ไป่เจี๋ยเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปากยิ้ม นางยกชาร้อนให้เจียงเซี่ยน แล้วหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ท่านหญิง จะพักก่อนสักครู่หรือไม่? เมื่อครู่ฮูหยินให้คนส่งพวกผลไม้มา กลัวว่าท่านจะเป็นหวัด จึงใช้น้ำบ่อแช่เย็นเจ้าค่ะ”
“อื้อ!” เจียงเซี่ยนเงยหน้าขึ้น และรู้สึกว่าในห้องร้อนไปหน่อยจริงๆ นางกินองุ่นสองสามลูก แล้วก็เอ่ยว่า “ที่นี่ไม่มีที่ไหนหลบร้อนได้หรือ? อากาศนี่ก็ร้อนเกินไปหน่อยเช่นกัน” นางพูดไปยังมองดวงอาทิตย์ที่เปล่งประกายแวววาวนอกห้อง
ไป่เจี๋ยยิ้มพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าลองไปถามหัวหน้าพ่อบ้านหลี่ดีกว่า? หลายวันนี้พวกเราต่างยุ่งอยู่กับเรื่องของเรือนตะวันตก ไม่ค่อยได้ออกไป ซานซีมีที่ดีๆ ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้…”
ทั้งสองคนกำลังคุยกัน หลี่เชียนกลับมาพอดี
เขาเหงื่อออกเต็มศีรษะ ส่วนหลังก็เปียกไปหมดแล้ว
เจียงเซี่ยนรีบสั่งให้ไป่เจี๋ยตักน้ำบ่อเข้ามาและช่วยหลี่เชียนเปลี่ยนเสื้อผ้า
แต่สายตาของไป่เจี๋ยกลับทอประกายเล็กน้อย และแค่สั่งให้สาวใช้ตักน้ำกับหยิบผ้าเช็ดหน้าข้างนอก ไม่เข้ามารับใช้
เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าเพราะหลี่เชียนอยู่ตรงหน้า จึงไม่มีกะจิตกะใจคิดมากเช่นกัน พอเห็นเขากางแขนออกให้สาวใช้ผูกสายรัดใต้รักแร้ นางก็อดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “เจ้าบอกว่าต้องออกไปพบเพื่อนคนหนึ่งกับท่านพ่อไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงกลับมาเร็วขนาดนี้?”
“เป็นอาจารย์ที่เคยสอนวิทยายุทธให้ข้า” เขานั่งลงข้างกายเจียงเซี่ยน และดื่มชาอึกใหญ่ ถึงจะถอนหายใจอย่างสบายใจ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่ออยากเชิญเขามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าครูฝึกของกองบัญชาการซานซี เขาไม่ค่อยเต็มใจ ท่านพ่อกับท่านฝูอวี้เลยตื๊อเขา ข้าเห็นว่าไม่เกี่ยวอะไรกับข้า จึงกลับมาก่อน”
เขาเอ่ยพลางหยิบพัดขนนกใต้โต๊ะอุ่นออกมาพัดให้เจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางเอ่ยว่า “ก็หมายความว่า พ่อเจ้าอยากเชิญอาจารย์ของเจ้าออกมาจากภูเขา?”
“ไม่ใช่อาจารย์ของข้า” หลี่เชียนเอ่ยว่า “เขาเพียงแค่เคยสอนวิทยายุทธให้ข้า ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยอยากฝากตัวเป็นศิษย์ของเขาเช่นกัน แต่เขาบอกว่า เป็นอาจารย์เพียงแค่หนึ่งวัน ก็ต้องถือว่าเป็นบิดาไปตลอดชีวิต ยิ่งกว่านั้นหากฝากตัวเป็นศิษย์ของเขาก็ต้องเข้าสำนักของเขา อย่างข้านั้นเรียนแค่การรับมือศัตรูในสนามรบเพียงผิวเผินนิดหน่อยก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องติดตามเขาไปฝึกฝนในช่วงเวลาที่หนาวและร้อนที่สุดของปี มันเสียเวลาอย่างสิ้นเชิง ตั้งใจเรียนวิชาดาบที่ในกองทัพใช้สำหรับลงสนามรบทำสงครามสังหารศัตรูก็พอแล้ว ข้าคิดว่าเขาก็พูดมีเหตุผลมากทีเดียว และข้าก็ไม่อยากไปมาหาสู่กับคนพวกนี้มากเกินไปด้วย จึงไม่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของเขา แต่เขาคนนี้ก็ใช้ได้ทีเดียว เขาบอกมวยภายในชุดหนึ่งกับข้า ใช้สำหรับบำรุงร่างกายและฝึกปรานได้ผลมาก ดังนั้นกำลังของข้าจึงเพิ่มขึ้นไม่น้อย…”
มีกำลังมากแล้วก็ใช้ดาบได้อย่างมีพลัง ลงสนามรบทำสงครามสังหารศัตรูก็มีโอกาสที่จะชนะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าหนีมาแบบนี้แล้ว อาจารย์ท่านนั้นจะไม่โกรธหรือ? เจ้าว่าพวกเราต้องเตรียมของขวัญส่งไปสักชุดหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไร ตอนนั้นเขาก็มีบุญคุณที่สั่งสอนเจ้าเช่นกัน”
“ของนั้นข้าส่งไปตั้งนานแล้ว” หลี่เชียนยิ้ม หางตาเห็นพวก ‘หัวหน้าขันทีซือหลี่เจียน’ ‘เสนาบดีกรมขุนนาง’ ‘เสนาบดีกรมโยธา’ ที่เขียนอยู่บนโต๊ะอุ่นแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มพลางเอ่ยว่า “นี่เจ้าจะทำอะไร? เวลานี้ยุบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและเปลี่ยนเป็นราชเลขาธิการแห่งสำนักราชเลขาธิการไปตั้งนานแล้ว…เจ้าจะแก้สักหน่อยหรือไม่?” เขาชี้ตรงที่เขียนว่าอัครมหาเสนาบดี และเอ่ยอีกว่า “นี่เจ้ากำลังวาดแผนผังการเลื่อนตำแหน่งหรือ?”
แผนผังการเลื่อนตำแหน่งเป็นเกมที่ทุกคนต่างชอบเล่น ปัญญาชนมากมายคิดค้นวิธีเล่นแบบต่างๆ เพื่อสิ่งนี้ บางคนถึงกับจะออกแบบกฎของเกม และคิดค้นวิธีเล่นใหม่ด้วยตนเอง
“นั่นมันยุ่งยากแค่ไหนกัน!” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ข้ากำลังช่วยฮูหยินเหอจัดการงานภายในอยู่!” นางเอ่ยจบก็วางกระดาษสองสามแผ่นลงตรงหน้าหลี่เชียน และเอ่ยอย่างร่าเริงว่า “เจ้ารีบช่วยข้าดูสิ ว่ามีตรงไหนที่ข้าคิดไม่ถึง และต้องเปลี่ยนใหม่หรือเปล่า?”
หลี่เชียนเห็นในแผนภาพนั้นมีแม้แต่ศาลาว่าการที่เงียบเชียบอย่าง ‘อุทยานซั่งหลิน’ เขายิ้มและหยอกเจียงเซี่ยนเล่นว่า “บ้านของพวกเราเล็กขนาดนี้ เกรงว่าจะยังไม่ได้ใช้พ่อบ้านที่ตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลสวนโดยเฉพาะกระมัง?”
สวนดอกไม้ด้านหลังของตระกูลหลี่ในเวลานี้ ต้นทับทิมกับต้นพุทราไม่กี่ต้นต่างก็ใช้สำหรับชม ให้พวกคนที่ดูแลดอกไม้กับต้นไม้ช่วยดูแลสักหน่อยก็พอแล้ว ไม่เหมือนพวกตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาอย่างยาวนาน ต้นไม้เป็นป่า ป่าเป็นผืน แค่ตัดต้นไม้ทุกปีก็เท่ากับรายได้ก้อนโตแล้ว
เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “เจ้าต้องมองการณ์ไกลหน่อย ตอนนี้ไม่ได้ใช้ ไม่เท่ากับว่าภายภาคหน้าจะไม่ได้ใช้ วางคนที่ดูแลชา ข้าว และน้ำส้มสายชูกับอุทยานซั่งหลินไว้ด้วยกัน แต่ละอย่างเลือกคนดูแลสักคนหรือสองคน ต่อไปหากบ้านใหญ่ขึ้น จะแยกอีกก็ง่ายมาก แต่จะทำงานไม่ละเอียดเหมือนตอนนี้ไม่ได้ ทำผิดแล้วอยากหาคนตวาดด่าสักคนก็หาไม่เจอด้วยซ้ำ”
หลี่เชียนไม่เห็นด้วยที่เจียงเซี่ยนดูแลบ้าน เขาคิดว่าหากเจียงเซี่ยนดูแลบ้าน ข้างบนมีคนสกุลเหออยู่ เจียงเซี่ยนมีแต่จะทำดีแล้วไม่ได้ดี สู้ปล่อยให้คนสกุลเหอดูแลอย่างเละเทะแบบนี้ไปดีกว่า อย่างน้อยก็จะไม่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องของเรือนตะวันตกของเขา ทว่าเวลานี้เขาเห็นเจียงเซี่ยนเล่นอย่างอารมณ์ดีขนาดนี้เหมือนเล่นเกม ก็เปลี่ยนความคิดทันที ตัดสินใจว่าจะปล่อยให้เจียงเซี่ยนทำงานนี้ จะได้หาอะไรให้เจียงเซี่ยนทำสักหน่อย และต่อให้เรื่องราวจะแย่แค่ไหน ก็คงจะไม่แย่มากไปกว่าตอนนี้แล้ว
“เจ้าพูดถูก!” หลี่เชียนชมนาง “ต่อไปพวกเราจะต้องเปลี่ยนเป็นบ้านหลังใหญ่อย่างแน่นอน กฎพวกนี้ตั้งเอาไว้ก่อน ตอนที่ใช้ก็ตั้งพ่อบ้านอีกคนก็พอแล้ว จะได้ไม่ถึงเวลานั้นพอเพิ่มอีก และแบ่งอำนาจของคนอื่นออกไป ทุกคนต่างก็ไม่พอใจ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าถึงตนเองจะทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เคยปกครองแคว้นนี้ จึงรู้เป็นอย่างดีว่าจะใช้คนอย่างไร ไม่อย่างนั้นชาติก่อนราชวงศ์จ้าวก็ล่มไปตั้งนานแล้ว นางชี้สำนักหมอหลวงแล้วยิ้ม พลางถามเขาว่า “พวกเราให้ท่านหมอฉางอยู่ที่นี่เป็นอย่างไร? ต่อไปในบ้านมีใครไม่สบายเล็กน้อย ก็ไม่ต้องไปเชิญหมอ เจ้ายังสามารถถามเขาได้ด้วยว่า อยากรับศิษย์และรับหน้าที่อาจารย์ในสำนักของตนเองหรือไม่ เรื่องการตรวจอาการป่วยให้คนนี้ ยิ่งมีประสบการณ์มากก็ยิ่งดี ไม่เชื่อเจ้าดูพวกหมอหลวงของสำนักหมอหลวงสิ แม้จะสืบทอดตำแหน่งมาหลายชั่วอายุคน ทว่าแต่ละคนต่างก็อยู่ข้างนอกจนอายุสามสิบปีแล้วถึงจะเข้าสำนักหมอหลวง ท่านหมอฉางเพียงแค่ตรวจชีพจรปกติให้ข้าทุกวัน สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว”
นางคิดว่า ต่อไปหลี่เชียนขาดไม่ได้ที่จะต้องทำสงครามกับคน ทำสงครามก็มีการบาดเจ็บและตาย ต้องคิดหาทางหาหมอที่มีประสบการณ์ในด้านอาการบาดเจ็บกระดูกเข้าจวนอีกคนถึงจะถูก
หลี่เชียนเห็นนางสนใจเรื่องนี้มากกว่าที่ตนเองคิด ก็เล่นเป็นเพื่อนนางด้วย “ได้สิ! เรื่องนี้ข้าจัดการให้เอง เดี๋ยวข้าจะหาเวลาว่างไปหาท่านหมอฉาง” แถมยังออกความคิดให้นาง “ซือหลี่เจียนก็ไม่ต้องแล้วกระมัง? มีกองพิธีการไม่ใช่หรือ? ทั้งสองอย่างจะซ้ำกันหรือไม่”
คนรับใช้ข้างกายเจียงเซี่ยนตั้งแต่เด็กล้วนเป็นขันทีกับนางใน คนพวกนี้เอาใจใส่มากกว่าพวกกองพิธีการเสียอีก
“ต้องเอาซือหลี่เจียนไปหรือ?” นางเอ่ยอย่างเสียดายเล็กน้อย “ซือหลี่เจียนก็สำคัญมากเหมือนกันนี่นา…”
“ไม่อย่างนั้นก็รวมเขาเข้ากับกองพิธีการ” สำหรับหลี่เชียนกองพิธีการสำคัญมากกว่าซือหลี่เจียน “แล้วต่อไปค่อยแยกตอนที่ต้องการ?”
“ช่างเถอะ!” เจียงเซี่ยนคิดดูแล้ว คนหนึ่งเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก อีกคนเป็นขันที เดิมทีก็ไม่สามารถคุยปนกันได้อยู่แล้ว “ข้าวางมันไว้ที่เรือนด้านในแล้วกัน”
หลี่เชียนยิ้มพลางหยิบกระดาษเซวียนจื่อ[1]ที่วาดภาพหกกรมสามสำนักไปดูอย่างละเอียดพักหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “แบบนี้ข้ารู้สึกว่าเข้าตาขึ้นมาก”
ท่าทางจริงจังมาก
เจียงเซี่ยนหัวเราะ และเอ่ยถึงเรื่องที่จะส่งจดหมายให้เมืองหลวง “ใช้ม้าเร็วได้หรือไม่? ข้าอยากเขียนจดหมายให้ไทฮองไทเฮาด้วย นางต้องเป็นห่วงเรื่องของข้ามากอย่างแน่นอน”
“ได้สิ!” หลี่เชียนเอ่ยอย่างรู้ใจที่สุดว่า “ข้าจะส่งจดหมายทั้งหมดไปที่จวนเจิ้นกั๋วกง และให้ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงนำจดหมายไปให้ไทฮองไทเฮา”
————————————
[1] กระดาษเซวียนจื่อ กระดาษคุณภาพสูงจากอำเภอจินเซี่ยน เมืองเซวียนเฉิง มณฑลอันฮุย สีกระดาษขาวสะอาด เนื้อกระดาษละเอียด นิ่ม เบา และเหนียวไม่ขาดง่าย อีกทั้งยังดูดซับน้ำหมึกได้สม่ำเสมอ จึงเหมาะสำหรับการวาดภาพและเขียนตัวอักษร นอกจากนี้ยังเป็น 1 ใน 4 สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือของจีน อันประกอบด้วยพู่กัน กระดาษ หมึก และจานฝนหมึก