ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 7 เริ่มฝึกฝน

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 7 เริ่มฝึกฝน

ในคืนนี้ ทั้งสองดื่มกันอย่างหนัก

ในยามที่อารมณ์กำลังพาไปนั้น ผู้อาวุโสซุนได้พูดประโยคหนึ่งออกมาอย่างจริงจังว่า “ไอ้เจ้าตัวเหม็น ในตอนนี้เจ้าก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ปลุกสายเลือดแล้ว เจ้าจะต้องแต่งงานและมีลูกซะ อย่าได้ทำเป็นอิดออดซะล่ะ รีบๆแต่งานมีลูกมีเต้าไปซ้า….”

เช้าวันต่อมา เมื่อเฉินเฉียงได้ปรากฏตัวที่สนามพร้อมกับดาบดั้นเมฆที่สะพายอยู่ข้างหลัง เขาได้เข้าใจแล้วว่าทำไมปู่ซุนถึงได้พูดเรื่องนั้นกับเขาเมื่อคืน

ในสนาม มีเด็กสาวน่ารักห้าถึงหกคนหลบมุมอยู่ และทุกคนกำลังพูดคุยกันถึงตัวเขา

“นี่นี่ ดูนั่นสิ เด็กคนนั้นไงที่ชื่อเฉินเฉียง เขาพึ่งจะปลุกพลังสายเลือดได้เอง เขาจะเข้าร่วมกับทีมสำรวจวันนี้”

“ดูๆแล้วเขาก็ดูหล่อเหลาไม่น้อยเลยนะ เจ้าว่าไงล่ะเสี่ยวลี่ จะให้ข้าแนะนำเขา ให้รู้จักเจ้าดีไหม”

“เฮ้ออออ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากได้เขานะ แต่ตอนนี้ข้าเองก็มีอยู่แล้วตั้งสามคน เสี่ยวฟางล่ะ เจ้ามีผู้ชายแค่สองคนไม่ใช่เหรอ เจ้าน่าจะเป็นคนทำความรู้จักเขานะ”

“มีแค่สามคนจะกลัวไปทำไม ตอนนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์ยิ่งมีจำนวนน้อยๆอยู่ ยิ่งมีพวกสายเลือดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเพิ่มพวกสายเลือดมากขึ้นเท่านั้น”

เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับอาณานิคมเขาหมาง

ไม่จำเป็นต้องรอให้เหล่าทหารเพิ่มระดับสายเลือดไปถึงระดับขั้นวิญญาณ เพราะกว่าจะถึงตอนนั้น พวกเขาอาจจะจบชีวิตลงก่อนเรียบร้อยแล้ว

เสียงของเหล่าหญิงสาวแม้จะไม่ได้ดังนัก แต่ด้วยการที่เฉินเฉียงมีประสาทสัมผัสด้านการได้ยินดีกว่าแต่ก่อน เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ หูของเขาก็อดที่จะแดงฉานไม่ได้

กัปตันจางแห่งทีมสำรวจเองเมื่อเห็นว่าในตอนนี้ใบหน้าของเฉินเฉียงแดงฉานก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ “เฉินเฉียง เจ้าเองก็สนใจเรื่องแบบนี้ด้วยสินะ ถ้าเจ้าสนใจละก็จัดไปได้เลย พวกเราเหล่านักรบผู้มีพลังสายเลือดนั้นต้องพบเจออันตรายอยู่ทุกวัน จะตกตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เจ้าเองก็สมควรจะรีบๆแต่งงานมีลูกซะ ไม่ต้องไปเหนียมอายอะไรหรอก”

เฉินเฉียงยกมือขึ้นมาเฉิงห้ามปราม “กัปตัน ลืมเรื่องนี้ไปก่อนดีกว่า ตอนนี้ข้าต้องการจะบ่มเพาะพลังสายเลือดในร่างกายมากกว่า”

“ก็จริง งั้นก็นี่เลย… นี่คือวิธีการบ่มเพราะสายเลือดของอาณานิคมเขาหมางของเรา หากเจ้าเลือกวิธีการบ่มเพาะได้อย่างเหมาะสม ไม่นานนักเจ้าก็จะยกระดับสายเลือดได้”

กัปตันจางได้โยนหนังสือเล่มหนึ่งให้ฉินเฉียง “ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปเปลี่ยนกะ”

ณ ตำแหน่งหนึ่งที่ห่างจากอาณานิคมไปสามกิโลเมตร กัปตันได้ชี้ไปยังทหารสองคนที่อยู่ข้างหน้า “เฉินเฉียง พวกเราทีมสำรวจนั้นจะแบ่งกลุ่มออกเป็นสองกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีสองคน”

“ในวันนี้ เจ้ากับลีเสี่ยวฟานจะจับคู่กัน เขาจะบอกเจ้าเกี่ยวกับรายละเอียดทีหลัง แล้วตอนค่ำจะมีคนมาเปลี่ยนกะ”

หลังจากกัปตันจางเดินจากไปพร้อมทหารทั้งสองคน ลีเสี่ยวฟานได้เดินเข้ามาหาเฉินเฉียงด้วยสีหน้าเย็นชาและพูดว่า “เจ้าคือเฉินเฉียงสินะ พวกเราได้รับหน้าที่ให้เดินสำรวจในระยะทางสองกิโลเมตร”

“หน้าที่หลักของเรานั้นคือการเฝ้าระวังสัตว์ประหลาดที่เข้ามาปรากฏตัวอยู่ในบริเวณนี้”

“ถึงแม้ว่านี่จะดูไม่มีอะไร แต่สัตว์ประหลาดนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เจ้าเองก็ต้องระวังตัวไว้”

“แล้วก็ ในทันทีที่เจ้าพบสัตว์ประหลาด เจ้าแค่เป่าขลุ่ยที่อยู่ที่คอนั่น แล้วกลุ่มอื่นๆจะรีบมาสนับสนุนเจ้าในทันทีที่ได้ยิน”

“ตอนนี้ก็พักก่อนก็ได้ แต่อย่าไปวิ่งเล่นที่ไหนล่ะ แล้วก็อย่ากวนข้าด้วย”

เมื่อพูดจบ ลีเสี่ยวฟานก็ได้หันหลังแล้วก็เดินจากไป

เฉินเฉียงในตอนนี้เม้มปากเล็กน้อยในขณะที่มองลีเสี่ยวฟานจากไป ก่อนที่จะหันหลังเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม

เขานั้นได้เห็นท่าทีอันเฉยชาของลีเสี่ยวฟานแล้วอยากจะเอ่ยปากถามขึ้นมาจริงๆว่าเขาทำอะไรให้หมอนี่ไม่พอใจถึงขนาดนั้น เขาจะได้ไม่ทำมันซะ

อย่างไรก็ตาม ถึงหมอนี่จะเฉยชาใส่เขา แต่ลีเสี่ยวฟานคนนี้ก็ดูเป็นคนดีไม่น้อย เพราะว่าเขานั้นได้อธิบายถึงความอันตรายของภารกิจนี้ให้เขารับฟัง

สำหรับในเรื่องนี้ หากเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงจะหวาดๆอยู่บ้าง แต่ในตอนนี้เขานั้นมีพลังสายเลือดของค้างคาวโลหิตพิษและกระต่ายสายฟ้าอยู่ การสำรวจระแวดระวังนั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกันที่สัตว์ประหลาดพวกนี้จะมาทางใต้ดิน พวกมันสามารถมุดดินออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ และนี่เองก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้งานของทีมสำรวจนั้นเป็นอันตราย เพราะยังไงซะ หากพวกมันมุดขึ้นในจุดที่นั่งอยู่ ก็คงจะไม่มีใครได้ทันระวังตัว

เขาเองก็เคยได้ยินมาว่ามีหนึ่งในทีมสำรวจที่ไม่ได้ระมัดระวังตัวมากพอไปนั่งพักบนกอหญ้า และนั่นทำให้คนคนนั้นต้องตกตายโดยไส้เดือนพิษที่โผล่ออกมาจากใต้ดินมุดทะลุออกปาก

หลังจากลาดตระเวนไปเพียงชั่วโมงกว่า เฉินเฉียงเริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมาจึงได้นำตำราหลอมเลือดทำลายล้างออกมาอ่าน พร้อมทั้งตรวจสอบตำราที่กัปตันจางมอบให้เขา

สิ่งที่ผู้อาวุโสซุนได้กล่าวไว้กับเขาเมื่อวานนั้นถูกต้องแล้วจริงๆ ตำราบ่มเพาะนี้เป็นเพียงเทคนิคที่ใช้การปรับลมหายใจเพื่อฝึกฝนพลังภายในเท่านั้น เมื่อเทียบกับตำราหลอมเลือดทำลายล้างแล้วเรียกได้ว่าด้อยค่าไปมากมายหลายขุม

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาภายในตำราหลอมเลือดทำลายล้างนี้ค่อนข้างจะลึกลับซับซ้อน แม้แต่ผลจากการฝึกเองก็ยังไม่แน่ชัด เขารู้สึกได้จริงๆว่าวิธีการบ่มเพาะนี้ช่างยากเย็นตั้งแต่แรกเห็นเลยทีเดียว

วิชาหลอมเลือดทำลายล้างนี้เป็นเทคนิคที่ใช้พลังสายเลือดรวบรวมเอาไว้ในตำแหน่งของหัวใจ หลังจากนั้นจึงทำการแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังภายใน แล้วค่อยบังคับให้พวกมันไหลเวียนผ่านไปยังจุดตันเถียน

เฉินเฉียงได้ทำการนึกอะไรบางอย่างอยู่สักพักก่อนที่จะเก็บตำราการบ่มเพาะของกัปตันจางที่ให้เขามา

นั่นก็เพราะถึงแม้ว่าตำราหลอมเลือดทำลายล้างนี้ จะฝึกได้อย่างยากเย็น และตอนที่เขาได้รับตำรานี้มา ผู้อาวุโสซุนเองก็มีท่าทีไม่ค่อยจะอยากให้สักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ในเมื่อเขานั้นเอ็นดูเจียงฮ่าวประดุจหลานคนหนึ่ง เขาคงไม่ตัดสินใจยกมาทั้งๆที่จะนำความตายมาให้เขาเป็นแน่….คิดว่านะ

และเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุดเพื่ออยู่รอดในสิ่งแวดล้อมที่ตกตายได้ทุกเวลาแบบนี้ เฉินเฉียงจึงเลือกที่จะฝึกวิชาหลอมเลือดทำลายล้างให้รู้แล้วรู้รอดกันไปข้างหนึ่ง

ด้วยการที่นี่เป็นการลองฝึกครั้งแรกของเขา เพื่อความปลอดภัย เฉินเฉียงได้ทำเพียงแค่ขับเคลื่อนพลังทักษะของตนไปไว้ใกล้จุดชีพจรกลาง(ตำแหน่งหัวใจ)ดูก่อน แต่ว่าจุดชีพจรของเขากลับดึงพลังสายเลือดของเขาเข้าไปอย่างรวดเร็ว

หัวใจของเขาในตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง หัวสมองของเขาหมุนราวกับเล่นม้าหมุน จนกระทั่งมีเลือดสายหนึ่ง ไหลออกมาจากมุมปากของเฉินเฉียง

“ยากเย็นถึงเพียงนี้”

เฉินเฉียงได้ถ่มเลือดออกมาก้อนหนึ่งและสบถออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว

นี่เป็นเพียงครั้งแรกที่เขาได้ลองบ่มเพาะ เฉินเฉียงถึงกับต้องกระอักเลือดออกมา หากเขายังคงฝืนฝึกต่อไปละก็คงไม่วายต้องอ้วกออกมาเป็นเลือดแน่นอน

“ไม่น่าจะเป็นแบบนี้นะ พอกลับไปคงต้องลองถามปู่ซุนสักหน่อยแหะ”

ถัดมา เฉินเฉียงได้นำตำราดาบทำลายวิญญาณออกมา

วิชาดาบทลายวิญญาณนี้ประกอบด้วยเพลงดาบเจ็ดกระบวนท่า แต่ละท่านั้นใช้พลังงานจากการบ่มเพาะพลังสายเลือด นี่ทำให้ตัวเขาในตอนนี้ไม่อาจที่จะฝึกเพลงดาบนี้ได้

เฉินเฉียงนั้นต้องอดรนทนรออยู่นานสองนานกว่าจะมีคนมาเปลี่ยนกะ หลังจากเปลี่ยนกะแล้ว เขาได้รีบกลับไปที่พักของทีมเก็บกู้ซากศพและได้นำปัญหาที่พบในระหว่างบ่มเพาะไปถามผู้อาวุโสซุนในทันที

“โง่เง่า”

ผู้อาวุโสใช้นิ้วจิ้มไปที่จมูกของเฉินเฉียงแล้วพูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น

“ไอ้เด็กเวร เจ้าไม่รู้รึไงว่าก่อนที่การบ่มเพาะพลังสายเลือดนั้นเจ้าต้องเปิดจุดตันเถียนให้ได้ซะก่อน”

“ถ้าจุดตันเถียนของเจ้ายังปิดอยู่จะเอาพื้นที่ตรงไหนไปรองรับพลังภายในได้ล่ะโว้ย รึเจ้าคิดว่าแค่เส้นเลือดจะรับเอาไว้ไหว”

“อย่างน้อยๆเจ้าจะต้องเปิดจุดตันเถียนแรกให้ได้ก่อนที่จะทำการบ่มเพาะได้ เข้าใจไหม”

“แล้วทำไมไม่รีบบอกตั้งแต่แรกละคร้าบ คิดว่าคนอื่นจะรู้เรื่องนี้กันหมดรึไง”

เฉินเฉียงก้มหน้าพูดออกมาเบา

“เจ้าว่ายังไงนะ”

ผู้อาวุโสซุนตะคอกออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงแว่วเข้าหู

เฉินเฉียงได้ทำการรีบกลืนน้ำลายไปหนึ่งอึกก่อนเปลี่ยนสีหน้าออกมาด้วยรอยยิ้มและพูดออกมา “ไม่มีอะไร ในเมื่อตอนนี้ข้ารู้แล้วละก็เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะลองเปิดจุดตันเถียนดูแล้วกัน”

“พรุ่งนี้ ไม่ เจ้าต้องเปิดวันนี้ ตอนนี้”

“ออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้ และทำการบ่มเพาะซะ”

“เจ้าต้องบ่มเพาะจนกว่าจะถึงเที่ยงคืน”

เจ้าอ้วนและเพื่อนที่เห็นเฉินเฉียงค่อยๆเดินคอตกออกจากบ้านไปนั้นต่างก็มองหน้ากัน “การเป็นคนที่พลังสายเลือดตื่นนี่ไม่ได้ดีอย่างที่คิดเลยแฮะ ขนาดเวลานอนก็ยังนอนตามใจไม่ได้เลย”

“พวกเจ้ารีบๆไปนอนกันได้แล้วโว้ยยยยยย”

ผู้อาวุโสซุนหันหลังกลับมาตะโกนลั่นบ้านด้วยใบหน้าอันดุร้าย เด็กทุกคนกลัวจนต้องกระโดดขึ้นเตียงคลุมโปงกันเป็นแถว

หลังจากผ่านไปได้สักพักใหญ่ ผู้อาวุโสซุนก็ได้เดินออกมาจากห้อง ก่อนที่จะหันไปมองร่างร่างหนึ่งที่กำลังอาบแสงจนอยู่ ก่อนที่เขาจะไอออกมาเล็กน้อย

“ไอ้หนู อย่าถือโทษคนแก่อย่างข้าเลยแล้วกันที่โหดเหี้ยม ถึงแม้จะดูทำเกินไปบ้างแต่นี่ก็เพื่อเจ้าจะได้แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว”

“หากก่อนหน้านี้เจ้ายังคงเป็นเด็กธรรมดา คนแก่คนนี้คงตัดใจไปแล้ว”

“แต่ในเมื่อเจ้าในตอนนี้คือผู้ที่มีการตื่นของสายเลือด เจ้าจะต้องรีบนำตราแห่งนายพลเทียนเว่ยกลับมาให้ได้โดยเร็ว”

เฉินเฉียงในตอนนี้ได้ลอบก่นด่าอยู่ในใจ นั่นก็เพราะเขาไม่เข้าใจจริงๆว่ากับอีแค่ธงกองพลแบบนั้นจะเอามาทำอะไรกัน

อย่างไรก็ตาม เขาเองก็ยังคิดที่จะทำความต้องการของชายชราให้สำเร็จจงได้ “ปู่ ข้าเข้าใจดี อย่าเป็นกังวลไป ข้าจะฝึกฝนอย่างหนักเพื่อการนั้น”

เมื่อได้ยินดังนั้นทำให้บรรยากาศรอบๆตัวผู้อาวุโสซุนนั้นดูสงบลงไป เขาพยักหน้าแล้วพูดออกมา “มานี่ ข้าจะสอนเจ้า”

“ก่อนอื่น เจ้าจะต้องเปิดจุดตันเถียนภายในร่างให้ได้ วิธีการเปิดจุดตันเถียนนั้นก็จะเหมือนกับการบ่มเพาะหลอมเลือดทำลายล้างนั่นแหละ”

“เพียงแต่ว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้พลังมากมายอะไรขนาดนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นละก็ จุดตันเถียนของเจ้าจะได้รับความเสียหาย”

Related

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท