ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 242 ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 242 ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้

“ศิษย์น้องเล็ก”

กัวเหลียงและหนี่เฟิงเมื่อเห็นเฉินเฉียงคำรามลั่นพร้อมกับเลือดที่ไหลรินออกมาอย่างโชกเลือดก็รีบเข้าไปดูอาการ นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะโดนคลื่นพลังประหลาดที่ถูกปล่อยออกมาจากเฉินเฉียงที่กำลังคำรามลั่นนี้สกัดกั้นไว้ ทั้งสองพยายามฝืนทนอยู่แต่ก็ต้องถอยไปหลายสิบก้าว ถอยร่นไปหลายขั้น แต่กับนักรบที่อยู่ไม่ไกลนั้นกลับกลิ้งหลุนๆลงไปหลายขั้นนัก

ในตอนนี้ที่ขั้นแปดร้อยแปดสิบสองนี้เหลือเพียงเฉินเฉียงเพียงคนเดียวเท่านั้น

“แม่…เอ๊ย ข้าพึ่งจะใช้แรงทั้งหมดที่มีไปแต่กลับโดนดีดกระเด็นลงมามากกว่าตอนที่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายอีก โชคร้ายชิบเป๋ง”

“ไอ้เด็กเวรนั่นมันทำอะไรของมัน ทำไมข้ารู้สึกราวกับว่ามันนั้นกำลังเสียงเป็นเสี่ยงตายซะอย่างนั้น”

“ข้าก็ไม่รู้จักมัน แต่ได้ยินว่ามันเป็นนายพลทักษะพิเศษขั้นกลางที่มีปีกสีเงินระดับเจ็ด มันต้องเป็นคนในอาณัติของราชาสวรรค์แน่ๆ”

“ใครจะสนว่าราชาของมันเป็นใคร ไอ้ฉิบหาย ตอนนี้ข้าขยับไปไหนไม่ได้ไม่พอ ยังถูกทำให้ถอยร่นออกมาอีกหลายสิบขั้น ไอ้เด็กนี่ช่างน่าชังนัก”

“ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่าทำไมกฎของเขตแดนไม่ลงทัณฑ์มันให้ตายๆไปซะ”

“ช่างมันเถอะ เราทำอะไรไม่ได้แล้ว ตอนนี้พวกเราทำได้เพียงก้าวเดินขึ้นไปใหม่เท่านั้น”

“ขึ้นไปใหม่เรอะ เหอะเหอะเหอะ พูดนั่นมันง่ายกว่าทำนะเว้ย แล้วถ้าเกิดระหว่างทางไอ้เด็กเวรนั่นมันเล่นพวกเราอีกล่ะ คราวนี้พวกเราไม่ร่วงลงไปเลยรึไงกัน”

“แล้วจะให้พวกเราทำยังไงล่ะเว้ย จะบอกว่าให้พวกเรารอมันก่อนรึไงกัน ไอ้พวกที่ล่วงหน้าไปก่อนก็เกือบจะถึงกันแล้วนะ หากไม่เร่งล่ะก็เดี๋ยวสมบัติก็ถูกเก็บรวบไปหมดกันพอดี”

ด้วยคลื่นพลังที่เฉินเฉียงปล่อยออกมาก่อนหน้านี้รุนแรงมากจึงทำให้เหล่านักรบทั้งสามเผ่าพันธุ์ไม่มีใครคิดที่จะกล้าก้าวเดินขึ้นไปอีก ทุกผู้ทุกคนต่างกลัวว่าจะโดนคลื่นพลังทำลายของเฉินเฉียงกระแทกจนร่วงหล่นไปยิ่งกว่าเดิม

ส่วนกัวเหลียงและหนี่เฟิงนั้น ในตอนนี้ทั้งคู่ฝืนต้านทานไว้ได้แต่ก็ต้องถอยร่นมาที่ขั้นแปดร้อยหกสิบ และนี่ทำให้ได้พบกับจางหยวนที่พึ่งจะมาถึง

“เพื่อนกัว นี่พวกเจ้าพึ่งจะถึงนี่เองเหรอ” จางหยวนผู้ซึ่งขึ้นมาด้วยความพยายามอย่างหนัก ในตอนนี้เขาเองบรรลุขั้นนายพลวิญญาณขั้นสูงแล้วทำให้ก้าวเดินขึ้นมาต่อได้ แน่นอนว่าเขานั้นย่อมไม่รู้สถานการณ์ของเฉินเฉียง

“จางหยวนเหรอ ไอ้ศิษย์น้องของพวกเรานั้นมันไม่ใช่คนแล้ว หนี่เฟิงกับข้าลำบากลำบนขึ้นไปถึงขั้นที่แปดร้อยแปดสิบสอง และคิดที่จะก้าวเดินต่อไปแต่คิดจะปกป้องเฉินเฉียงที่หลอมรวมแก่นโลหิตราชาเข้าไป พวกเรานั้นไม่คิดว่าศิษย์น้องของพวกเรานั้นจะระเบิดพลังออกมาอย่างบ้าคลั่งแล้วผลักพวกเราให้ถอยร่นมายี่สิบกว่าก้าวแบบนี้”

จางหยวนทำได้เพียงมองขึ้นไปเท่านั้นเมื่อได้ยิน

ที่ชั้นที่แปดร้อยแปดสิบสอง เกือบทุกคนต่างก็หยุดกันอยู่ที่นี่ พวกเขาจ้องมองต้นเหตุแห่งความโกลาหลในครั้งนี้อย่างเป็นตาเดียว นั่นก็คือเฉินเฉียง

“เพื่อนกัว ข้าได้ยินมาว่าแก่นโลหิตนี้มีพลังพอจะทำให้นายพลวิญญาณขั้นสูงเปิดจุดได้สองสามจุดเลยทีเดียว นี่หมายความว่าเฉินเฉียงใช้โอกาสนี้ในการทะลวงขั้นงั้นเหรอ”

เมื่อเห็นว่าจางหยวนรู้สึกตื่นเต้นยืนดี กัวเหลียงก็อดที่จะบ่นพึมพำออกมาไม่ได้ “เจ้าเองก็ทะลวงขั้นได้แล้วจะไปตื่นเต้นทำไมกัน ฮึ รอก่อนเถอะ ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ข้าจะสั่งสอนไอ้เด็กเวรนี่ให้รู้สึกสำนึกซะมั่ง กล้ามาเล่นศิษย์พี่แบบนี้ ข้าจะปั่นหัวไอ้เด็กนี่จนกว่าจะร้องขอขมา”

“โย่ เจ้านี่ช่างมีกึ๋นพองโตซะจริง กัวเหลียง ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเองก็มีระดับขั้นที่เหนือกว่าแต่ยังแพ้ศิษย์น้องเป็นว่าเล่นเลยไม่ใช่เหรอ แล้วตอนนี้ศิษย์น้องอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าแล้วเจ้าจะเอาปัญญาที่ไหนไปชนะกัน”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเองน่า พวกเราเป็นพี่น้องที่ดีจะมาต่อสู้ฆ่าแกงกันให้เสียเวลาไปไย”

….

ในตอนที่แก่นโลหิตระเบิดพลังออกมาในขณะที่อยู่ในร่างของเฉินเฉียงนั้น เสียงร้องของเฉินเฉียงได้เข้าหูของทุกคน

แต่เดิม ทุกคนคิดว่าเฉินเฉียงนั้นที่ตะโกนลั่นออกมาเป็นเพราะดูดซับผิดพลาดจนทำให้แก่นสายเลือดไหลออกมา แต่มีเพียงเฉินเฉียงเท่านั้นที่รับรู้ว่าเมื่อตอนที่เขาตะโกนลั่นออกมานั้น เป็นจุดที่ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขานั้นทะลวงสู่ขั้นกลาง

ส่วนที่ผลักทุกคนให้กระเด็นกระดอนไปนั้นไม่ใช่พลังจากแก่นสายเลือดที่รั่วไหล แต่เป็นผลจากการยกระดับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาที่เข้าสู่ขั้นกลาง

ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นี้มีอานุภาพอยู่เหนือกว่าที่เฉินเฉียงคิดไว้นัก

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขานั้นเมื่อเข้าสู่ขั้นกลางไปแล้ว พลังจิตของเขาก็ได้เหือดแห้งจนเกือบหมด เขาจึงทำได้เพียงนั่งลงกับพื้นเพียงเท่านั้น

ส่วนพลังจากแก่นสายเลือดที่เหนือคณานับนี้ได้ทำให้จุดตันเถียนของเขาบวมเป่งประดุจดั่งลูกบอลลูน ก่อนที่มันจะขยายตัวจนคงรูปไว้ได้ แน่นอนว่าด้วยขนาดของจุดตันเถียนของเขาในตอนนี้ทำให้ทะลวงจุดชีพจรที่ยี่สิบห้าได้อย่างง่ายดาย

นายพลวิญญาณขั้นสูง

หลังจากที่ทะลวงขั้นขึ้นมาได้แล้ว จุดตันเถียนของเฉินเฉียงก็ไม่ได้หดเล็กลงแต่อย่างใด แถมยังถ่ายเทพลังสายเลือดลงจุดชีพจรที่ยี่สิบห้าอย่างต่อเนื่อง

ในขณะเดียวกัน พลังที่เอ่อล้นออกมาจากจุดตันเถียนของเขานี้เองก็ได้ย้อนกลับมาแล้วทำการฟื้นฟูจุดตันเถียนของเขาที่ได้รับบาดเจ็บจากแก่นโลหิตระดับราชาก่อนหน้านี้

หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง เมื่อจุดตันเถียนของเขาได้ฟื้นฟูมาเป็นเฉกเช่นดังเดิม พลังสายเลือดที่ลึกล้ำก็ได้พุ่งตรงสู่จุดชีพจรจุดต่อไปอย่างรุนแรง

หลังจากผ่านไปอีกสองวัน เฉินเฉียงผู้ซึ่งนั่งพับอยู่ที่ขั้นบันไดก็ได้ทะลวงจุดชีพจรที่ยี่สิบเจ็ด พร้อมกับพลังในร่างที่กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง

หลังจากพักอย่างเพียงพอจนสามารถฟื้นฟูพลังกายและใจขึ้นมาได้แล้ว เขาก็ได้นำแผ่นแก่นพลังงานออกมา และเปลี่ยนพวกมันเป็นค่าพลังงานของเขา

เจ้าของระบบ: เฉินเฉียง

ระดับ: นักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง

การหลอมรวมทักษะ: 1

การคัดเลือกทักษะ : 7

ค่าพลังงาน:14,884,500

ค่าการใช้ประโยชน์:1

ค่าความอดทน:470

ค่าความแข็งแกร่ง:491

ค่าความเร็ว:383

ค่าพลังจิต:804

เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: หลอมเลือดทำลายล้างระดับสูง

เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: ภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทร ระดับเริ่มเรียนรู้

เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคฝึกฝนร่างกายพื้นฐาน ระดับสูงสุด

เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคการเล่นแร่แปรธาตุแบบดั้งเดิม ระดับต้น

เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคการยิงธนูของโฮ่วอี้(ผู้ดับตะวัน) ระดับต้น

ทักษะ: ไร้ตัวตน

ทักษะ: การตรวจสอบด้วยเสียง

ทักษะ: เพลิงดาบสายฟ้าทำลายวิญญาณระดับต้น

ทักษะ: ก้าวย่างสวรรค์ระดับสูง

ทักษะ: ภาษาสัตว์

ทักษะ: แกะรอยด้วยกลิ่น

ทักษะ: เคลื่อนย้ายพริบตาระดับสูง

ทักษะ: สื่อสารไร้สาย

ทักษะ: สะกดจิต ระดับสูงสุด

ทักษะ: สะกดข่มวิญญาณมารสวรรค์ ระดับสูง

ทักษะ: แก่นแท้แห่งการเล่นแร่แปรธาตุ ระดับต้น

ทักษะ: รอบรู้สมุนไพร

ทักษะ: เพลงดาบลมเฉือน ระดับต้น

ทักษะ: อินทรีย์สยายปีก ระดับสูง

ทักษะ: ควบคุมสายน้ำ (ทักษะที่ 1)

ทักษะ: เปลี่ยนรูปลักษณ์ (ทักษะที่ 2)

ทักษะ: ปีกสีเงิน ระดับ 7 (ทักษะที่ 3)

ทักษะ: ซ่อนตัวจากแสง ระดับ 3 (ทักษะที่ 4)

ทักษะ: เกราะเหล็กไหล (ทักษะที่ 5)

ทักษะ: คลื่นเสียงทำลายวิญญาณ (ทักษะที่ 6)

ทักษะ: ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ขั้นกลาง (ทักษะที่ 7)

……

สายเลือด: โกลาหลแรกกำเนิด(โกลาหลขั้นต้น)

แก่นโลหิตเพียงหนึ่งหยดนี้ได้ทำให้ร่างกายของเฉินเฉียงเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

ไม่เพียงจะทำให้เขานั้นมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงแล้ว มันยังทำให้เขานั้นเปิดจุดชีพจรได้ถึงจุดที่ยี่สิบเจ็ด ตลอดจนทำให้ค่าสถานะพื้นฐานของเขาอย่างความอดทน ความเร็ว ความแข็งแกร่ง และพลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก

และที่ดีกว่านั้นก็คือในตอนนี้ เคล็ดวิชาหลอมเลือดทำลายล้างของเขาอยู่ในระดับสูง และเคล็ดวิชาเทคนิคฝึกฝนร่างกายพื้นฐานของเขาอยู่ในระดับสูงสุด

มีเพียงสิ่งที่ทำให้เขายังคงคาใจก็คือสายเลือดโกลาหลแรกกำเนิดของเขานั้นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาสัมผัสได้ว่าในตอนนี้ ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขานั้นอยู่ในขั้นกลางแล้ว นี่ทำให้ความค้างคาใจในสายเลือดของเขาก็ได้หายไปอย่างรวดเร็ว

ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขั้นกลาง

เฉินเเฉียงรู้สึกได้ว่าขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ขั้นกลางของเขานี้ทำให้เขาสามารถหลุดพ้นคำสาปในใจที่คิดว่าร่างกายของเขานั้นยังอ่อนแอได้ในที่สุด

ไม่แปลกใจเลยจริงๆว่าทำราชาสวรรค์ถึงให้เขามุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ นี้นัก นั่นก็เพราะว่ามันนั้นส่งผลต่อการโจมตีทางจิตวิญญาณได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ดูนั่น ไอ้เด็กเวรนั่นขยับแล้ว”

เมื่อเฉินเฉียงยืนขึ้นมาได้นั้น นักรบทั้งสามเผ่าพันธุ์ที่มุงดูก็ต่างมีท่าทางสับสนอลหม่านกันในทันที

เฉินเฉียงได้หันไปมองนักรบของทั้งสามเผ่าพันธุ์ที่กำลังสับสนอยู่นั้นทำให้เขานึกขึ้นมาว่านักรบเหล่านี้กลัวอะไรกัน

และเมื่อได้เห็นว่าในหมู่นักรบที่อยู่ในระดับขั้นบันไดที่ต่ำกว่านั้นมีกัวเหลียง หนี่เฟิง และจางหยวนอยู่ได้ เขาก็ได้ถามออกมา

-ศิษย์พี่กัว พวกท่านไปออกันทำไมตรงนั้นล่ะ-

เมื่อได้ยินเสียงของเฉิงเฉียงผ่านการส่งเสียงทางจิตวิญญาณนี้ กัวเหลียงก็มีท่าทางราวกับจะกระอักเลือดในทันที

-ไอ้น้องเล็ก นี่เจ้ายังเป็นคนจริงๆอยู่อีกรึเปล่าเนี่ย ทำไมเจ้าถึงได้มีพลังเหลือรับได้ขนาดนั้น-

-เป็นพลังของเจ้านั่นแหละที่ผลักพวกข้าให้ถอยร่นจนมาถึงนี่-

-ศิษย์น้องเล็ก เจ้าจำไว้เลยนะ ข้าจะไม่มีวันลืมหนี้ที่เจ้าทำร้ายศิษย์พี่ในครั้งนี้ สักวันข้าจะทำให้เจ้าชดใช้ให้ได้-

ก่อนหน้านี้ ด้วยการที่เฉินเฉียงมัวแต่จมจ่อมอยู่กับการดูดซับแก่นโลหิตทำให้เขานั้นไม่ได้รับรู้ว่าคลื่นพลังที่เกิดจากการข้ามขั้นของขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขา เขาไม่คิดจริงๆว่ามันจะทำให้เกิดคลื่นพลังกระแทกใส่ผู้คนขนาดนี้ นี่ทำให้เขารู้สึกสำนึกเสียใจอยู่บ้าง

-น่าๆศิษย์พี่กัว อย่างน้อยๆตอนนี้ข้าก็ไม่เป็นอะไรแล้วนา-

เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้รวบรวมพลังและก้าวเดินขึ้นบันไดขั้นถัดไป

ด้วยการที่เขานั้นเปิดจุดลมปราณสองจุดในคราวเดียว นี่ทำให้เขานอกจากจะอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงแล้ว ร่างกายของเขายังรู้สึกได้ราวกับพลังสายเลือดไม่มีวันเหือดแห้ง เขาเดินขึ้นมารวดเดียวสามสิบขั้น และก้าวต่อไปจนมาอยู่ในขั้นที่เก้าร้อยสิบสองแล้วแต่ก็ยังไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแต่อย่างใด

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเป็นเว่ยชิงเฉินที่กำลังก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้ายขึ้นไปถึงยอดไปได้

เมื่อเธอหันหลังกลับมาก็ได้พบเห็นเฉินเฉียงเช่นเดียวกัน

ทั้งสองยิ้มให้กันในทันที

-พี่ใหญ่เฉินเฉียง ในที่สุดท่านก็ข้ามขั้น-

ฉิงเชินกำหมัดน้อยๆของเธอพร้อมกับส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณหาเฉินเฉียง

ด้วยระดับการบ่มเพาะของชิงเฉินนั้นเป็นธรรมดาที่เธอต้องถึงปลายบันไดก่อนเจิ้งยี่และหลู่ฟาง นั่นก็เพราะเธอนั้นมีร่างกระจ่างจิต

ตราบใดที่เธอมีแหล่งพลังงานการบ่มเพาะ เธอจะข้ามขั้นเมื่อไหร่ก็ได้

และในตอนนี้ เว่ยฉิงเชินได้เปิดจุลมปราณได้ทั้งหมดสามสิบหกจุดแล้ว หรือจะบอกว่าเธอนั้นอยู่ในระดับที่เรียกว่ากึ่งราชาก็ว่าได้ และพร้อมเข้าสู่ขอบเขตราชาได้ทุกเมื่อ

หลังจากพักเล็กน้อย เฉินเฉียงก็ได้เดินขึ้นบันไดต่อไป

ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงและสามารถเดินขึ้นมาได้ที่เก้าร้อยกว่าได้อย่างรวดเร็วนี้ แต่ส่วนหนึ่งนั้นก็ต้องขอบคุณเคล็ดวิชาเทคนิคการฝึกฝนร่างกายพื้นฐานขั้นสูงสุดของเขา

เมื่อเฉินเฉียงไปถึงขั้นที่เก้าร้อยเจ็ดสิบ เขาก็ตามหลู่ฟางทัน

-ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านต้องทำได้แน่-

เฉินเฉียงยิ้มให้หลู่ฟางพลางส่งเสียงให้กำลังใจศิษย์พี่ใหญ่ของเขาผ่านจิตวิญญาณ และเดินขึ้นไปต่อ

ขั้นที่เก้าร้อยเก้าสิบหก

เมื่อเฉินเฉียงได้หยุดพักตรงนี้ เขาก็พบเจอเจิ้งยี่ที่กำลังพักฟื้นร่างกายก่อนที่จะทะลวงจุดลมปราณ

อีกสี่ขั้นก็ถึงปลายบันไดแล้ว

แต่กระนั้น เฉินเฉียงไม่ได้มีท่าทีเร่งร้อนแต่อย่างใด เขานั่งพักอยู่ข้างเจิ้งยี่เพื่อรอให้เขาลืมตาขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ เจิ้งยี่ได้ออกเดินทางด้วยตัวคนเดียว พร้อมกลับมาให้เห็นด้วยสภาพที่โชกเลือด พร้อมกับจิตใจที่ราวกับเหนือล้า แต่เมื่อเขามาถึงที่ตีนบันไดสู่สรวงสวรรค์แห่งนี้ เขากลับเดินขึ้นมาโดยที่ไม่ข้องแวะกับกองกำลังเทียนเว่ยหรือแม้แต่เขาเองเลยสักนิด

หากนับตามที่เขาพูดมาก่อนหน้านี้ล่ะก็ เขาน่าจะยังสับสนกับเส้นทางของตัวเองว่าควรจะไปทางไหนดี

และเมื่อเห็นเขากำลังจะขึ้นสู่ปลายทางแล้ว เฉินเฉียงก็รับรู้ได้ว่าจิตใจของเจิ้งยี่นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาจึงคิดที่จะถามเจิ้งยี่เกี่ยวกับเส้นทางนอนาคตของเขา

ครึ่งวันผ่านไป หลู่ฟางได้ก้าวเดินขึ้นมาทัน แต่เจิ้งยี่ก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา

“ศิษย์น้อง เจ้าไม่ขึ้นไปรึ”

“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามีบางอย่างที่ต้องคุยกับเจิ้งยี่น่ะ ท่านไปก่อนเลย”

หลู่ฟางที่ได้ยินก็ได้พยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป

เฉินเฉียงได้มองไปยังเบื้องล่างในตอนนี้

ในตอนนี้นั้น นอกจากเม่ยหลัวหลัน เทพเงินตรา นักเลงหัวไม้และหนอนหนังสือที่ถอดใจไปก่อนใครแล้ว คนที่เหลือนั้น นอกจากเจิ้งยี่และเขาที่เกือบจะถึงยอดแล้ว จางหยวนอยู่ในขั้นที่แปดร้อยเก้าสิบเจ็ด กัวเหลียงและหนี่เฟิงอยู่ที่ขั้นเก้าร้อยสี่สิบสอง

หลางซานเอ๋อขึ้นมาอยู่ขั้นที่เจ็ดร้อยสิบ ทั้งสามล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการขึ้นมาถึงที่ปลายบันได

ส่วนที่เขายังไม่ได้กล่าวถึงก็มีสองสาวอย่างหลิวซวนเอ๋อและชุยหยันหลัน

หลังจากที่เขาให้ความกล้ากับชุยหลันหลันไปแล้ว ในที่สุดเธอก็เปิดจุดลมปราณได้อีกจุดและอยู่ในขั้นที่ห้าร้อยหกสิบ แต่หากนำมาเทียบกับเฉินเฉียงแล้ว บอกได้เลยว่าการเปิดจุดลมปราณของเธอนั้นยากเข็ญนัก

ยังไงซะ แต่ละคนก็มีความเหมาะสมที่ต่างกันไป การที่ชุยหยันหลันมาถึงขั้นนี้ได้ด้วยเวลาอันสั้นก็ดีมากแล้ว

ส่วนหลิวซวนเอ๋อนั้นดีกว่าชุยหยันหลันนิดหน่อย แต่เธอก็ประสบปัญหาในการทะลวงจุดลมปราณเฉกเช่นเดียวกับชุยหยันหลัน

อย่างไรก็ตาม หากว่าเขานับหลู่ฟางและเว่ยชิงเฉินเป็นคนในกองกำลังเทียนเว่ยแล้วล่ะก็ ผลลัพธ์ของกองกำลังสิบหกคนนี้เรียกได้ว่าน่าภูมิใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ กองกำลังของเขานั้นมีเพียงเจิ้งยี่เท่านั้นที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงเพียงเท่านั้น

แต่นี่พึ่งผ่านไปสองปีกว่า ความแข็งแกร่งของกองกำลังเทียนเว่ยได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก จากคนในกองกำลังที่สิบสามคนนั้น ในตอนนี้มีเพียงห้าคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง

ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ เขาบอกได้เลยว่ายามที่พวกเขาออกไปจากเขตแดนจักรพรรดิแล้วนั้น เมื่อกลับไปยังตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทรา ทุกคนย่อมต้องตกตะลึง

และที่ยากจะเชื่อยิ่งกว่าก็คือกับกองกำลังเล็กๆนี้กลับไม่มีสมาชิกที่ต้องสูญเสียเลยสักคน นี่เป็นสิ่งที่ยากจะพบเจอต่อให้เทียบกับกองกำลังทั้งหมดของทั้งสามเผ่าพันธุ์ที่ได้ส่งเข้ามายังเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้

“ห้ะ เฉินเฉียงเหรอ…..กัปตัน นี่ท่านอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย อย่าบอกนะว่าท่านรอข้าอยู่”

ในขณะที่เฉินเฉียงกำลังนั่งครุ่นคิดอยู่นั้น เจิ้งยี่ก็ได้ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณมายังเขา

เมื่อเห็นว่าเจิ้งยี่ตื่นแล้ว เฉินเฉียงก็หันไปหาด้วยรอยยิ้ม

-กัปตัน ท่าน…. ระดับการบ่มเพาะของท่านอยู่ระดับใดกันในตอนนี้-

ด้วยการที่เจิ้งยี่สามารถก้าวเดินขึ้นมาได้โดยไม่พบเจอใครก่อนหน้านี้นั้น

ทำให้เจิ้งยี่รับรู้ได้ว่าเฉินเฉียงเองก็สมควรจะอยู่ในระดับการบ่มเพาะอย่างน้อยๆก็ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงช่วงกลาง นี่ทำให้เขาสงสัยนักว่าเฉินเฉียงทำยังไงถึงได้ตามเขาขึ้นมาได้เร็วนัก

เขาเป็นคนแรกที่ขึ้นบันไดสู่สรวงสวรรค์นี้มา คนที่ตามเขามาได้นั้นย่อมเป็นผู้ที่เทียบได้ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง แล้วนายพลวิญญาณขั้นกลางอย่างเฉินเฉียงจะตามเขาขึ้นมาทันได้อย่างไร

และยิ่งไปกว่านั้นคือตัวเขานั้นคือผู้ที่อยู่ระดับเทียบได้กับนายพลวิญญาณขั้นสูงที่เปิดจุดลมปราณได้แล้วถึงสามสิบจุด

แต่เมื่อในตอนนี้ที่เขาได้เห็นวงแหวนสีเหลืองที่อยู่บนร่างกายของเฉินเฉียงที่แสดงออกมาให้ดู นี่ทำให้เขาเข้าใจ

และเขาก็รู้ดีว่าเฉินเฉียงนั้นมีแก่นโลหิตของสัตว์ประหลาดระดับราชาอยู่

หากว่าเฉินเฉียงได้ดูดซับแก่นโลหิตนี้เข้าไป นั่นย่อมเพียงพอที่จะทำให้เฉินเฉียงเข้าสู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงได้ในทันที

-ไม่คิดเลยว่าแม้แต่กัปตันก็ข้ามขั้นเป็นนายพลวิญญาณขั้นสูงแล้ว นี่ทำให้กองกำลังของพวกเราแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมอีกแล้ว-

-ฮี่ฮี่ฮี่ ตอนนี้กองกำลังเทียนเว่ยของพวกเรานั้นไม่ได้มีแค่เราสองคนที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงหรอกนะ-

เฉินเฉียงเมื่อได้ส่งเสียงไปแล้วก็บุ้ยปากไปที่ขั้นบันไดที่ต่ำกว่า

เป็นตอนนี้ที่เจิ้งยี่ได้เห็นแล้วว่ามีคนในกองกำลังอีกหกคนที่อยู่ในระดับขั้นนายพลวิญญาณขั้นสูง เมื่อเห็นฉากนี้แล้วเขาก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้

เป็นตอนนี้ที่รอยยิ้มบางๆได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจิ้งยี่

เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นฉากนี้ก็อดที่จะหวั่นใจไม่ได้ เขาจึงได้ถามออกมา –เจิ้งยี่ เจ้าได้อะไรจากการเดินทางคนเดีวในครั้งนี้บ้าง-

-แล้วหลังจากออกจากเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้แล้ว เจ้ามีแผนว่าจะทำยังไงต่อ-

เจิ้งยี่ยักไหล่ให้หนึ่งทีเมื่อได้ยิน –กัปตัน ถึงแม้ว่าข้านั้นจะยังไม่ค้นพบคำตอบ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้านั้นสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำ-

-นับจากนี้ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น นอกจากว่ากองกำลังจะไล่ข้าออก ข้า เจิ้งยี่คนนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังเทียนเว่ยอย่างแน่นอน-

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท