ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 241 แก่นโลหิต

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 241 แก่นโลหิต

เมื่อเฉินเฉียงเปิดจุดชีพจรที่ยี่สิบสาม เขาก็เห็นว่าจางหยวนยังบ่มเพาะอยู่ เฉินเฉียงจึงไม่คิดจะรบกวนแล้วก้าวเดินต่อไป

เมื่อเขาก้าวต่อไปได้อีกเพียงเจ็ดสิบขั้นหลังจากเปิดจุดชีพจรที่ยี่สิบสามไปแล้ว นี่ทำให้เขาไม่มีทางเลือกและต้องเปิดจุดชีพจรอีกครั้ง และนี่แสดงให้เห็นว่านับจากนี้ในแต่ละขั้นจะยากที่จะปีนขึ้นไป และในตอนนี้เขาใช้เวลาอยู่ที่นี่สิบวันเข้าไปแล้ว

ระดับขั้นยิ่งสูงขึ้น นักรบจากทั้งสามเผ่าพันธุ์ก็ยิ่งน้อยลง

คนถัดไปที่เฉินเฉียงได้เจอคือหนี่เฟิง และคนอื่นๆที่ติดอยู่ที่ขั้นที่เจ็ดร้อยนั้นคือผู้มีระดับเทียบเท่ากับนายพลวิญญาณขั้นสูง

ที่ขั้นที่เจ็ดร้อยสามสิบ เฉินเฉียงก็ได้พบกับหนี่เฟิงและกัวเหลียงพร้อมกัน

ในตอนนี้ กัวเหลียงนั้นอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง แต่เท่าที่ดูแล้วเขากลับพบว่าเป็นหนี่เฟิงที่ดูราวกับเป็นคนลากกัวเหลียงมาได้จนถึงจุดนี้

เมื่อเห็นเฉินเฉียงได้ปรากฏตัว กัวเหลียงดีใจจนแทบจะพูดออกมาสามคำ “ไอ้ น้อง รัก”(ศิษย์น้องเล็ก)

ยังดีที่หนี่เฟิงมือไวเอามืออุดปากกัวเหลียงไว้ได้ทัน ก่อนที่จะมองไปยังนักรบของเผ่าพันธุ์อื่นที่อยู่ไม่ไกล

-ศิษย์น้องเล็ก ก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสได้ว่าเจ้ายังอยู่กับจางหยวนอยู่เลยนี่นา แล้วทำไมเจ้าขึ้นมาได้เร็วนักล่ะ แถมที่น่าชังยิ่งกว่าคือเจ้ายังไม่ได้ใช้เกราะพลังงานเคลือบร่างกายไว้อีก-

-ฮี่ฮี่ฮี่ ศิษย์พี่กัว ท่านก็ทำได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เท่าที่ดูแล้วสงสัยจะเป็นศิษย์พี่หญิงนี่เฟิงลากท่านมาได้จนถึงขั้นนี้สินะ-

-ข้าก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่ก็อีกล่ะนะ ข้านั้นก็แข็งแกร่งกว่าไอ้หมอนี่แม้จะโดนล่วงหน้าเข้าไปสู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงแล้วก็ตาม-

-ฮี่ฮี่ฮี่ ศิษย์น้องเล็กเอ๋ย นี่คือสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาไงล่ะ หากว่าเจ้าอิจฉาก็รีบหาใครสักคนสิ-

-เออใช่ คุณหนูเว่ยของเจ้านั้นน่าจะไปถึงยอดแล้วกระมัง เจ้าไม่รู้สึกอายเลยรึไงที่ช้ากว่านาง-

-หากเทียบกันแล้วของข้ายังรีรอไปด้วยกัน แต่ของเจ้าอยู่ห่างกันเป็นกิโล หากเทียบกันอย่างนี้แล้วเจ้ายังไงมีหน้ามาหัวเราะใส่ข้าอีกรึไง-

กัวเหลียงได้ชี้ไปที่เว่ยฉิงเชินแล้วพูดออกมา

-อ้าว ศิษย์น้องเล็ก หนี่เฟิง ดูสิ มีใครบางคนขึ้นไปถึงยอดแล้วนะ-

-จริงด้วย ศิษย์น้อง คนแรกที่ไปถึงนั่น….ดูเหมือนจะเป็น….องครักษ์หยานล่ะ-

เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ได้มองขึ้นไปในทันที

อย่างที่กัวเหลียงว่ามา ตรงหน้าเหนือบันไดขึ้นไปอีกสองร้อยกว่าขั้นนั้น หยานเสวี่ยที่ขึ้นไปถึงตรงจุดสูงสุดนั้นได้มองรอบๆไปมาอย่างตกตะลึง

-ศิษย์น้อง เร็วเข้า รีบถามองครักษ์หยานทีว่าบนนั้นมีอะไรอยู่ที่นั่น- กัวเหลียงรีบส่งเสียงทางจิตวิญญาณบอกเฉินเฉียงในทันที

เฉินเฉียงที่เห็นก็นึกสงสัยไม่น้อยไปกว่ากัน เขาได้เปิดกำไลสื่อสารและส่งข้อความไปถามหยานเสวี่ย

หยานเสวี่ยที่ได้ยินเสียงกำไลสื่อสารดังขึ้นแล้วหยิบขึ้นมาดู เธอได้หันมามองเฉินเฉียงด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย ก่อนที่จะส่งข้อความตอบกลับมา “อยากรู้รึ ขึ้นมาดูเองก็แล้วกัน”

เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นข้อความก็อดที่จะยิ้มแหยๆออกมาเสียไม่ได้ ก่อนที่จะส่งข้อความนี้ให้กัวเหลียงและหนี่เฟิงดู

-ไอ้หยา องครักษ์หยานของเจ้าช่างขี้เหนียวนัก บอกออกมาแล้วจะตายรึไงกันเนี่ย บอกมาอย่างกับไม่บอกอะไรเลย-

-องครักษ์หยานทำถูกต้องแล้วน่า ยังไงซะพวกเราก็ควรจะต้องพึ่งตนเองจะเป็นการดีที่สุด-

-ทั้งศิษย์พี่กัวและจางหยวนต่างมาถึงจุดนี้ได้ด้วยระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงนา นี่ก็เป็นสิ่งพิสูจน์ว่าพวกท่านเหมาะสมแล้ว-

-อีกอย่าง ข้าได้ยินมาว่าจางหยวนนั้นตั้งเป้าให้คนในกองกำลังอย่างน้อยครึ่งหนึ่งตั้งไปให้ถึงยอด-

-ดังนั้นศิษย์พี่กัวเองก็…..สู้ๆละกัน อย่าทำให้กองกำลังของเราต้องขายหน้าซะล่ะ-

กัวเหลียงที่ได้ยินก็ราวกับจะมีแรงฮึดจนหน้าแดงก่ำแล้วพูดออกมา –ศิษย์น้องวางใจได้ ข้าจะไม่ทำให้กองกำลังของเราต้องขายหน้าอย่างแน่นอน-

เฉินเฉียงพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจและก้าวเดินต่อไป

ด้วยการที่หยานเสวี่ยเป็นคนแรกที่ขึ้นไปถึงยอดบันได เมื่อคนที่เหลือได้เห็นก็ได้ราวกับเป็นการเติมเชื้อไฟใจสู้ของนักรบทั้งสามเผ่าพันธุ์ที่เห็น โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นว่าหยานเสวี่ยนั้นอยู่ๆก็หายไป นักรบทุกคนต่างก็กลัวว่าหยานเสวี่ยจะเข้าไปกวาดสมบัติเรียบวุธคนเดียวจึงเร่งฝีเท้าของตน

หลังจากผ่านไปนาน เฉินเฉียงนั้นอยากจะใช้เกราะพลังงานชนิดที่ใจแทบขาด เพื่อต้องการขึ้นไปให้ถึงไปทางเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้

แต่ท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะปล่อยวาง

ไม่ว่าสมบัติจะดีขนาดไหนก็ตาม แต่สำหรับเขาแล้ว การฝึกฝนแบบนี้กลับหาได้อย่างยากเย็น

และด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้ใช้แรงกายในการก้าวเดินขึ้นบันไดต่อไปเพียงเท่านั้นและทำซ้ำไปซ้ำมา

ขั้นที่แปดร้อยสามสิบ

ในตอนนี้เฉินเฉียงได้เปิดจุดชีพจรจุดที่ยี่สิบสี่ได้แล้วและเติมเต็มพลังสายเลือดจนเต็ม เรียกได้ว่าเขาในตอนนี้อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางช่วงปลายเรียบร้อยแล้ว

หลังจากเดินขึ้นมาได้อีกหกสิบขั้น เขาก็ได้พบหลู่ฟาง ศิษย์พี่ใหญ่ของเขา

ด้วยการที่ทั้งคู่กำลังหมดแรง จึงไม่มีทางเลือกทำได้เพียงหยุดพัก

“ศิษย์น้องเล็ก ดูเหมือนว่าเทคนิคการบ่มเพาะร่างกายพื้นฐานของเจ้าจะอยู่ในระดับสูงสุดแล้วสินะ” หลู่ฟางอดไม่ได้ที่จะถามออกมาอย่างยินดี เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงสามารถไล่ตามเขาได้โดยใช้เพียงพลังกายเท่านั้น

“ศิษย์น้อง เจ้ารู้รึเปล่า ศิษย์ของอาจารย์ฮู่ต้าไฮ่ของพวกเรานั้นไม่มีใครเลยที่มาได้จนถึงขั้นนี้ได้”

“แม้แต่อาจารย์ของพวกเราก็ไม่อาจจะมาถึงได้”

“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่เติมเต็มความหวังของอาจารย์ได้ หากอาจารย์ได้รับรู้เรื่องนี้ล่ะก็ เขาต้องเลี้ยงฉลองให้เจ้าสามวันสามคืนเป็นอย่างน้อยอย่างแน่นอน”

ความจริงแล้ว ในช่วงสองเดือนมานี้เฉินเฉียงมัวแต่สนใจการเดินขึ้นบันไดสู่สรวงสวรรค์และทำการเพิ่มเติมความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงเท่านั้น อย่างมากก็แค่การเพิ่มระดับการบ่มเพาะ โดยไม่สนใจที่จะดูทักษะต่างๆของเขาแม้แต่น้อย

มีเพียงตอนที่ศิษย์พี่ของเขากล่าวออกมานี้เขาจึงได้สังเกตว่าร่างกายของเขาเองนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

แต่เดิมร่างกายของเขาอยู่ในสภาพที่เรียกว่าสมส่วนเพียงเท่านั้น

ถึงแม้ยามที่ร่างกายของเขาจะอ่อนแอเมื่อถึงขีดสุด กระแสจิตของเขาก็รับรู้ได้เพียงว่ากล้ามเนื้อของเขาอ่อนแรงราวกับฟองน้ำที่ขาดน้ำมานานเพียงเท่านั้น เป็นตอนนี้ที่เมื่อจิตวิญญาณของเขาฟื้นฟู เขาถึงได้รับรู้ในการเปลี่ยนแปลงของร่างกายของตน

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านจะทะลวงขั้นที่นี่รึเปล่า”

หลู่ฟางส่ายหัวไปมาในทันที “ข้าพึ่งจะเปิดจุดชีพจรไปแล้วและตอนนี้ก็อยู่ในช่วงคอขวดน่ะ คงต้องพักอีกสักหน่อยแล้วถึงจะเพิ่มพลังสายเลือดทดแทนที่เสียไปได้”

“ก็ดี ศิษย์พี่ ข้าว่าข้าจะข้ามขั้นที่นี่แหละ”

เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ฝืนร่างกายก้าวเดินขึ้นไปต่อ

หลู่ฟางที่ได้ยินก็ได้ถามออกมาอย่างสับสน “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าเองพึ่งจะเปิดจุดมาไม่ใช่รึ ไม่เหมาะมั้งนั่น”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ศิษย์พี่ใหญ่ วิธีการของข้าแตกต่างจากคนอื่นสักหน่อยน่ะ”

เฉินเฉียงพูดก่อนจะเดินต่อ

แต่ด้วยการที่เขาหมดแรงอยู่ ทำให้ต้องเสียเวลามากแม้จะยืนขึ้นได้ก็ตาม

ถึงกระนั้น เฉินเฉียงก็ไม่คิดยอมแพ้ ไม่อย่างนั้นไอ้สิ่งที่เขาทำเป็นเท่กับศิษย์พี่ใหญ่ของเขาก็จะไร้ค่าในทันที

เฉินเฉียงยังคงฝืนยืนและพยายามก้าว……คลานขึ้นไปราวกับเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ถูกรีดหมุนกลับไปอีกทาง เขายังใช้นิ้วตะเกียกตะกายอยู่อีกเป็นสิบครั้ง ก่อนที่จะหยุดมือและได้หยุดเคลื่อนที่ลง

หลู่ฟางที่อยู่ไม่ไกลนั้นเมื่อเห็นท่าทางของเฉินเฉียงก็ตกตะลึงจนลืมแม้แต่จะฟื้นคืนพลังของตน

ในตอนนี้ พลังใจของเฉินเฉียงนั้นแห้งจนเกือบจะหมดแล้ว ก่อนที่เขาจะได้สลบไปนั้น เขาก็ได้นำกล่องหยกออกมาจากแหวนเก็บของ

เมื่อเปิดกล่องหยกออกมา พลังงานลึกลับก็ได้ไหลไปทั่วในทุกทิศทาง

“แก่นโลหิตราชา”

คนที่อยู่โดยรอบต่างก็เปิดตากว้างอย่างอิจฉา แม้หลู่ฟางก็ไม่เว้น ทุกคนต่างมองไปที่หยดเลือดในกล่องหยกด้วยความกระหาย

“ศิษย์พี่ใหญ่ เร็วเข้า ช่วยข้าหน่อย”

เฉินเฉียงรีบพูดออกมาในทันทีเมื่อได้เห็นสายตาไม่เป็นมิตรของผู้คนโดยรอบ

ถึงแม้ว่าการต่อสู้จะไม่อนุญาตให้กระทำในพื้นที่แห่งนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล้นชิงไม่ได้

หากมีคนใช้โอกาสหนีในการขโมยแก่นโลหิตของเขาไปล่ะก็ บอกได้เลยว่านี่คือเสียหายหลายแสนยังไม่คู่ควรที่จะเรียก

ยังดีที่เขานั้นมีหลู่ฟางอยู่ข้างๆ ด้วยนิสัยของเขาแล้วทำให้เขานั้นไม่ต้องกังวลต่อให้เขาจะอยากได้มากขนาดไหนก็ตาม

ถึงแม้ว่าเขานั้นจะไม่รู้ว่าเฉินเฉียงถึงต้องมาเสี่ยงตายใช้มันในตอนนี้ แต่หลู่ฟางก็รีบเปิดกล่องหยกออกหลังจากที่นิ่งอึ้งไป

“แม่เอ๊ย แก่นโลหิตอยู่ในมือไอ้เด็กเวรนั่น รีบไปเอามาซะ”

เหล่านักรบระดับเดียวกับนายพลวิญญาณขั้นสูงสิบกว่าคนที่เห็นว่าหลู่ฟางหยิบแก่นโลหิตออกมานั้นก็ได้รีบพุ่งเข้าหาในทันที

ถึงแม้หลู่ฟางเองจะยังไม่ฟื้นคืนพลัง แต่ด้วยการที่คนพวกนี้เองกว่าจะมาถึงได้ก็ต้องใช้แรงในการมาอย่างยากเย็นเช่นกัน

และก่อนที่นักรบเหล่านี้จะได้มาถึง หลู่ฟางก็ได้เทแก่นโลหิตใส่ปากของเฉินเฉียง

“ฉิบหายเอ๊ย อีกนิดเดียวเอง”

กลุ่มนักรบที่อยู่ใกล้ที่สุดที่เกือบจะถึงเฉินเฉียงได้เพียงแค่เอื้อมมือ เมื่อได้เห็นเฉินเฉียงกระเดือกแก่นโลหิตไปต่อหน้าต่อตาก็รู้สึกได้ราวกับฝันสลาย

แก่นโลหิตระดับราชาหยดนี้นั้น ย้อนกลับไปในตอนที่พวกเขายังคงอยู่ในสำนักเต่าดำ แม้แต่อาจารย์ในสำนักก็ยังอยากได้พวกมันเลยทีเดียว

ด้วยแก่นโลหิตที่เข้าปากไปแล้ว ทั่วร่างกายของเฉินเฉียงนั้นที่แต่เดิมที่ลีบเล็กราวกับเส้นก๋วยเตี๋ยวนั้นก็ได้กลิ้งไปมาบนพื้นราวกับถ่านร้อนๆในทันที มันน่ากลัวมากจนขนาดที่ว่าเหล่านักรบที่คิดจะแก่งแย่งในตอนแรกก็ต้องรีบถอยให้ห่างในทุกทิศทาง

หลู่ฟางเองนั้นไม่คิดว่าแก่นโลหิตนี้จะทำให้เฉินเฉียงตกอยู่ในสภาพน่าอนาถขนาดนี้ นั่นก็เพราะจากภายนอกแล้ว เฉินเฉียงดูราวกับกุ้งที่ถูกปรุงจนสุกจัด ตัวของเขาสีแดงฉานและงอตัวแน่น กลิ้งตัวไปมาอย่างไม่หยุด

-ศิษย์น้อง เป็นอะไรรึเปล่า – หลู่ฟางที่ตื่นตระหนกอยู่นั้นได้กลัวเฉินเฉียงจะทนไม่ไหวอย่างมาก จึงได้รีบส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณถามเขาในทันที

แต่ในตอนนี้ เฉินเฉียงไม่มีเวลาจะตอบแต่อย่างใด เขาพุ่งจิตใจของเขาอยู่กับหยดเลือดในร่างกาย

เหตุผลที่เขาเลือกที่จะดูดซับแก่นโลหิตในตอนนี้นั้นเป็นเพราะว่าพลังสายเลือดของเขาขึ้นถึงขีดสุดจนอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้มานานแล้ว

ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาจะย่างก้าวเข้าสู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางนั้น ด้วยการที่เขานั้นทำตามคำบอกของราชาสวรรค์ที่สอนเขาไว้ ในภายหลังทำให้เขานั้นเขาสู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางช่วงกลางในทันทีที่ข้ามขั้น

อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเขาได้เข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในขั้นต้นเพียงเท่านั้น แต่เขากลับต่อสู้กับระดับเหนือกว่าหนึ่งขั้นอย่างนายพลวิญญาณขั้นสูงได้อย่างสบาย เป็นตอนเจอกับระดับราชาเท่านั้นที่ทำให้เขาไม่อาจทำอะไรได้

และเมื่อเป็นแบบนั้นแล้ว หากว่าเขาก้าวสู่ขั้นสูงพร้อมกับขอบเขตแห่งการต่อสู้นี้ เมื่อต้องเจอกับศัตรูที่อยู่ในระดับเดียวกัน เขาจะถือว่าไร้เทียมทาน

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยอมฝืนทนเจ็บปวดมานาน เขาต้องการยกระดับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาเมื่อต้องเจอกับศัตรูในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงในอนาคต

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมใจมาแล้วก็ตาม เขาก็ไม่คิดว่าพลังจากแก่นโลหิตนี้จะรุนแรงถึงขนาดนี้

หลังจากแก่นโลหิตผ่านลำคอของเขาเข้าสู่ร่างกายไปแล้ว เขารู้สึกได้ว่าราวกับมีบอลไฟลูกใหญ่วิ่งกระจายไปทั่วร่างกายของเขา

ภายใต้การโจมตีอันหนักหน่วงจากแก่นโลหิตราชานี้ จุดชีพจรทั้งสิบสองของเขาในขั้นกลางที่ถูกเติมเต็มมานานแล้วก็ทำตัวราวกับนักรบที่มีจิตวิญญาณที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นแล้วสาดซัดไปทุกทิศทางอย่างบ้าคลั่ง

ความเจ็บปวดที่มากล้นนี้ทำให้เฉินเฉียงกลิ้งไปมาอย่างขาดสติสัมปชัญญะและร่วงหล่นจากชั้นที่แปดร้อยเก้าสิบ ร่นลงไปที่ชั้นแปดร้อยแปดสิบสอง

ในตอนที่เขากลิ้งลงไปนี้ นักรบจากทั้งสามเผ่าพันธุ์ต่างก็หลีกหนีกันให้วุ่นเพราะกลัวว่าจะชนพวกเขาให้ล้มกลิ้งตามลงไป

เมื่อหลู่ฟางได้เห็นเขาก็เร่งติดตามเฉินเฉียงไปอย่างไม่ลังเล พลางมองดูเฉินเฉียงอย่างไม่รู้ว่าจะเอายังไงดีเหมือนกัน

หนี่เฟิงและกัวเหลียงเองที่อยู่ขั้นต่ำกว่า เมื่อรับรู้ว่าเฉินเฉียงผิดปกติก็ได้รีบปีนป่ายขึ้นมาราวกับไม่รู้สึกร้อนหนาว ในที่สุดก็ได้มายืนดูอย่างไม่รู้จะเอายังไงดีกับหลู่ฟาง

“ศิษย์พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์น้องกัน” กัวเหลียงถามออกมาอย่างร้อนรน

“ศิษย์น้องกินแก่นโลหิตเข้าไป”

“แก่นโลหิต…ราชานั่นอ่ะนะ” กัวเหลียงก็นึกขึ้นมาได้ในทันทีว่ามันเป็นรางวัลที่เฉินเฉียงได้มาจากการที่กวาดล้างกองโจรของถูหมั่นเถียน เมื่อได้ยินแบบนั้นเขาก็ได้ถอนลมหายใจออกมาอย่างหนักแล้วพูดออกมา “เฮ้อ ข้าก็นึกว่าศิษย์น้องไปทำเรื่องผิดกฎของเขตแดนแล้วโดนลงโทษซะอีก แล้วจะเอายังไงดีล่ะหว่า”

“ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็อิจฉาเขาจนคิดที่จะแก่งแย่งมันชนิดต่อให้ฆ่าให้ตายก็ต้องเอามาให้ได้เลยนะนั่น”

“ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าถ้าไอ้พวกนั้นเห็นสภาพของศิษย์น้องในตอนนี้แล้วมันยังจะคิดอยากได้กันอยู่ไหมเนี่ย”

“กัวเหลียง เลิกคิดแบบเด็กๆได้แล้ว ศิษย์น้องตกอยู่ในสภาพนี้แล้วเจ้ายังมีเวลาพูดเรื่องแบบนี้อีกเนี่ยนะ”

หนี่เฟิงดึงหัวกัวเหลียงในทันใด

“เอาล่ะเอาล่ะ พวกเจ้าเลิกตีกันได้แล้ว” หลู่ฟางได้มองไปที่หนี่เฟิงและกัวเหลียงแล้วพูดออกมา “ข้าว่าสิ่งที่กัวเหลียงพูดออกมานั้นถูกต้องแล้ว เป็นไปได้ว่าการดูดซับแก่นโลหิตนี้จะเป็นต้องผ่านความเจ็บปวดขนาดนี้”

“และข้าเชื่อว่าหากศิษย์น้องทนมันได้ล่ะก็ เขาจะต้องได้รับผลตอบแทนที่สมกับความเจ็บปวดนี้”

กัวเหลียงและหนี่เฟิงหยักหน้ารับในทันที ก่อนที่จะพากับล้อมเฉินเฉียงเอาไว้และคอยดูอาการของเขา

สำหรับคนที่ผ่านไปนั้นย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉินเฉียง แม้แต่คนอื่นๆในกองกำลังเอง ด้วยการที่ไม่เข้าใจก็คิดเพียงว่าเขาเหนื่อยล้าจนเกินไปเท่านั้น และเดินต่อไปโดยไม่สนใจมากนัก เรียกได้ว่าพวกเขาถือว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ไขว่คว้าสมบัติเสียด้วยซ้ำ

“ศิษย์พี่ใหญ่ ทำไมท่านไม่ขึ้นไปก่อนล่ะ ข้ากับหนี่เฟิงจะอยู่คอยดูศิษย์น้องเอง”

ไม่อย่างนั้นล่ะก็ หากพวกเรารอกันหมดแบบนี้แล้วสมบัติถูกชิงไปหมด พวกเราจะสูญเสียไปมากกว่านี้เป็นแน่

หลู่ฟางได้นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “ก็ได้ ข้าหวังว่าศิษย์น้องจะมีโชคนะ ข้าไปก่อนแล้วกัน”

หลังจากหลู่ฟางจากไป กัวเหลียงและนี่เฟิงยังคงสารวนอยู่กับการดูอาการของเฉินเฉียง พร้อมพักฟื้นร่างกายไปด้วย

ครึ่งวันผ่านไป เฉินเฉียงยังคงงอตัวเป็นกุ้งด้วยความเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น

ในตอนนี้ แก่นโลหิตนั้นเปรียบได้ดั่งปืนที่ถูกยิงลงไปในน้ำ มันยังคงความร้อนระอุ และเผาไหม้จุดชีพจรทั่วทั้งร่างของเฉินเฉียง จนกระทั่งพลังสายเลือดนั้นได้ร้อนระอุจนเดือดและเอ่อล้นออกมาจากจุดชีพจร

“ฮึ้ก” เมื่อแก่นโลหิตเริ่มเข้าสู่จุดชีพจรได้แล้ว เฉินเฉียงรู้สึกราวกับโดนกระแสไฟฟ้าช็อตก็ว่าได้ แก่นโลหิตได้ระเบิดพลังของมันจนทำให้พลังที่เหนือล้ำเติมเต็มไปทั่วจุดชีพจรของเขา

ความรู้สึกที่เอ้อล้นนี้ได้ทำให้เฉินเฉียงรู้สึกว่าจุดชีพจรของเขาราวกับจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา

และในเวลาเดียวกันนี้ ระดับการบ่มเพาะของเขาได้พุ่งทะลวงไปอย่างไม่หยุดยั้ง แต่กระนั้น ทันทีที่มันเปิดออก พลังสายเลือดก็ได้ไหลปรี่เข้าไปในทันทีจนล้นและพร้อมดันไปยังจุดถัดไป ในตอนนี้บอกได้เลยว่าพลังแห่งราชานั้นได้ไหลบ่าออกมาอย่างบ้าคลั่งจนยากที่จะบรรยาย

“อ๊ากกกก”

เฉินเฉียงได้ร้องลั่นพร้อมดวงตาที่เบิกกว้างและเลือดที่ไหลริน

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท