ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 215 แสงยามเช้า

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 215 แสงยามเช้า

ในตอนนี้ เฉินเฉียงรู้สึกนึกเสียใจที่ดันเรียกให้กองกำลังของตนเข้าร่วมเร็วเกินไป

แต่เดิม เขาคิดจะให้กองกำลังของเขานั้นใช้มนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้เป็นเครื่องฝึกฝนฝีมือ

แต่เขาไม่คิดว่าอาวุธในมือของมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้จะทรงอานุภาพมาก หากเขาเสียคนในกองกำลังด้วยเหตุนี้ ตัวเขาเองคงทำใจได้ยาก

เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงได้ตั้งตรงกลางอากาศ ก่อนที่จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและมุ่งตรงไปยังนายพลทักษะพิเศษตนหนึ่ง

และด้วยเหตุนี้ ในขณะที่จางหยวนและพวกพุ่งตรงเข้าสู่สนามรบ เฉินเฉียงก็ได้รับมือกับนายพลทักษะพิเศษขั้นสูง

ส่วนเจิ้งยี่นั้นเมื่อเข้าสู่สนามรบก็พุ่งเข้าใส่นายพลทักพิเศษขั้นสูงเช่นเดียวกัน ส่วนจางหยวนและคนอื่นๆต่างก็กระจายตัวรับมือกับมนุษย์กลายพันธุ์ชนิดตัวต่อตัว

ทั้งสองฝ่ายต่างห้ำหั่นกัน และในที่สุดจางหยวนและพวกก็เข้าใจถึงคำพูดของเฉินเฉียงที่พูดไว้ก่อนหน้านี้

พวกเขาเองต่างก็คิดว่าอาวุธที่เฉินเฉียงให้พวกเขาก่อนหน้านี้ดีมากแล้ว ไม่คิดว่าผ่านไปไม่ทันไรก็ต้องพบกับศัตรูที่มีอาวุธเหนือกว่า และนี่ทำให้อาวุธของพวกเขาเสียหายอย่างรวดเร็ว

“เปลี่ยนอาวุธ”

เฉินเฉียงตะโกนดังลั่นก่อนที่จะเตะอาวุธหนึ่งที่ได้มาจากนายพลทักษะพิเศษตนหนึ่งให้กัวเหลียง

หลางซานเอ๋อและคนอื่นเองก็เข้าใจและรีบหาโอกาสแย่งชิงอาวุธมาและห้ำหั่นกับมนุษย์กลายพันธุ์อีกครั้ง

“อ๊า”

เป็นเม่ยหลัวหลัน ตอนที่เธอเข้าไปชิงอาวุธมาและเตรียมจะต่อสู้ มนุษย์กลายพันธุ์ตนหนึ่งได้พุ่งเข้าใส่ก่อนที่จะฟันไปที่แขนของเธอ

ด้วยการที่อีกฝ่ายคือมนุษย์กลายพันธุ์ระดับเดียวกัน เพียงแค่นี้ เม่ยหลัวหลันก็ไม่อาจจะหลบได้แล้ว ยิ่งอีกฝ่ายนั้นมีอาวุธที่สูงล้ำ นี่ทำให้แขนขวาของเธอถูกเฉือนลึก หากไม่ใช่ว่าเธอนั้นตอบโต้ได้ทัน แขนขวาทั้งแขนของเธอก็คงไม่ได้อยู่ในที่ที่มันควรอยู่ไปแล้ว

เมื่อเห็นฉากนี้ คนที่อยู่ใกล้ๆรีบล้มศัตรูตรงหน้าก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าไปช่วยเม่ยหลัวหลันที่กำลังถือกระบี่ในมือพร้อมสู้กับศัตรูทุกเมื่อ

ในตอนนี้ ด้วยการที่ยังเป็นการสู้กันแบบหนึ่งต่อหนึ่งอยู่ สถานการณ์จึงยังไม่คลี่คลาย

ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะกังวลและร้อนรน เขาเองก็ไม่อาจเข้าไปช่วยได้ เป็นเพียงตอนที่เขาเห็นฉากเมื่อครู่นี้เท่านั้นทำให้เขาไม่มีทางเลือกจึงต้องโจมตีด้วยคลื่นเสียงทำลายวิญญาณใส่นายพลทักษะพิเศษตรงหน้า

เมื่อเห็นว่าศัตรูกุมหัวไปมาราวกับคนบ้า เขาจึงใช้โอกาสนี้สะบัดดาบไปหนึ่งทีจนหั่นศัตรูขาดเป็นสองท่อน

นี่ทำให้ทั้งกองกำลังเริ่มคลายกังวลได้บ้าง และหลังจากเม่ยหลัวหลันกินยาฟื้นฟูลงไปแล้ว เธอก็ได้เข้าร่วมการต่อสู้กับคู่หูและเพื่อนพ้องอย่างห้าวหาญ

ในตอนที่เขานั้นเข้ามาในเขตแดนจักรพรรดินี้ เฉินเฉียงนั้นคิดว่าตราบใดที่เขาไม่ได้พบเจอระดับกึ่งราชา เขามีปัญญาสู้ได้หมด

ต่อให้โชคดีไปประสบพบเจอ เขาก็ยังมั่นใจว่าหลบหนีได้อย่างปลอดภัย

หรือแม้แต่นายพลทักษะพิเศษตรงหน้า หากเขามีเวลามากพอ เขาก็สามารถจัดการด้วยตัวคนเดียวได้หมด

อย่างไรก็ตาม เขานั้นไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไป กองกำลังเทียนเว่ยนั้นไม่เพียงแต่เป็นคนของเขาเท่านั้น หากเขามัวแต่ปกป้องคนในกองกำลังเอาไว้ แล้วพวกเขาจะเติบโตได้ยังไงกัน

หากว่ากองกำลังของเขาไม่มีประสบการณ์ที่ถูกทุบตีด้วยเลือดแล้วเปลวเพลิงอย่างหนักล่ะก็ พวกเขาเองก็คงไม่อาจจะกลายเป็นนักรบที่ทรงคุณค่าได้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขานั้นคิดจะใช้โอกาสนี้ฝึกฝนคนในกองกำลัง

ตราบใดที่อันตรายยังไม่ถึงชีวิต นี่สมควรจะทำให้พวกเขาแสดงศักยภาพของตนเองออกมาอย่างเต็มกำลัง

เฉกเช่นเจิ้งยี่ที่หลังจากดูดซับแผ่นแก่นพลังงานไปหนึ่งแผ่น เขาในตอนนี้เปิดจุดชีพจรจุดที่ยี่สิบเจ็ดได้ และนี่ทำให้เขานั้นก้าวขั้นสู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงช่วงกลาง

มีเพียงนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงเท่านั้นที่ได้เปรียบเขาในตอนนี้

เฉินเฉียงได้ใช้ท่าเท้าของตนจัดการศัตรู ก่อนที่จะส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปหาเจิ้งยี่ว่า –เจิ้งยี่ ในเมื่อเจ้านั้นมีพลังเหนือมนุษย์ ทำไมเจ้าไม่ใช้มัน-

-อย่างน้อยๆไอ้เกราะเหล็กไหลนั้นก็ยังรับรองชีวิตเจ้าได้ไม่ใช่รึไง-

แต่เจิ้งยี่ยังคงตอบออกมาอย่างดื้อดึง “เฉินเฉียง เลิกพูดเรื่องนี้ซะ ต่อให้ข้าต้องตกตายก็ไม่ยอมใช้มัน”

และนี่ทำให้เจิ้งยี่ระเบิดพลังออกมา ก่อนที่จะกระหน่ำโจมตีใส่ศัตรูตรงหน้า

แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายนั้นเหนือกว่า เจิ้งยี่ได้พลาดท่าและถูกฟันไปที่อกหนึ่งแผล แต่เจิ้งยี่เองก็ยังทำตัวไม่รู้สึกรู้สาก่อนที่จะเสียบดาบไปยังหลังของศัตรู

นี่ทำให้ทั้งสองเจ็บหนักทั้งคู่

เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงก็ไม่ได้คิดจะปล่อยแต่อย่างใด เขาได้ใช้เคล็ดวิชาสะกดข่มวิญญาณมารสวรรค์ออกไปทำให้ศัตรูหยุดนิ่ง ก่อนที่จะฟันใส่ศัตรูจนดับดิ้นและพุ่งเข้าไปร่วมสู้กับเจิ้งยี่

นึกไม่ถึงว่าเจิ้งยี่นั้นแม้จะไม่เห็นเฉินเฉียง แต่เขาก็ยังฟันดาบขู่มาทางเฉินเฉียงทีหนึ่งและชำเลืองมองหนึ่งทีและต่อสู้ต่อไป เขานั้นต้องการสู้กับศัตรูด้วยตัวคนเดียว

เมื่อเห็นอย่างนี้ เฉินเฉียงไม่มีทางเลือกจึงได้ตรวจสอบดูวงการต่อสู้วงอื่น พร้อมกับส่งกระแสจิตตรวจสอบโดยรอบเพื่อตรวจตราว่าจะมีใครเข้ามาสอดมือหรือไม่

ไม่นาน กองกำลังเทียนเว่ยก็ได้จัดการมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้ลงไปทีละตนทีละตน นี่เป็นชัยชนะแรกและเริ่มทำให้ทุกคนเริ่มมีขวัญกำลังใจ

เป็นตอนนี้ที่กำไลสื่อสารของเฉินเฉียงนั้นดังขึ้นมา ท่าทีของเฉินเฉียงเปลี่ยนไปในทันทีเมื่อเห็น

ฉิงเชินและหลู่ฟางถูกโจมตี

เฉินเฉียงเปิดข้อความและใช้เคลื่อนย้ายพริบตาจัดการมนุษย์กลายพันธุ์ที่เหลือในทันที

เมื่อทุกคนได้เห็นฉากนี้ก็มองกันอย่างงงงวย เฉินเฉียงจึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งลึก “ฉิงเชินและศิษย์พี่ใหญ่ถูกโจมตี พวกเราต้องไปช่วยพวกเขา”

“จางหยวน เจ้ากับคนอื่นๆเก็บสินสงครามให้หมด หลังจากนั้นหั่นศพของพวกมันเป็นชิ้นๆ และอย่าได้ลืมเปลี่ยนอาวุธและชิงแหวนของพวกมันมา”

เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ส่งตำแหน่งของฉิงเชินและหลู่ฟางให้จางหยวน

“ข้าต้องไปช่วยพวกเขาก่อน เมื่อพวกเจ้าเสร็จแล้วก็รีบตามข้ามาแล้วกัน”

“เจิ้งยี่ จดจำไว้ว่าทุกคนต้องปลอดภัย”

หลังจากออกคำสั่งไปแล้ว เฉินเฉียงก็ได้เก็บดาบดั้นเมฆและหยิบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งขึ้นมาจากพื้นดิน

อีกเจ็ดร้อยไมล์จากที่นี่ในป่ารกทึบ เฉินเฉียงได้ปรากฏตัวบนอากาศ และมองไปฉากตรงหน้าด้วยสายตาเบิกกว้ง

เป็นหลู่ฟางที่ยืนตรงหน้าฉิงเชิน เขากำลังป้องกันการโจมตีจากนายพลทักษะพิเศษสองตนที่ขัดขวางการหนีของพวกเขา

นักรบในหน่วยองครักษ์ของตึกจอมพลกว่าห้าสิบคนนั้น ในตอนนี้เหลือเพียงสิบกว่าคน

ชุยหลานหลันเองในตอนนี้ก็เลือดกบปากแต่ก็ยังฝืนไว้ได้ต่อ

ด้วยการที่ต้องพบเจอกับมนุษย์กลายพันธุ์ระดับนายพลทักษะพิเศษนับร้อยคน ถึงแม้หลู่ฟางและฉิงเชินจะมีระดับการบ่มเพาะที่ไม่ต่ำเตี้ย แต่ด้วยจำนวนขนาดนี้ก็ไม่อาจจะทัดทาน

หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เพียงสองชั่วโมงเท่านั้นพวกเขาจะถูกกำจัดโดยสมบูรณ์

เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงรีบสยายปีกและพุ่งตรงไป

“ฮ่าฮ่าฮ่า กัปตันเกา พวกเรามีกำลังเสริมมาอีกแล้ว”

“อื้มมมม เท่าที่ดูปีกนั่น อย่างน้อยๆเขานั้นต้องอยู่ในระดับนายพลทักษะพิเศษเป็นแน่ ไม่สิ ถึงแม้ปีกนั่นจะดูเสียหายแต่แค่ปีกอย่างเดียวก็ประเมินได้ว่าคงอยู่ในระดับห้าไม่ก็หกนะ”

“คราวนี้ไอ้พวกมนุษย์หมดโอกาสหนีเรียบร้อยแล้ว แถมผู้หญิงนั่นยังเป็นลูกสาวของผู้การแห่งกันหนันแถมยังมีร่างกายกระจ่างจิตด้วย หากไม่ใช่เพราะนายท่านสั่งจับตัวนางไว้ พวกเราคงได้ฆ่านางไปก่อนใครแล้ว”

ในขณะที่มนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้คุยกัน เฉินเฉียงได้บินผ่านไปพอดี แน่นอนว่าเขาย่อมได้ยินการพูดคุยนี้

นี่หมายความว่าพวกมันหมายหัวฉิงเชิน

หลังจากจับตัวฉิงเชินได้ เขาบอกได้เลยว่าพวกมันต้องการเปลี่ยนเธอเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยเช่นกัน

เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงถึงกับรู้สึกโกรธเกรี้ยว เขาได้เปลี่ยนฟังก์ชั่นของระบบ การเลือกทักษะให้เลือกปีกสีเงิน และเป็นตอนนี้ที่ปีกสีเงินของเขาถูกฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท