ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 191 เล่นใหญ่

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 191 เล่นใหญ่

ในตอนนี้ ที่หน้าทางเข้าร้านขายอุปกรณ์นั้นเต็มไปด้วยผู้คน

เมื่อเฉินเฉียงและพวกมาถึง พวกเขาก็ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน คนเหล่านี้คือเหล่าองครักษ์ของตึกจอมพลภาคกลางที่มีจำนวนกว่าสองร้อยคน

ในขณะเดียวกัน ที่ด้านนอกนี้เองก็มีนักรบอีกร้อยคนที่ต้องเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิและต้องการเข้าไปซื้อกำไลสื่อสารเหมือนกัน ถึงกระนั้น พวกเขาก็ต้องหยุดรอคนของตึกจอมพลภาคกลางพวกนี้

“นี่มันจะเกินไปแล้ว เฉียวกัง ไอ้เฉียวกังนั่นมันคิดจะเหมาทั้งร้านเลยรึไง”

“ฮึ่ม จ้าวลี่ก็พอจะเข้าใจได้ แต่เฉียวกังนี่มันไม่คิดจะเห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย มันทำพวกเราราวกับเห็นขยะยังไงอย่างนั้น”

“อ้ะ ดูนั่นสิ นั่นมันคนของกองกำลังเทียนเว่ยแห่งตึกเหมันต์จันทราไม่ใช่เหรอ”

“ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ถูกไล่ไปโดยเฉียวกังเหมือนกันนี่นา สงสัยว่าพวกเขาจะกลับมาเอาคืนซะกระมัง”

“ห้ะ เอาคืน ตึกจอมพลเหมันต์จันทราก็แค่กองกำลังเล็กๆในกันหนันแหละว้า แล้วพวกนั้นจะทำอะไรได้ พวกเขาจะกล้าหาเรื่องเฉียวกังรึไงกัน”

เฉินเฉียงได้นำทุกคนเข้าไปในร้านอุปกรณ์(สหภาพสมบัติ) เขาก็ได้ตะโกนออกมา “ไอ้พวกคนจนทั้งหลายที่ไม่มี ออกไปซะ อย่ามาขวางข้าคนนี้ซื้อของ”

เสียงตะโกนของเขาได้กลบเสียงกระซิบกระซาบของทุกคนไปหมด

ทุกคนต่างก็มองไปที่เฉินเฉียง

“เหอะ ลองดูไอ้พวกไม่ห่วงชีวิตสิ”

“เอ็งจะบ้าเหรอ นั่นไม่ใช่ไอ้พวกไม่ห่วงชีวิตนะเว้ย เขาเป็นถึงอันดับสองของการประลองสี่สำนักเลยนะเว้ย แล้วนายเห็นคนที่กำลังเดินมารึเปล่า”

“เขาคืออันดับหนึ่งของการประลองสี่สำนักแต่กลับยอมเป็นผู้ติดตามของเฉินเฉียง”

“โวโว่โว้ ได้ดูอะไรดีๆแล้วล่ะมั้ง พวกเขาต่างก็เป็นอัจฉริยะในการประลองเลยนะ การระหว่างที่สองกับที่สี่นี้คงจะเปรียบได้ดั่งตัวแทนของตึกจอมพลเลยล่ะมั้งเนี่ย”

“เงียบๆไป รอดูดีกว่า ข้าว่ายังไงซะต้องมีคนเจอปัญหาแน่นอน”

“แล้วเจ้าคิดว่าใครล่ะ ข้าว่าเฉินเฉียงแพ้แหงๆ”

“จะพนันทำบ้าอะไร ยังไงซะเฉียวกังก็มีจ้าวลี่และตึกจอมพลภาคกลางหนุนหลังอยู่แล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะคิดว่าเฉินเฉียงชนะ”

หลังจากทุกคนพูดคุยกัน เฉินเฉียงและคนของกองกำลังเทียนเว่ยได้แหวกผู้คนขององครักษ์ตึกจอมพลภาคกลางออกไป

“เจ้าของร้าน เจ้าของร้านอยู่ไหน” เฉินเฉียงได้ตะโกนขึ้น

“มาแล้วครับ มาแล้ว”

ชายวัยกลางคนร่างอ้วนได้วิ่งมาพลางปาดเหงื่อ

“ท่านครับ ท่านต้องการอะไร พอดีทางร้านมีลูกค้าสำคัญ หากท่านต้องการจะซื้ออะไรขอให้ท่านโปรดรอสักครู่นะครับ”

เฉินเฉียงได้มองไปที่เจ้าของร้านอย่างเขม็งแก่นที่จะตบลงบนเคาน์เตอร์ร้านอย่างดัง

“ห้ะ นี่แกตาบอดรึไง เจ้ากล้าดียังไงถึงกล้าเสียมารยาทกับพวกข้า เชื่อรึเปล่าว่าพวกข้านั้นสามารถตัดคอแกได้เดี๋ยวนี้เลยนะ”

จางหยวนและพวกแสดงออกมาด้วยท่าทีที่ไม่พอใจ

“นี่แกเป็นคนค้าขายจริงๆรึเปล่า ท่านผู้นี้คือนายพลเว่ยหวู่ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้การภาคโดยตรงเลยนะเว้ย แล้วแกกลับกล้าทำเป็นไม่เห็นหัวเนี่ยนะ”

“หากแกยังกล้าพูดเรื่องไร้สาระอยู่อีกล่ะก็ ข้าจะฆ่าแกทิ้งเดี๋ยวนี้แหละ”

เจ้าของร้านตกตะลึงในทันทีที่ได้ยิน เขารีบโค้งตัวลงและพูดออกมา “ท่านนายพล โปรดให้อภัยข้าที่ตาต่ำด้วย โปรดให้อภัยด้วย ท่านนายพล เชิญเข้ามาก่อนครับ”

เฉินเฉียงได้กวักมือเลือกคนทั้งสิบสามคนเข้าไปในทันที

เมื่อทุกคนได้เห็นฉากนี้ต่างชูนิ้วกลางขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน ช่างหน้าไม่อายนัก

เฉินเฉียงได้เดินเฉิดฉายเข้าไปยังร้านค้าหอสมบัติ

ในร้านหอสมบัตินี้มีชายหนุ่มแต่งตัวดีนั่งขัดสมาธิอยู่พลางจิบชาไปด้วย เขาได้หยิบกำไลสื่อสารขึ้นมาดูและบ่นกับบริกรที่คอยเสิร์ฟน้ำชาอยู่ไม่หยุด

“นี่ คือของที่ร้านเจ้ามีทั้งหมดแล้วอย่างนั้นเหรอ ร้านของเจ้าเป็นร้านที่ขายกำไลสื่อสารโดยเฉพาะในเขตกันหันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมไม่มีรุ่นไหนที่ดูพิเศษเลยล่ะ เอาพวกมันออกไปซะ”

เฉียวกังได้ยกมือขึ้นมาและเขวี้ยงกำไลสื่อสารที่พนักงานร้านเอามาให้เลือกจนตกพื้นและแหลกลาญ

“ไอ๊หยา ไอ้อ้วนเจ้าของร้าน ข้าว่าแล้วว่าเจ้านั้นต้องไม่มีกำไลสื่อสารดีๆอยู่ที่นี่เป็นแน่”

เฉินเฉียงได้มองไปที่กำไลสื่อสารที่เฉียวกังขว้างทิ้งด้วยท่าทางตกตะลึง

“โอ้ เจ้าของร้าน ข้าบอกตรงๆเลยนะว่ากำไลสื่อสารของเจ้านั้นเจ๋งกว่าของที่ข้ามีอีก”

“เจ้ารู้รึเปล่าว่ากำไลสื่อสารของข้านั้นสื่อสารได้เพียงข้าในเขตล้านไมล์ในเขตภาคกลางเพียงเท่านั้น แต่กำไลของเจ้านั้นสื่อสารได้เกือบทั้งประเทศเลยนะเนี่ย”

“ข้าหาของดีแบบนี้มาตั้งนานแล้วแต่ข้าก็หาไม่เจอสักที”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เจ้าของร้าน นำกำไลสื่อสารแบบนี้มาสิบวง”

“ศิษย์น้อง นี่เจ้า….”

กัวเหลียงพยายามจะพูดอะไรออกมาแต่ถูกหยุดไว้ด้วยสายตาเฉินเฉียง

“เจ้าของร้าน ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการแก่นคริสตัลระดับกลางล้านก้อนต่อวงใช่รึเปล่า”

เจ้าของร้านเองก็แสดงออกมาอย่างโง่งม เขาไม่รู้ว่าเฉินเฉียงต้องการจะทำอะไร ทำได้เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น “ใช่ครับ ใช่แล้ว ใช่เลย”

“เมื่อเป็นแบบนั้นแล้ว เอางี้ ข้าก็ไม่ใช่คนขี้เหนียวอะไรนัก เอาแบบนี้ เอากำไลสื่อสารที่ดีที่สุดมาให้ข้าสิบสองวง ข้าต้องการให้พี่น้องของข้าทุกคนได้ใช้มัน”

“ได้ครับ ได้เลย ได้อย่างแน่นอน” เจ้าของร้านได้รีบเตือนสติพนักงานที่กำลังนิ่งอึ้งอยู่นั้นเอง “อ้าวเฮ้ย ไม่ได้ยินรึไงกัน นายพลท่านนี้ต้องการกำไลรุ่นนี้สิบสองวง แต่ละวงราคาหนึ่งล้านแก่นคริสตัลนะ เร็วๆเข้า ไปเอามาเดี๋ยวนี้”

พนักงานร้านในตอนนี้นิ่งอึ้งอยู่และรีบเข้ามารายงานในทันที

“เอ่อ แต่หัวหน้าครับ กำไลสื่อสารรุ่นนี้คือรุ่นที่ท่านเฉียวทำพังไป”

และร้านของพวกเรามีเพียงยี่สิบชิ้นเท่านี้น และพวกมันพังหมดแล้วครับ

หลังจากพูดจบ พนักงานได้มองไปยังเฉียวกังด้วยท่าทางใส่ซื่อ แต่เฉียงกังนั้นในตอนนี้ทั่วทั้งร่างกำลังสั่นเทิ้ม

“ห้ะ พังหมดแล้วเรอะ”

ในตอนนี้เจ้าของร้านราวกับควันออกหูและมองไปที่เฉียงกังที่กำลังนั่งนิ่งอยู่

“เจ้า นี่เจ้าคิดจะทำอะไร นี่เจ้าขัดขวางธุรกิจที่มีค่ากว่าสิบล้านแก่นคริสตัลระดับนายพลขั้นกลางของข้าให้สูญไปเปล่าๆเนี่ยนะ”

“ต่อหน้าสักขีพยานนับร้อยคนในตอนนี้ หากเจ้าไม่คิดจะอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่าง ต่อให้เจ้าเป็นคนของตึกจอมพลภาคกลางหรือองครักษ์ก็ตาม ต่อให้ท่านผู้การแห่งตึกจอมพลภาคกลางมาที่นี่ด้วยตัวเอง ข้าก็ต้องทวงความยุติธรรมมาให้ได้”

เมื่อคนที่คอยสังเกตการณ์อยู่ภายนอกได้เห็นฉากนี้ก็รู้สึกสนใจจนเริ่มที่จะมุงดู

ในตอนนี้ เฉียวกังนั้นได้กำลังถูกรุมล้อมด้วยผู้คนทั้งจากเจ้าของร้านและคนซื้อที่รออยู่ภายนอกอย่างโกรธเกรี้ยวที่ทำให้พวกเขาไม่ได้กำไลสื่อสารไปสักอันเดียว

และในตอนนี้ พวกเขาต่างก็ไม่คาดคิดว่าเพียงชั่วพริบตา เฉียวกังได้สร้างหายนะให้ตนเอง หึหึหึ ไม่มีอะไรที่จะน่าดูไปกว่านี้แล้ว

ยังไงก็ตาม มีใครบางคนในหมู่ผู้ชมเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง พวกเขามองไปที่กำไลสื่อสารของเฉินเฉียงแล้วพูดออกมา “มัน…แปลกๆอยู่นา ถ้ากำไลสื่อสารนั่นล้ำค่าขนาดนั้นจริงแล้วทำไมเฉียวกังถึงโยนมันทิ้งง่ายซะอย่างนั้นล่ะ”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือ ข้าได้ยินมาว่าเฉินเฉียงนั้นไม่มีใครหนุนหลัง แล้วกำไลที่ล้ำค่าแบบนั้น….เขาจะซื้อได้ยังไง”

เฉียวกังที่นั่งอยู่ตลอดเวลานั้นที่เขามาที่นี่และนั่งอยู่แบบนี้นั้นเป็นเพราะว่าเขานั้นอยากจะกลั่นแกล้งเฉินเฉียงแห่งกองกำลังเทียนเว่ยแห่งสำนักเต่าดำเพียงเท่านั้น และนั่นเป็นเหตุผลที่เขาได้ยกพลมากันที่นี่

เขาไม่คิดว่าเฉินเฉียงจะเล่นลูกไม้กับเขากลับในทันทีที่เขาเข้ามา นี่ทำให้เข้านิ่งอึ้งและตัวสั่นเมื่อได้ยินราคา

ส่วนเรื่องระดับของกำไลสื่อสารที่เขาทำพังนั้นเขารู้ดีอย่างแน่นอน

-กำไลสื่อสารระดับประเทศห่าเหวอะไรกัน มันก็แค่กำไลสื่อสารในพื้นที่ภาคกลางเท่านั้นแหละวะ-

-ยิ่งไปกว่านั้น กำไลนี่ก็มีมูลค่าแค่เพียงวงละร้อยแก่นคริสตัลระดับนายพลขั้นกลางเพียงเท่านั้น สำหรับเขาแล้วมันถูกแสนจะถูก

แต่เขานั้นคิดไม่ถึงว่าเฉินเฉียงจะกล้าพูดออกมาว่ากำไลนี้คือของที่ดีที่สุดของร้านและมันมีราคากว่าหนึ่งล้านแก่นคริสตัลระดับนายพลขั้นกลาง-

นี่มันไม่ใช่การข่มขู่กันรึไง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท