ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 174 หยานเสวี่ยออกโรง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 174 หยานเสวี่ยออกโรง

“โอ้”

เมื่อเห็นท่าทางของหลินฟานแล้ว เฉินเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะตั้งท่าป้องกันขึ้นมา

ถึงแม้ว่าหลินฟานนั้นจะดูสภาพน่าอดสูขนาดไหนก็ตาม แต่เฉินเฉียงก็รู้ดีว่าบาดแผลเหล่านี้สำหรับมนุษย์กลายพันธุ์นั้นไม่ได้ส่งผลอะไรแต่อย่างใด

ดูเหมือนว่าหลินฟานจะเริ่มเอาจริงแล้วกระมัง

นอกจากกระบี่ทองคำนั่นแล้ว เฉินเฉียงยังไม่รู้เลยว่าหลินฟานนั้นมีทักษะใดของมนุษย์กลายพันธุ์

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเฉินเฉียงถึงไม่กล้าประมาท เขาจะไม่ยอมทำพลาดซ้ำเหมือนตอนที่พบเจอกับเหยี่ยวดารานั่นอีก

อย่างที่คาด ดูเหมือนว่าหลินฟานจะตัดสินใจได้แล้ว และนี่ทำให้เขานั้นดึงกระบี่ทองคำออกมาจากแหวน

“โฮ่ หลินฟาน นี่เจ้าไม่กลัวว่าพวกราชาข้างนอกนอกนั่นจะพบว่าเจ้าผิดปกติแล้วรึ”

ใบหน้าของหลินฟางในตอนนี้บิดเบี้ยวจนถึงขั้นบ้าเลือดเรียบร้อยแล้ว

“เฉินเฉียง ข้ายอมรับในความสามารถของเจ้าจริงๆ หากว่าข้าต้องฆ่าเจ้า มันคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับข้าหากไม่ใช้ทุกสิ่งที่มี”

“อย่างไรก็ตาม เพื่อจะสังหารเจ้าให้ได้ ต่อให้ตกตายก็ช่างมันแล้วกัน”

“ตราบใดที่เจ้าตาย คนอื่นๆก็จะปลอดภัย ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะกลายเป็นเหมือนเชื้อไฟที่รอคอยทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องฉิบหายในภายภาคหน้า”

“ดังนั้น ในวันนี้ พวกเราจะต้องตกตายไปพร้อมกัน”

หลังจากพูดจบ หลินฟานได้ตวัดกระบี่ของตนขึ้นเข้าพุ่งเข้าใส่เฉินเฉียงด้วยการตวัดที่แปลกประหลาด

“ฮ่าฮ่าฮ๋า ท่านี้อีกแล้วเรอะ”

เฉินเฉียงได้ทักษะหลบหนีแสงอีกครั้ง

ด้วยการที่มันอยู่ในระดับสามจึงทำให้เขานั้นล่องหนได้สองวิครึ่ง

สำหรับเหล่าผู้มีประสบการณ์ในการฆ่าฟันแบบทั้งสองคน เพียงชั่วเสี้ยววิก็เพียงพอ

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เฉินเฉียงได้หายตัว สายตาของหลินฟานได้หรี่ลงจนราวกับฉายแสงได้และเปล่งแสงออกไปตรงๆซะอย่างนั้น

-ไอ้ฉิบหาย-

เฉินเฉียงที่พึ่งจะเข้าสู่โหมดล่องหนนั้นด้วยความรู้สึกที่ราวกับหัวของตนจะระเบิดออกจึงได้กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งหนึ่ง

กลายเป็นว่าทักษะเหนือมนุษย์ของหลินฟานก็คือการโจมตีทางจิตวิญญาณ

แถมยังเป็นทักษะการโจมตีทางจิตวิญญาณที่ทรงพลังกว่าเขามากนัก

นี่ขนาดว่าเฉินเฉียงมีค่าพลังจิตสูงถึง 688 หน่วยแล้ว แถมยังมีทักษะทางโจมตีทางจิตวิญญาณที่อยู่ในระดับขั้นสูงแล้วด้วยซ้ำ

แต่กระนั้น การโจมตีของหลินฟานนั้นกลับทำร้ายเขาได้อย่างง่ายดาย

ที่ด้านนอกในตอนนี้ เมื่อเว่ยหยวนตี้และคนอื่นๆได้เห็นว่าหลินฟานนำกระบี่ทองคำออกมา พวกเขาต่างตกตะลึง

“ผอ.หลัวเฟิง ไม่ใช่ว่าไอ้กระบี่ทองคำในมือหลินฟานนั่นมันของมนุษย์กลายพันธุ์ไม่ใช่เหรอ”

“เฮ้เฮ้เฮ้ ท่านเว่ย มีบางอย่างไม่ถูกต้องแน่ๆ ก็ที่ตาของหลินฟานนั่นสิ มันเปล่งแสงออกมาไม่ใช่รึไงกัน”

“นี่เขายังเป็นมนุษย์อยู่อีกเหรอ”

เมื่อเจิ้งยี่ได้เห็นเฉินเฉียงกุมหัวของตนและกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นอย่างเจ็บปวด เขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “ไม่ดีแล้ว หลินฟานใช้ทักษะเหนือมนุษย์ออกมาแล้ว”

“ห้ะ”

ทุกคนที่ได้ยินก็ตกใจในทันที

ในขณะเดียวกัน หลินฟานในตอนนี้ได้ใช้นิ้วปาดไปที่กระบี่ทองคำจากโคนไปจนปลายก่อนที่จะดีดมันเข้าใส่เฉินเฉียง

“เฉินเฉียง ลงนรกไปซะ”

เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงสูญเสียการควบคุมตัวเองและใกล้จะถูกสังหาร ถึงแม้ว่าจะดูสายไปแล้วก็แต่ แต่เว่ยหยวนตี้และคนอื่นๆก็เตรียมที่จะเปิดมิติประลองและเข้าไปช่วยเฉินเฉียงอีกครั้ง

และในช่วงวิกฤตนี้เอง เว่ยหยวนตี้และคนอื่นๆได้พบว่ามีบางอย่างได้พุ่งตรงมาที่นี่อย่างรวดเร็วประดุจประกายแสง

ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไร ก็ได้มีประกายกระบี่ปรากฏออกมา

สิ่งที่พวกเขาได้เห็นก็คือผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูสง่างามและทรงพลังราวกับมังกรคลั่งได้พุ่งเข้าใส่มิติประลอง และเพียงชั่วครึ่งลมหายใจนั้นเธอก็ได้ปลดปล่อยประกายกระบี่ออกมานับพันนับหมื่น

เป็นตอนนี้ที่มิติประลองได้เปิดออกโดยเว่ยหยวนตี้ เหล่านักรบระดับราชาได้พุ่งแยกเป็นสองทางในทันที ส่วนหนึ่งไปจัดการประกายดาบนับหมื่น อีกส่วนหนึ่งตรงเข้าไปหมายจะหยุดยั้งกระบี่ทองคำของหลินฟาน

หลินฟานที่ในตอนแรกคิดว่าเขาสามารถสังหารเฉินเฉียนได้จนสำเร็จก็ได้ผ่อนคลายท่าทีลง แต่เป็นตอนนี้ที่เขานั้นรู้สึกได้ว่าแขนของเขาและกระบี่ทองคำได้ล่วงหล่นสู่พื้นดิน

“อ๊าก”

ความเจ็บปวดเหลือคณาได้บังเกิดในจิตใจของหลินฟาน เมื่อเห็นฉากนี้เขาไม่มีทางเลือกทำได้เพียงที่จะยอมแพ้เรื่องสังหารเฉินเฉียง เขาเตรียมที่จะถอยหนีและหยิบแขนที่แขนที่ขาดร่วงเตรียมที่จะจากไป

เฉินเฉียงที่ฟื้นคืนสติได้ เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อยเมื่อเห็นว่าหลินฟานบาดเจ็บ เขาได้ใช้ทำษะเคลื่อนย้ายพริบตา และนี่ทำให้เขานั้นสามารถเคลื่อนไหวได้ราวกับสายฟ้าฟาดทะลวงผ่านร่างกายของหลินฟานไป

หลินฟานตกตายในทันที

อย่างไรก็ตาม เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงสังเกตเห็นว่าเว่ยหยวนตี้และผอ.ทั้งสี่กำลังพุ่งตรงมาหาเขา

นี่ทำให้ใบหน้าของเขาถอดสีในทันที

-นี่เป็นเพราะเขาเผลอเผยตัวไปรึไงกันถึงได้แห่กันมาขนาดนี้เนี่ย-

อย่างไรก็ตาม เพียงชั่วพริบตา เฉินเฉียงพบว่าเว่ยหยวนตี้และคนอื่นๆไม่ได้มุ่งมาที่เขา

หากว่าพวกเขาทั้งหกโจมตีมาพร้อมกัน เขาก็สมควรจะตกตายไปแล้ว

“อ๊า”

เสียงร้องโหยหวนที่ฟังดูเย้ายวนได้ดังลั่นขึ้นมาและมีบางสิ่งที่ดูอรชรอ้อนแอ้นได้ร่วงลงมาจากฟ้าราวกับลูกธนูที่ถูกยิงร่วงกลางอากาศ

เป็นตอนนี้ที่เขารับรู้ได้แล้วว่าคนที่ช่วยเขาไว้ในครั้งนี้คือองครักษ์แห่งราชาสวรรค์ หยานเสวี่ย

“องครักษ์หยาน”

เฉินเฉียงตะโกนดังลั่นก่อนจะใช้ก้าวย่างสวรรค์พุ่งขึ้นไปรับหยานเสวี่ยที่สิ้นสติเอาไว้อยู่ในอ้อมแขน

เฉินเฉียงแสดงออกมาด้วยความเสียใจบนใบหน้าก่อนที่จะใช้มือปัดเอาผ้าบังหน้าของเธอออก เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามราวกับกระดาษทองคำของเธอ นี่ทำให้เขานั้นบังเกิดความรู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมา

ถึงแม้องครักษ์หยานและราชาสวรรค์นั้นทั้งสองจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ก็ตาม แต่มาถึงตอนนี้แล้วทั้งสองยังไม่เคยคิดร้ายกับเขาอย่างเป็นจริงเป็นจัง แถมยังช่วยเขาอยู่มากมายหลายหน

แต่นี่ไม่ได้ส่งผลทำให้เฉินเฉียงนั้นคิดว่ามนุษย์กลายพันธุ์นั้นดูดีขึ้นมาแต่อย่างใด

แต่นี่เป็นความรู้สึกที่มีต่อตัวบุคคลเพียงเท่านั้น

และนี่ทำให้เขานั้นนึกเปรียบเทียบเรื่องหนึ่งขึ้นมา

จ้าวฮั่นและเขานั้นต่างก็เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยหัวใจ แต่ร่างกายของพวกเขาในตอนนี้ไม่ได้ต่างไปจากมนุษย์กลายพันธุ์

ต่อให้เขานั้นจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่เขาเองก็ไม่อาจจะทนเห็นคนที่ดีต่อเขาต้องเจ็บปวดและยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเขาเป็นแบบนี้ไปได้

“หลานเฉินเฉียง หลานรู้จักคนคนนี้ด้วยรึ”

เว่ยหยวนตี้ที่พึ่งจะโจมตีออกไปนั้นเมื่อเห็นท่าทางของเฉินเฉียงที่มีในตอนนี้ก็รู้ดีในทันทีว่าตนได้โจมตีผิดคนไปแล้ว เขาจึงได้ถามออกมา

“ทำไมท่านต้องโจมตีด้วยเธอด้วย” เฉินเฉียงได้ตะโกนถามออกมาด้วยน้ำตาที่ไหลนองหน้า

“เฉินเฉียง อย่าได้เสียมารยาทกับท่านเว่ย” เฉียนฝู่ได้รีบออกมาห้ามปรามเขาในทันที “คนคนนี้เป็นเพียงแม้จะเป็นเพียงระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงแต่กลับสามารถทะลวงเข้ามาในมิติประลองที่สร้างขึ้นมาด้วยท่านเว่ยได้ นี่จึงทำให้พวกเราต่างก็ร้อนรน”

“แถมในตอนนั้นมันฉุกละหุกจนพวกเราไม่สามารถแยกมิตรและศัตรูออกจากกันได้จริงๆ พวกเราทำได้เพียงโจมตีก่อนแล้วค่อยถามทีหลังเพราะไม่รู้ว่าเธอโจมตีใครระหว่างเจ้าหรือหลินฟาน”

เฉินเฉียงได้อุ้มร่างของหยานเสวี่ยไว้ในอ้อมแขนกลับไปยังลานที่นั่งของเหล่าผู้ทรงเกียรติ ก่อนที่จะป้อนเม็ดยาฟื้นฟูของตนเอง แล้วจึงเดินไปหาเว่ยฉิงเชิน

“ฉิงเชิน ช่วยพี่ดูแลเธอแทนก่อนได้รึเปล่า”

เว่ยฉิงเชินที่เห็นท่าทางโศกเศร้าของเฉินเฉียงก็ได้รีบพยักหน้ารับในทันที “พี่ใหญ่เฉินเฉียงอย่าได้กังวลไป”

หลังจากพูดจบ เว่ยฉิงเชินก็ได้พยุงหยานเสวี่ยเข้าไปในเต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเวทีของแขกผู้ทรงเกียรติ

เมื่อเห็นเป็นแบบนั้นแล้ว เฉินเฉียงจึงได้หันหลังกลับมามองเว่ยหยวนตี้และคนอื่นๆด้วยท่าทางที่เมื่อทุกคนได้เห็นแล้วก็ยากที่จะอธิบายออกมา

“ท่านหว่ย ท่านผอ. พวกท่านคงจะมือคำถามมากมายที่จะใช่หรือไม่”

“หากเป็นเช่นนั้นจงถามมา และข้าจะตอบในทุกสิ่งที่ข้ารู้”

“เอ่อ….” เว่ยหยวนตี้มีท่าทีลังเลแต่ก็ถามออกมาก่อนเป็นคนแรก “หลานเฉินเฉียง ผู้หญิงที่ช่วยเจ้านั้นเป็นใครกัน”

“ข้าเรียกเธอว่าองครักษ์หยาน เธอเป็นองครักษ์ข้างกายของอาจารย์ข้าที่ถูกสั่งให้มาคุ้มกันข้าในยามที่ข้ามีภัย”

เฉินเฉียงเลือกที่จะโยนทุกสิ่งให้กับราชาสวรรค์และอุปโลกน์เขาว่าเป็นอาจารย์อีกคนหนึ่งของเขาในทันที

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท