ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 150 เพิ่มพลังวิญญาณ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 150 เพิ่มพลังวิญญาณ

หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งค่ำคืน ในที่สุดเฉินเฉียงก็ได้ปรุงยารักษาได้สิบเม็ด และกินไปหนึ่งเม็ดในทันที

ครึ่งวันผ่านไป อาการบาดเจ็บของเฉินเฉียงดีขึ้นมาเล็กน้อย เป็นตอนนี้ที่เขาได้ยินขึ้นมาและแตะไปยังซากร่างของเหยี่ยวดารา

ระบบย่อยสลายสัตว์ประหลาดระดับนายพลขั้นต่ำสำเร็จ

ระดับ: นักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นต้น

การหลอมรวมทักษะ: 1

ค่าพลังงาน:43,400

ค่าการใช้ประโยชน์:1

ค่าความอดทน:335

ค่าความแข็งแกร่ง:306

ค่าความเร็ว:297

ค่าพลังจิต:201

เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: ……

ทักษะ: …..

ทักษะ: สายตาเฉียบคม

ทักษะ: คลื่นเสียงทำลายวิญญาณ

สายเลือด: โกลาหลแรกกำเนิด

เฉินเฉียงได้เปิดดวงตาขึ้นมาพร้อมกับแสดงออกมาด้วยท่าทางมีความสุขอย่างบ้าคลั่ง

นั่นก็เพราะนอกจากเขาจะได้ทักษะใหม่อย่างสายตาเฉียบคมและคลื่นเสียงทำลายวิญญาณแล้วค่าพลังจิตของเขายังเพิ่มขึ้นมาอีกสามสิบหน่วย

ยิ่งไปกว่านั้นคือหลังจากดูดซับพลังของเหยี่ยวดาราตัวนี้เข้าไป อาการบาดเจ็บของเขานั้นฟื้นฟูไปเกินครึ่ง

เฉินเฉียงได้เดินไปยังซากร่างของเหยี่ยวดาราอีกตัวหนึ่งด้วยท่าทางตื่นเต้น

อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ถึงแม้ค่าพลังจิตของเขาจะเพิ่มขึ้นมา แต่ว่ามันเพิ่มขึ้นยังไม่ถึงยี่สิบหน่วยดี

ดูเหมือนว่าการดูดเหยี่ยวดาราระดับเดียวกันซ้ำๆ ถึงแม้ค่าสถานะต่างๆจะเพิ่มแต่ก็เพิ่มไม่ได้เท่ากับครั้งแรก

อย่างไรก็ตาม ด้วยการเพิ่มของค่าพลังจิตของเขาในตอนนี้ถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือเขาอย่างมาก

ในตอนนี้ระดับการรับรู้ของพลังจิตของเขานั้นอยู่เทียบเกือบจะสามร้อยเมตรเข้าไปแล้ว

หลังจากรู้สึกดีใจอยู่พักหนึ่ง เฉินเฉียงได้เก็บแก่นคริสตัลของเหยี่ยวดาราไปในที่สุด

ในตอนนี้แต้มคะแนนของเขาพุ่งไปอยู่ที่ 578 แต้ม

ยาเสริมสร้างจิตวิญญาณนั้นถือได้ว่าเป็นยาระดับสอง และนี่ทำให้สมุนไพรที่เขามีในตอนนี้นั้นไม่เพียงพอ นั่นก็เพระเขานั้นมีเพียงหญ้าดาราจันทราเท่านั้นที่อยู่ในระดับสอง เขาต้องหาสมุนไพรระดับสองต้นอื่นมาเป็นส่วนประกอบในการหลอมเม็ดยา และนั่นจะทำให้เขาเพิ่มค่าพลังจิตได้อย่างที่หวังไว้

และการเพิ่มค่าพลังจิตของเขานี้จะส่งผลดีต่อเฉินเฉียงอย่างมากในอนาคต

ด้วยก้าวย่างสวรรค์ของเขาที่ก้าวได้ไกลริบ บวกกับการตรวจจับด้วยพลังจิตของเขา รวมถึงทักษะสายตาเฉียบคมที่ได้มา นี่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพค้นหาของเขาได้เป็นอย่างดี

ในตอนนี้เฉินเฉียงเริ่มหาสมุนไพรได้ยากมากขึ้น หากไม่ใช่สมุนไพรที่อยู่ด้วยกันมากจริงเขาเองก็ไม่คิดจะเสียเวลาเก็บ และนี่ทำให้เขานั้นเริ่มหันไปค้นหาสมุนไพรระดับสองและสัตว์ประหลาดแทน

และเพื่อให้เขานั้นทำอะไรได้ง่ายขึ้น เฉินเฉียงจึงใช้ทักษะเปลี่ยนรูปลักษณ์เปลี่ยนร่างเป็นหลิวหลางแห่งเกาะเทียนลี่

