ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 23 เตะตัดขา

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 23 เตะตัดขา

เมื่อได้ยินคำพูดของจางหยวนแล้ว เฉินเฉียงที่เกร็ง มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ก็ได้ผ่อนคลายออกมา “ขอบคุณครับ นายพลจาง”

ผู้คุมจ้าวเองที่คิดจะใช้โอกาสนี้ในการหาโอกาสช่วยเฉินเฉียงนั้นก็ไม่คิดว่าจางหยวนจะพูดออกมาแบบนี้ เขานิ่งอึ้งไปนานก่อนที่จะหัวเราะออกมาและพูดว่า “ดี จางน้อย ถ้าอย่างนั้นข้าขอฝากเจ้าด้วยแล้วกัน ข้าไว้ใจเจ้า”

ในเมื่อเฉินเฉียงนั้นไดัตัดสินใจแล้ว นี่ทำให้หลิงเว่ยรู้ดีว่าไม่ว่ายังไงเขาก็คงไม่เปลี่ยนใจ เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ทำให้เขานั้นรู้สึกกระดากใจเล็กน้อยก่อนที่จะเดินเข้าหาเฉินเฉียงแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก

“เฉินเฉียง เจ้าเองก็เป็นนักรบแห่งอาณานิคมเขาหมาง ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจยังไงข้าก็จะสนับสนุนเจ้า”

“แต่ขอให้จำไว้ว่า ในเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจเลือกไปแล้วก็ขอให้ไปให้ถึงที่สุด”

“เมื่อถึงเวลานั้นขึ้นมา เจ้า…”

หลิงเว่ยมองไปที่จางหยวนก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า “วันใดก็ตามเมื่อเจ้าสำเร็จสิ่งที่เจ้าหวังไว้แล้วก็อย่าได้หลงลืมอาณานิคมเขาหมางของเรา แล้วก็อย่าลืมกลับไปเคารพศพผู้อาวุโสซุนบ้างล่ะ”

อีกฟากฝั่งหนึ่ง ผู้คุมจ้าวได้โยนเหรียญตราสีดำขนาดฝ่ามือให้จางหยวน “นี่คือตราของตึกนายพลเหมันต์จันทรา ด้วยตรานี้เจ้าจะสามารถส่งเฉินเฉียงเข้าไปในที่สำนักเต่าดำได้”

หลังจากรับตรามาแล้ว จางหยวนก็จากไปอย่างไม่ไยดี

“ไอ้หนุ่ม หากเจ้าต้องการจะไปสำนักเต่าดำจริงๆข้าคงจะช้าไม่ได้ ตามให้ทันก็แล้วกัน”

“อยากรู้นักว่าเจ้าจะทำอวดดีได้สักแค่ไหน”

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินเฉียงได้แอบเงิบไปเล็กน้อยก่อนที่จะรีบร่ำลาหลิงเว่ยและตามจางหยวนออกไปในทันที

ในเมื่อจางหยวนดูถูกเขาซะขนาดนี้มีหรือที่เฉินเฉียงผู้ถือยึดมั่นในศักดิ์ศรีของตนจะยินยอม

การเดินทางไปยังสำนักเต่าดำได้ผ่านมาแล้วสองวัน ทั้งคู่เดินทางอย่างไม่หยุดพักและไม่พูดคุยกันเลยสักคำ

อีกสองวันต่อมา จางหยวนก็ได้ชี้ไปยังหุบเขาหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าและพูดว่า “สำนักเต่าดำอยู่ที่นั่น ข้าต้องพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าก่อน เจ้าก็รอข้าอยู่ที่ตีนเขาแล้วกัน”

เมื่อพูดจบ จางหยวนก็ได้หายวับไปในทันที

เฉินเฉียงในตอนนี้ก็ได้ทำการเดินสำรวจอะไรไปเรื่อยเป็นเวลาสิบนาทีก่อนที่จะถึงตีนเขา

ไม่ไกลนัก จางหยวนในตอนนี้กำลังพูดคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในช่วงอายุยี่สิบปี ข้างหลังชายคนนี้มีชายหนุ่มอีกกว่าโหลที่อยู่ในเครื่องแบบของสำนัก คนเหล่านี้บางคนก็นั่งเฉยๆ บางคนก็ทำความรู้จักกัน และเมื่อเห็นเฉินเฉียงนั้น ทุกคนก็ได้จับจ้องมาเป็นตาเดียว หลังจากนั้นทุกคนต่างก็ชี้มาที่เฉินเฉียงพร้อมทั้งส่งเสียงแปลกๆดังออกมา

หลังจากทำการแนะนำเฉินเฉียงให้เด็กหนุ่มคนนั้นฟังเสร็จแล้ว จางหยวนได้ตะโกนออกมาในทันที “เฉินเฉียง เจ้ามาถึงสำนักเต่าดำแล้ว ภารกิจของข้าถือว่าลุล่วงแล้ว”

“แล้วอย่าได้หลงลืมคำพูดเส็งเคร็งที่ได้ลั่นไว้เมื่อสองวันก่อนล่ะ ถ้าอีกห้าปีนเจ้าไม่ได้ไปที่ตึกนายพลเหมันต์จันทราล่ะก็ ข้า จางหยวนคนนี้ จะมาที่นี่แล้วจะนำตรานี่กลับไปแล้วฆ่าเจ้าทิ้งเสียตรงนั้น”

หลังจากพูดจบ จางหยวนไม่ได้แยแสต่อเฉินเฉียงอีกต่อไป เขาพยักหน้าให้ผู้คนโดยรอบก่อนที่จะหันหลังแล้วไปปรากฏอยู่อีกที่ก็อยู่ที่ระยะร้อยเมตรแล้ว

-ตราเต่าดำ-

-อะไรวะนั่น-

ถึงแม้เฉินเฉียงจะเต็มไปด้วยคำถาม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนเหล่านี้แล้วจะดีกว่าหากเขานั้นไม่ขอให้คนเหล่านี้ช่วย นั่นก็เพราะเขานั้นไม่อยากจะให้ตัวเองต้องอับอาย

“”ข้าละอยากรู้เต็มแก่แล้วว่าไอ้หมอนี่เก่งมาจากไหนถึงทำให้ลูกพี่จางโกรธซะขนาดนั้นได้”

หลังจากแยกจากจางหยวนไปแล้ว ชายหนุ่มคนหนึ่งได้เดินเข้ามาหาเฉินเฉียงพร้อมกับคาบฟางเส้นหนึ่งเอาไว้ในปาก พร้อมกับกล่าวคำถากถางออกมา

“เหอะ ก็แค่นักรบสายเลือดระดับทหารขั้นกลางนี่หว่า ข้าก็นึกว่าจะเก่งกว่านี้ซะอีก”

“เอาเถอะ ยังไงซะขยะอย่างเจ้าการที่จะเข้าเรียนที่นี่ได้ก็มีแต่ต้องใช้เส้นสายเท่านั้นล่ะนะ นี่แสดงว่าเจ้านี่มีเส้นใหญ่ไม่เลวเลยสิท่า”

หลังจากชายคนนั้นถากถางเสร็จ เขาก็หันไปมองศิษย์คนอื่นๆที่อยู่ข้างหลัง และนั่นทำให้เกิดเสียงโห่ขึ้นมาเป็นการใหญ่

“หึหึหึ ไอ้หน้าใหม่ สำนักเต่าดำแห่งนี้ไม่เคยขาดศิษย์ที่มีเส้นสายใหญ่ๆนะเว้ย”

“แต่บอกไว้ก่อนนะว่าคนที่จะจบจากที่นี่ได้นั้น ถ้าไม่เก่งจริงละก็อยู่ได้แค่ตีนเขาเนี่ยแหละ”

“เอาจริงๆแค่ขยะอย่างเจ้ามาเหยียบที่ตีนเขาได้นี่ก็บุญหัวแล้วล่ะนะ”

“ไหนๆก็ไหนแล้ว ในเมื่อขยะอย่างเจ้ามาที่นี่แล้วก็คงต้องสอนบทเรียนสักหน่อย และในปีหน้าถ้าเจ้ายังเข้ามาที่นี่อีกก็จะโดนเหมือนเดิมนี่แหละ”

“เฮ้เฮ้เฮ้ พี่ชาย พูดอย่างนั้นก็ไม่ดีนา ยังไงซะไอ้ขยะนี่ก็เป็นนักรบทหารขั้นกลางแล้วนา จะดีกว่าถ้าเราแค่สอนบทเรียนเล็กน้อยจะได้ไม่ตัดอนาคตไอ้นี่เกินไป”

“ไอ้ฉิบหาย เป็นแค่นักรบสายเลือดทหารระดับกลางแต่คิดจะเข้าเรียนที่นี่ นี่แกกำลังดูถูกสำนักของเราสินะ”

“ใครก็ตามที่เข้ามาได้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะเหนือผู้คน แต่ไอ้ขยะที่ระดับการบ่มเพาะแค่นี้เนี่ยนะที่จะเข้าสำนัก”

“ไอ้ตัวหน้าทน”

เฉินเฉียงในตอนนี้นั้นรู้ดีว่าตัวเขานั้นยังไม่มีความสามารถพอที่จะต่อยปากคนเหล่านี้ได้ ใครจะกล้าไปหาเรื่องกับนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณทั้งกลุ่มแบบนี้กันได้ล่ะ

และในเมื่อแข็งแกร่งไม่พอ พูดอะไรไปก็เท่านั้น

ในตอนนี้เขาจึงเลือกที่จะสนใจเขาที่ดูสูงสุดลูกหูลูกตาตรงหน้ามากกว่า

“อืมมมมมม… ศิษย์พี่ท่านนี้พอจะบอกได้รึเปล่าว่าจะเข้าไปข้างในได้ยังไง”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

สิ่งที่เฉินเฉียงถามออกมานั้นทำให้ทุกคนคำออกมากันถ้วนหน้า

-มันน่าขันตรงไหนฟะ-

ถึงแม้เฉินเฉียงนั้นจะมีความอดกลั้นดีขนาดไหน แต่นี่ก็ถือที่สุดของเขาแล้ว

“เอาล่ะ พี่น้อง ข้าว่าเราพอแค่นี้กันดีกว่า พวกเราควรจะไว้หน้าลูกพี่จางหยวนบ้างไม่ใช่เหรอ”

“ไอ้เวร เจ้าอยากเข้าไปในสำนักนักใช่รึเปล่า”

“นั่นไง”

ชายหนุ่มชี้ไปที่ภูเขาด้านหลัง

“ศิษย์พี่ ชื่อของข้าคือเฉินเฉียง”

“อย่ามาทำเป็นตีสนิท ข้าไม่ได้อยากรู้จักชื่อของขยะอย่างแก” ชายหนุ่มยื่นมือขึ้นห้ามและพูดออกมาอย่างไม่ไยดี “ก่อนที่ขยะอย่างเจ้าจะกลายเป็นศิษย์ของที่นี่ได้ ชื่อของเจ้าไร้ค่ายิ่งกว่าการผายลมซะอีก”

ถึงแม่ว่าเฉินเฉียงจะไม่ชอบน้ำเสียงของชายคนนี้ แต่เขาเองก็ยังตัดใจถามออกมา “เอ่อออ ท่านลุง ท่านจะบอกว่าสำนักเต่าดำนี่อยู่ในเขานี้และข้ายังไม่ได้ถูกรับเข้าสำนักงั้นเหรอ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ศิษย์พี่กัว ไอ้ขยะนี่เรียกพี่ว่าท่านลุงแหะ พี่นี่แก่แล้วสินะ”

ใบหน้าของศิษย์พี่กัวนั้นมืดคล้ำลงในทันทีเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง เขาจ้องมองเฉินเฉียงอย่างแค้นเคืองแต่ก็ไม่คิดจะทำอะไรออกมา เพราะเป็นเขาเองที่บอกว่าไม่ให้เฉินเฉียงมาตีสนิท แต่ก็ไม่คิดว่าเฉินเฉียงจะเรียกเขาว่าท่านลุงแบบนี้

“ไอ้หนุ่ม ใครบอกว่าขยะอย่างเจ้าได้กลายเป็นศิษย์สำนักเต่าดำนี่แล้วกัน”

“จางหยวนเองมาที่นี่เพียงเพื่อจะแนะนำเจ้าให้มีโอกาสเข้าสำนักเต่าดำได้ก็เท่านั้น ส่วนขยะอย่างเจ้าจะเข้าได้หรือไม่ได้นั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะผ่านการทดสอบรีเปล่า”

“แล้วก็ อาณาเขตของภูเขาแห่งนี้มีพื้นที่เกือบพันไมล์ และทั้งหมดนี้อยู่ใต้อาณัติของสำนักเต่าดำ” “และที่ที่เจ้ายืนอยู่ตอนนี้ก็ถือทางเข้าสำนักเต่าดำ”

-สำนักนี่ใหญ่โคตร-

เฉินเฉียงในตอนนี้แม้จะกำลังตกใจ แต่เขานั้นยังต้องการรู้ข้อมูลมากกว่านี้เพื่อสอบเข้าสำนักเต่าดำนี่ให้ได้

“ท่านลุงกัว…”

“อย่ามาเรียกข้าว่าลุง”

“ท่านปู่กัว…”

“ไอ้ฉิบหาย” ศิษย์พี่กัวแสดงความโกรธออกมาราวกับอยากจะตบลงบนหน้าเฉินเฉียงให้ได้ ไอ้ที่เขากำลังทำอยู่นี่มันต่างจากที่ศิษย์พี่คนอื่นเขาทำกันตรงไหนฟะ

“ช่างมัน เรียกข้าว่าศิษย์พี่กัวก็พอ”

“โอ้…..ศิษย์พี่กัว ข้าขอรบกวนถามสักนิดได้หรือไม่ว่าข้าจะผ่านการสอบเข้าได้ยังไง”

Related

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท