเถอะเจ้าค่ะ?”
“ท่านหญิง พวกเราเล่นไพ่ดีกว่าเจ้าค่ะ? วันนี้พี่ฉิงเค่อ พี่ไป่เจี๋ย และชีกูต่างไม่เข้าเวร สามารถเล่นไพ่เป็นเพื่อนท่านได้พอดี”
เจียงเซี่ยนไม่อยากไปไหน และไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น
นางถามฉิงเค่อว่า “ฮูหยินทำอะไรอยู่?”
ไปนั่งที่เรือนของฮูหยินเหอก็ดีเหมือนกัน
ถึงอย่างไรพวกนางเป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้ ต่อให้ไม่สามารถสนิทสนมกันมากได้ ก็ควรจะรักใคร่ปรองดองกันเช่นกัน
นางไปนั่งที่เรือนของฮูหยินเหอบ่อย ความสัมพันธ์ก็ย่อมใกล้ชิดขึ้นเช่นกัน
ฉิงเค่อยิ้มและเอ่ยว่า “ได้ยินว่าฮูหยินไปที่เรือนสดับฝนแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ”
เรือนสดับฝนเป็นสถานที่ที่ฮูหยินเหอจัดการอาหารการกินภายในบ้าน
เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “แม่นมเหมียวก็อยู่ด้วยหรือ?”
“อยู่ด้วยเจ้าค่ะ” ฉิงเค่อเอ่ยว่า “ช่วงนี้แม่นมเหมียวคอยช่วยฮูหยินตลอด”
เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปที่เรือนของฮูหยินหน่อย บอกว่าข้าอยากไปรับประทานอาหารเที่ยงเป็นเพื่อนนาง นางสะดวกหรือไม่”
ฮูหยินเหอจะต้องบอกว่าสะดวกอย่างแน่นอน
แต่นางทักทายก่อนเป็นมารยาท
ฉิงเค่อยิ้มพลางขานว่า “เจ้าค่ะ” และถอยออกไป
ไป่เจี๋ยเห็นว่าสายแล้ว จึงเริ่มช่วยเจียงเซี่ยนแต่งตัว
ฉิงเค่อกลับมาแจ้งว่า “ฮูหยินดีใจมาก ยังถามข้าว่าท่านชอบกินอะไรบ้าง และสั่งให้ห้องครัวทำอาหารเที่ยงตามรสชาติที่ท่านชอบเจ้าค่ะ!”
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางพยักหน้า และพาฉิงเค่อกับไป่เจี๋ยไปที่ห้องหลัก
————————————–