สองวันผ่านไป เฉินเฉียงในที่สุดก็ได้พบศิษย์ที่เข้ามาถึงแม้จะเป็นศิษย์จากต่างสำนักก็ตาม อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าพวกเขาพึ่งจะเข้ามาได้ไม่นาน และนี่ทำให้คะแนนของเขาไม่ได้สูงอะไร ค่าคะแนนที่พวกเขาถือครองอยู่จึงไม่ได้ดึงดูดเฉินเฉียงแต่อย่างใด

แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะคิดอย่างนั้น

บางคนนั้นเพียงเจอคนที่อ่อนด้อยกว่าก็เข้าไปสังหารในทันทีโดยไม่สนใจว่าแต้มคะแนนจะน้อยขนาดไหนก็ตาม

ผ่านไปเจ็ดวัน นักเรียนมากมายได้ทยอยออกจากอุโมงค์แสงทีละคนทีละคน

ศิษย์ที่ถูกตัดสิทธิ์ไปแล้วนั้น คะแนนของพวกเขาจะถูกแย่งชิงไปในทันที นี่ทำให้พวกเขานั้นทำได้เพียงกลับไปยังที่นั่งในสำนักของตนและนั่งลงบ่มเพาะอยู่เงียบๆพลางจ้องมองกระดานคะแนนไปเพียงเท่านั้น

เว่ยหยวนตี้ได้มองไปพลางขมวดคิ้วในทันที “ทุกท่าน ไม่คิดว่าศิษย์ปีนี้จะด้อยคุณภาพไปหน่อยรึไงกัน”

“ข้าจำได้ว่าปีที่ผ่านมานั้น กว่าศิษย์สี่สำนักจะเริ่มทยอยออกมานั้นก็ผ่านเวลาไปร่วมเดือนไม่ใช่รึ”

“แต่ในตอนนี้เวลาพึ่งผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ แต่ศิษย์สี่สำนักกลับเริ่มทยอยออกมาแล้ว ถ้าดูจากความเร็วขนาดนี้แล้วข้าว่ามันเร็วเกินไป”

ทันทีที่เว่ยหยวนตี้พูดจบ ศิษย์สี่สำนักอีกคนก็ได้เดินออกมา เว่ยหยวนตี้จึงได้เรียกให้เขามาหา

“เจ้าอยู่สำนักใดกันและถูกสังหารได้ยังไง”

ศิษย์สำนักหนึ่งเดินมาด้วยท่าทีอารมณ์เสียนั้น เมื่อได้ยินเว่ยหยวนตี้เรียกก็รีบก้าวเข้าไปหาและตอบออกมา “นายท่าน ข้าศิษย์แผนกวารีแห่งสำนักเต่าดำ ข้าถูกสังหารโดยศิษย์สำนักเสือขาวที่อยู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง”

เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วเว่ยหยวนตี้ได้โบกมือให้ศิษย์คนนี้จากไปด้วยท่าทางที่ไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย

ผอ.เสือขาวได้กระแอมออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “ท่านเว่ย เป็นข้าที่สั่งสอนศิษย์ไม่ดี โปรดให้อภัยข้าด้วย”

ก่อนที่เว่ยหยวนตี้จะได้พูดอะไรออกมา เฉียนฝู่ก็ได้พูดออกมาก่อน “ฮ่าฮ่าฮ่า เฒ่าหลัว จะโทษตัวเองไปไย นี่แสดงว่าศิษย์ของเจ้านั้นมีความสามารถเหนือล้ำนัก”

“แต่หากเป็นอย่างนี้นี่มันจะไม่เป็นประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์แต่อย่างใด” เว่ยหยวนตี้พูดออกมาอย่างเป็นกังวล “ทุกๆคนก็รู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เรานั้นจัดการประลองนี้ขึ้นมาก็คือการสร้างความร่วมมือในการเผชิญภัยอันตรายระหว่างนักเรียนต่างสำนัก”

“ยิ่งไปกว่านั้นก็คือข้าได้บอกเด็กพวกนั้นไปแล้วว่าข้างในนั้นมีสัตว์ประหลาดระดับนายพลขั้นสูงถึงห้าตัว นี่พวกนั้นคิดว่าจะสามารถโค่นล้มสัตว์ประหลาดระดับนั้นได้ด้วยตัวคนเดียวรึยังไงกัน”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหล่าผอ.ทั้งสี่สำนักก็ทำได้เพียงก้มหน้านิ่งในทันที

“ไม่ดีแล้ว ดูนั่น”

เป็นตอนนี้ที่จ้าวหยางแห่งสำนักเต่าดำได้ชี้ไปที่รายชื่อหนึ่งบนจอด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด

เมื่อทุกคนได้หันไปมองก็พบว่าแสงที่อยู่บนชื่อของศิษย์สำนักวิหคอสนีบาตที่แต่เดิมอยู่ลำดับที่เก้าสิบเจ็ดนั้นได้หายไปเสียดื้อๆ

นี่หมายความว่าศิษย์หญิงของสำนักวิหคอสนีบาตที่มีชื่อว่าหลิวฉีได้ตกตายในเงื้อมมือของสัตว์ประหลาด

“เป็น…..เป็นไปได้ยังไงกัน”

หลิวฉิน ผอ.แห่งสำนักวิหคอสนีบาตได้ยืนขึ้นในทันทีพร้อมพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ถึง ถึงแม้ว่าหลิวฉีจะเป็นเพียงนายพลวิญญาณขั้นต้น แต่…แต่เธอก็เปิดจุดชีพจรลับได้สิบสองจุดแล้วนะ ความแข็งแกร่งของเธอเทียบได้กับนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว”

“หากไม่ได้ไปเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดระดับนายพลขั้นสูงเธอก็ไม่น่าจะต้องตกตาย”

“แต่ก่อนหน้าที่เธอจะไปเผชิญหน้า คนอย่างเธอตั้งร่วมทีมพร้อมกับคนอื่นแล้ว แล้วแบบนี้คนอื่นๆทำไมยังไม่เป็นอะไรล่ะ”

ซุนไคที่ได้ยินก็นิ่งคิดไปเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “ผอ.หลิว กรณีนี้อาจไม่ใช่อย่างนั้นนะ”

“ต่อให้ศิษย์ของเจ้าไม่ได้ไปพบเจอกับสัตว์ประหลาดระดับนายพลขั้นสูงนั่น ศิษย์ของเจ้าก็ยังมีโอกาสที่จะต้องตายอยู่ดี”

“ซุนไค นี่เจ้าหมายความว่ายังไง เจ้าคิดว่าศิษย์สำนักวิหคอสนีบาตของข้านั้นอ่อนด้อยขนาดนั้นเลยรึไงกัน”

“ต่อให้หลิวฉีนั้นจะไปพบเพียงสัตว์ประหลาดระดับนายพลขั้นกลาง ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กนั่นจะสู้ไหวหากเป็นศึกที่ยืดเยื้อ”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือ เป็นไปได้ว่าเด็กนั่นในตอนนี้ก็น่าจะได้พบเจอพวกพ้องของเธอแล้ว แล้วทำไมเธอจึงเป็นคนเดียวที่ตกตายล่ะ”

“ผอ.หลิว สงบใจลงก่อน” เฉียนฝู่ได้ยืนขึ้นและอธิบายขยายความคำพูดของซุนไค “ดูเหมือนว่าเจ้านั้นจะไม่เข้าในสิ่งที่ซุนพูดออกมาจริงๆสินะ”

“อย่าได้หลงลืมไปว่าทุกคนที่เข้าไปในมิติประลองนี้ไม่เพียงต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดระดับนายพลขั้นสูงทั้งห้า แต่ในนั้นยังมีพื้นที่สุดแสนจะอันตรายอยู่”

“ใครก็ตามที่หลงเข้าไปที่นั่น พวกเขามีแต่ตกตายเพียงเท่านั้น”

หลังจากได้ยินคำพูดของเฉียนฝู่ หลิวฉินก็นึกออกมาได้ในทันที “เฉียนฝู่ เจ้า เจ้าหมายถึงสัตว์ประหลาดระดับนายพลขั้นกลาง งูลายทองนั่นน่ะรึ”

เว่ยหยวนตี้เองมีท่าทางเปลี่ยนไปในทันทีที่ได้ยิน

“ถูกต้อง เป็นไปได้อย่างมาก”

“ในมิติประลองนั่น นอกจากสัตว์ประหลาดระดับนายพลทั้งห้าแล้ว สัตว์ประหลาดที่เป็นอันตรายรองลงมาก็คือไอ้เจ้างูลายทองแห่งแม่น้ำทรายดูดนั่นแหละ”

“ถึงแม้ว่าพวกมันจะอยู่เพียงในน้ำ แต่อย่าได้ลืมว่าหากมันร่วมมือกับจระเข้เขี้ยวยักษ์ได้เมื่อไหร่ล่ะก็ พวกมันจะยากที่จะตรวจจับได้”

“หากมีศิษย์คนใดก็ตามไปฆ่าจระเข้เขี้ยวยักษ์นั่นล่ะก็ มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องพบเจอการโจมตีจากงูลายทองกว่าสองร้อยตัวนั่น”

“ทุกๆคนก็รู้ดีว่างูลายทองนั่นแม้มันจะมีการโจมตีเพียงวิธีเดียว แต่หากมันเข้าถึงตัวได้เมื่อไหร่ พวกมันจะทำลายพลังสายเลือดในร่างกายอย่างรวดเร็ว”

“ยิ่งไปกว่านั้นคืองูลายทองพวกนั้นโจมตีได้อย่างรวดเร็วและทรงพลังอย่างมาก ต่อให้เป็นนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง เกราะพลังงานของพวกเขายังพังทลายได้โดยง่าย”

“หากหลิวฉีไปพบเจอกับสัตว์ประหลาดนั่นล่ะก็ โอกาสรอดของเธอนั้นจะมีเพียงน้อยนิดนัก”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท