ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 245 เมิ่งน้อย

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 245 เมิ่งน้อย

อีกเพียงแค่หนึ่งเดือน เขตแดนจักรพรรดิก็จะถือว่าปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ

เฉินเฉียงมีทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา เขาสามารถจะออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้ แต่หยานเสวี่ยนั้นไม่สามารถ

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่มั่นใจว่าทักษะของเขานี้จะพาคนอื่นไปด้วยได้หรือไม่

เมื่อคิดดูดีๆแล้ว เฉินเฉียงก็ได้พุ่งขึ้นมาจากผืนดิน

“เจ้าทนไม่ไหวแล้วจะออกไปแล้วใช่ไหม”

เมื่อได้เห็นสภาพร่างที่ราวกับจะสูบผอมกว่าเดิม เฉินเฉียงที่เห็นก็รับรู้ได้ว่าหยานเสวี่ยเอาแต่ร้องไห้ในช่วงที่เขาไม่ได้สนใจ

น้ำตายังคงเห็นได้เด่นชัดบนใบหน้าของเธอ

หากว่าเขาไม่รู้ว่าหยานเสวี่ยถือมั่นในหน้าที่ของเธอล่ะก็ เขาก็คงจะปวดใจไม่น้อยเลยเมื่อได้เห็นฉากนี้

“องครักษ์หยาน นี่ท่านจะดื้อดึงไปทำไมกัน” เฉินเฉียงถามอย่างเฉยเมย

เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว หยานเสวี่ยได้ยืนขึ้นในทันที “หน้าที่ของข้าคือปกป้องชีวิตเจ้า เจ้าคิดว่าข้านั้นอยากจะตายกับเจ้าอยู่ที่นี่รึไงกัน ไม่ต้องพูดแล้ว ด้วยความเร็วของพวกเรานั้น พวกเราน่าจะยังไปทันอยู่”

“ไม่ องครักษ์หยาน ท่านไปก่อน ข้าจะอยู่ที่นี่แล้วออกไปภายหลัง”

“ไร้สาระ ข้ารู้นะว่าในตอนนี้หากเจ้าจะออกไปทางฝั่งของมนุษย์มันไกลเกินกว่าเจ้าจะออกไปทันแล้ว ทางออกที่ใกล้ที่สุดคือของฝั่งมนุษย์กลายพันธุ์”

“หากเจ้าต้องการจะอยู่ที่นี่ ข้าก็จะอยู่กับเจ้า”

เมื่อพูดจบ เธอก็ได้นั่งลงกับพื้น พร้อมสายตาที่ดื้อดึง

เฉินเฉียงบอกได้เลยว่าหากเขาไม่ออกไปจากนี่ เธอเองก็ไม่ออกไปอย่างแน่นอน

“องครักษ์หยาน ทำไมท่านเอาแต่สร้างปัญหาให้ข้านัก ข้านั้นสามารถออกจากที่นี่ได้ด้วยตัวคนเดียวจริงๆ”

แต่ไม่ว่าเฉินเฉียงจะพูดยังไงก็ตาม หยานเสวี่ยยังไม่มีท่าทางเปลี่ยนใจ

“ได้ได้ได้ ข้ายอมท่านแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าท่านช่วยข้าไว้หลายครั้งล่ะก็ ข้าจะไม่สนใจท่านแม้แต่น้อย”

เฉินเฉียงไม่มีทางเลือกได้แต่ยอมแพ้ไป เขาทะยานขึ้นฟ้าก่อนที่จะมองลงมาที่หยานเสวี่ย

“ไปสิ นำทางข้าไปด้วย”

หยานเสวี่ยเมื่อได้เห็นว่าเฉินเฉียงแสดงออกมาว่าจะยอมออกไปจริงๆ “พวกเราต้องรีบหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเราต้องติดอยู่ในที่นี่เป็นแน่”

ถึงแม้หยานเสวี่ยและราชาสวรรค์จะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แต่เฉินเฉียงเองก็ไม่รู้สึกไม่ดีกับทั้งสองแม้แต่น้อยนับแต่ได้มีโอกาสพูดคุยและพบเจอ

หากราชาสวรรค์ไม่ชี้แนะการบ่มเพาะให้เขาล่ะก็ เขาเองป่านนี้คงยังไม่ได้ออกจากสำนักเต่าดำเสียด้วยซ้ำ

ส่วนหยานเสวี่ยเองนั้นก็ช่วยชีวิตเขามามากมายหลายครั้ง ถึงแม้เธอจะลั่นปากออกมาว่าเธอเพียงทำตามคำสั่งของราชาสวรรค์เท่านั้น แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาก็ยังถือว่าติดค้างเธออยู่

แต่ที่สำคัญที่สุดคือเขาคงไม่อาจทนอยู่กับเธอได้นับสิบปีดังว่า

แล้วหากว่าเขาทิ้งเธอไว้ที่นี่แล้วกลับไปเกาะเทียนลี่คนเดียว ราชาสวรรค์คงไม่ปล่อยเขาไว้เช่นกัน

นี่ยังไม่รวมถึงการที่เขานั้นถูกเขตแดนลับที่ปลายทางบันไดสู่สรวงสวรรค์ดีดกระเด็นออกมาจนถูกพบเห็นต่อหน้านักรบสามเผ่าพันธุ์ ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนแล้วแต่ต้องตามล่าหาตัวเขา

ไม่ว่าเขามองยังไงก็ตาม การที่เขากลับออกไปทางปกติก็ไม่ได้ต่างจากเดินเข้าหาความตาย

แต่กระนั้น เขาก็ยังคงติดตามหยานเสวี่ยไปที่ทางออกอยู่ดี

“เฉินเฉียง เจ้าจะอ้อยอิ่งทำไมอีก เร็วเข้า”

เมื่อเห็นหยานเสวี่ยรอนรน เฉินเฉียงก็คิดจะอยากแกล้งนางสักหน่อย โดยใช้เคลื่อนย้ายพริบตาหายไปจากตรงนั้น

“หึ ท่านคิดว่าข้าช้างั้นเหรอ ถ้าให้ข้าเอาจริงแล้วท่านจะกลายเป็นคนนำทางให้ข้าได้ยังไง”

หลังจากทะยานไปห้าถึงหกไมล์ตรงหน้า เฉินเฉียงได้หยุดอยู่กลางอากาศพลางเล่นกับเมิ่งน้อยไปตอนรอหยานเสวี่ย

หลังจากผ่านไปสักพัก หยนเสวี่ยถึงจะตามเฉินเฉียงมาทันด้วยปีกน้อยๆของเธอ

“ฮี่ฮี่ฮี่ ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าเจ้านั้นหนีข้าไม่พ้น” หยานเสวี่ยพูดออกมาอย่างภูมิใจ

เมื่อเห็นท่าทางของสาวน้อยที่ทำท่าราวกับผู้ชนะ เฉินเฉียงก็ได้เปิดปากพูดออกมาอย่างยั่วโทสะ

“องครักษ์หยาน ข้าว่าพวกเราอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้จะดีกว่านะ”

“ถ้างั้นข้าก็จะอยู่กับเจ้า”

“ไม่มีปัญหา การมีสาวงามข้างกายย่อมดีกว่าอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ”

เมื่อได้เห็นสายตาหื่นกามของเฉินเฉียงแล้ว หยานเสวี่ยร่างกายสั่นสะท้านพร้อมน้ำตามที่เริ่มจะไหลริน

“พอแล้วพอแล้ว จะร้องไห้ทำไมอีกกันกับเรื่องแค่นี่เนี่ย” เมื่อเห็นว่าหยานเสวี่ยมีท่าทางราวกับจะร้องไห้อีกครั้ง เฉินเฉียงก็รีบยกมือขึ้นห้ามไว้ “องครักษ์หยาน ท่านขอให้ข้าออกจากนี่ แต่ท่านต้องบอกข้ามาตามตรง ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ยอมออกไป”

จากใบหน้าที่เศร้าหมองของหยานเสวี่ยก็ได้เปลี่ยนใบหน้ายิ้มดีใจอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงนี้ราวกับดารามากความสามารถเลยทีเดียว

เฉินเฉียงเองทึ่งมากจนอดสงสัยไม่ได้ว่าน้ำตาและความรู้สึกต่างๆเหล่านี้เป็นผลมาจากแห่นแก่นพลังงานด้วยรึเปล่า

หลังจากคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่นาน เฉินเฉียงก็ได้ถามออกมาอย่างจริงจัง “องครักษ์หยาน ข้านั้นรู้สึกประหลาดใจมานานแล้วว่าไม่ว่าข้าจะไปที่ไหน ท่านก็สามารถรู้ตำแหน่งของข้าได้ ท่านทำได้ยังไง”

“แล้วก็อย่าบอกข้าว่าเป็นเทคนิคการติดตามล่ะ เพราะว่าข้านั้นเปลี่ยนทั้งรูปลักษณ์ ใช้กระทั่งเม็ดยาสีสัน ไม่ว่าเทคนิคติดตามไหนในโลกหล้าก็ไม่มีทางตรวจเจอข้าได้”

หยานเสวี่ยเองความจริงก็อยากจะบอกว่าเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของเธอเหมือนกัน แต่ก็ถูกเฉินเฉียงพูดดักคอไว้ก่อน นี่ทำให้เธอทำได้เพียงตอบออกมาตามตรง

หลังจากลังเลเล็กน้อย หยานเสวี่ยก็ได้พูดออกมา “ เฉินเฉียง เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราบินไปคุยไปกันก็แล้วกัน”

เฉินเฉียงพยักหน้ารับ ก่อนที่จะบินไปข้างเธอ

“เฉินเฉียง เจ้ายังจำตอนที่เจ้าอยู่ที่เกาะเทียนลี่ได้รึเปล่า”

“ในตอนนั้น เพื่อที่ราชาสวรรค์ต้องการรู้ว่าเจ้าเป็นใคร มาจากไหน ท่านจึงได้ฝังเครื่องติดตามไว้กับเจ้า และด้วยเครื่องคิดตามนี้เองทำให้ข้ารู้ว่าเจ้านั้นอยู่ที่ใด”

“เครื่องติดตามเหรอ” เฉินเฉียงเองนั้นจำทุกเหตุการณ์บนเกาะเทียนลี่ได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ว่าเขานึกยังไงก็ตาม เขาก็นึกไม่ออกว่าราชาสวรรค์นั้นไปติดเครื่องติดตามนี้ไว้ตรงไหน เขาจึงทำได้เพียงมองไปที่หยานเสวี่ยเพียงเท่านั้น

ความจริงแล้วเขาเองก็เคยคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน แต่เขาก็ว่าตรวจสอบร่างกายของเขาอย่างดีแล้วก็ไม่มีอะไรที่ผิดสังเกต

“เฉินเฉียง ข้าได้ยินมาจากราชาสวรรค์ว่าเมื่อตอนที่เจ้าอยู่ที่นั่น ตอนที่ท่านราชาสวรรค์ตรวจสอบสิ่งของของเจ้านั้น มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าหวงแหนเสียยิ่งกว่าแก่นโลหิตนั่นอีกไม่ใช่รึไง”

“พูดแค่นี้เจ้าก็น่าจะเข้าใจอยู่นะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วเฉินเฉียงก็พึ่งจะนึกอะไรบางอย่างออกมาได้ เขาได้นำดาบดั้นเมฆออกมาจากแหวนเก็บของเพื่อตรวจสอบซ้ำไปซ้ำมา

ตอนที่อยู่เกาะเทียนลี่นั้น ราชาสวรรค์ได้ตรวจสอบสิ่งของทุกอย่างของเขา มีเพียงตอนที่ราชาสวรรค์หยิบดาบดั้นเมฆนี่ขึ้นมาเพียงเท่านั้นที่เขาไม่อาจยับยั้งอารมณ์ขุ่นเคืองไว้ได้

หากราชาสวรรค์คิดจะติดเครื่องติดตามจริงก็คงไม่พ้นติดไว้บนดาบเล่มนี้

แต่ไม่ว่าเขาจะมองยังไงก็ตาม เฉินเฉียงก็ไม่อาจพบได้ว่าดาบดั้นเมฆของเขามีอะไรผิดปกติ

“องครักษ์หยาน ท่านหมายถึงดาบเล่มนี้จริงๆใช่รึเปล่า”

หยานเสวี่ยพยักหน้ารับและพูดออกมาอย่างมั่นหน้าเสียอย่างงั้น “ไม่เลว ในตอนนั้นราชาสวรรค์พบว่าเจ้านั้นให้ค่ากับดาบเล่มนี้มากนัก และเมื่อท่านได้ยินว่าดาบเล่มนี้เป็นของดูต่างหน้า นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเจ้านั้นยิ่งไม่อาจจะละทิ้งดาบเล่มนี้ได้โดยง่าย”

“เฮ้อออออ ราชาสวรรค์นี่ช่างสายตาแหลมคมนัก ถูกแล้ว ต่อให้เขาจะทำอะไรกับดาบนี้จริง ข้าก็ไม่อาจที่จะทิ้งมันไปได้”

เฉินเฉียงถอดถอนลมหายใจอีกครั้งก่อนที่จะเก็บดาบนี้ไป

“ในตอนนั้น ในขณะที่เจ้ากำลังฝึกอยู่ในเกาะเทียนลี่ ราชาสวรรค์ได้ทำการปรับปรุงดาบของเจ้าและได้สร้างตัวบอกตำแหน่งขนาดเล็กมากฝังไว้ในดาบของเจ้า ตราบใดที่เจ้ายังคงใช้พลังภายในกับดาบนี้อยู่บ่อยๆ ตัวบอกตำแหน่งนี้เองก็ยังมีพลังงานไว้คอยบอกตำแหน่งอย่างไม่เสื่อมคลาย”

“นอกจากนั้นท่านยังฝังตัวบอกตำแหน่งนั่นไว้ในร่างของข้า นี่จึงเป็นเหตุผลว่าไม่ว่าเจ้านั้นจะอยู่ที่ไหน ข้าก็หาเจ้าพบ”

“เป็นเช่นนั้น”

เมื่อตอนแรกที่เฉินเฉียงได้เห็นว่าดาบดั้นเมฆของเขาแหลมคมขึ้นมาได้นั้น เขาก็ยอมรับนับถือในความสามารถของราชาสวรรค์อย่างมาก

แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าราชาสวรรค์จะทำถึงขนาดนี้ด้วย นี่ยิ่งทำให้เขานั้นยอมรับในความคิดของราชาสวรรค์ว่าเป็นคนที่มองการณ์ไกลจนยากจะหยั่งถึง

อย่างไรก็ตาม ต่อให้เขารู้แบบนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

อย่างที่หยานเสวี่ยว่าไว้ เขานั้นไม่อาจที่จะโยนดาบดั้นเมฆนี้ทิ้งไปได้อยู่ดี

ดาบดั้นเมฆเล่มนี้เป็นสิ่งที่ซุนต้าฮู่เหลือไว้ให้เขา เขาจะทิ้งมันลงได้ยังไง

“ในเมื่อรู้แบบนี้แล้วตอนนี้เจ้าก็คงจะตามข้ากลับไปแต่โดยดีแล้วสินะ”

เฉินเฉียงทำได้เพียงยิ้มเล็กน้อยและตามหยานเสวี่ยไปโดยไม่ขัดขืน

ด้วยระดับการบ่มเพาะของเฉินเฉียงแล้วนั้น แน่นอนว่าเขาสามารถหนีจากหยานเสวี่ยได้อย่างง่ายดาย แต่หลังจากนั้นเขาจะทำอะไรล่ะ

เขาไม่อาจหลบซ่อนอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิได้ตลอดการ

คราบใดที่เขาออกจากเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ หยานเสวี่ยก็ต้องหาเขาเจออยู่ดี

และเมื่อถึงเวลานั้น หากหยานเสวี่ยและราชาสวรรค์มาด้วยกันทั้งคู่ล่ะก็ ด้วยระดับพลังของราชาสวรรค์แล้วนั้น ต่อให้มีเขาอีกสิบคนก็ไม่ใช่คู่มือ

นอกเสียจากว่าเขาจะทำใจแข็งฆ่าหยานเสวี่ยทิ้งในตอนที่ออกไปแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าเขาจะสามารถเป็นอิสระได้จริงๆ

แต่เขาจะลงมือได้จริงๆเหรอ

หากว่าเขาทำแบบนั้น ต่อให้ราชาสวรรค์หาเขาไม่พบก็คงเอาความแค้นไปลงกับกองกำลังเทียนเว่ยอยู่ดี

ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ เฉินเฉียงก็ยิ่งมั่นใจว่า ในตอนนี้เขาทำได้เพียงตามหยางเสวี่ยกลับไปเท่านั้น

“เฉินเฉียง เรายังมีเวลาอีกครึ่งเดือน ก่อนที่เราจะออกไปจากเขตแดนจักรพรรดิ อ้ะ ดูนั่น มีมนุษย์กลายพันธุ์มากมายกำลังบินไปที่นั่น”

เฉินเฉียงได้มองไปตามที่เธอบอกโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่ในทันทีนั้นเอง เขาก็ต้องเปลี่ยนสีหน้าและรีบเปลี่ยนรูปลักษณ์กลับเป็นหลิวหลาง

“ฮื้ม เกิดอะไรขึ้น ” หยานเสวี่ยที่เห็นว่าเฉินเฉียงเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้วก็ถามออกมาอย่างสับสน

ก่อนที่เฉินเฉียงจะได้ตอบ ก็มีมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มหนึ่งบินมาขวางตรงหน้าหยานเสวี่ยและเฉินเฉียง

“นั่น ไอ้ตัวที่เรากำลังตามหาอยู่นั่นไง”

“ใช่แล้ว ข้าว่าแล้วว่ายามที่เขตแดนจักรพรรดิกำลังจะปิดตัวลง ไอ้เวรนี่ต้องไม่อาจทนที่จะติดอยู่ที่นี่ได้อย่างแน่นอน ดูซิว่าคราวนี้มันจะหนีไปไหนอีก”

“พี่น้อง จับตัวมันไปมอบให้ราชาของพวกเราซะ พวกเราจะได้ความดีความชอบอย่างมาก”

เมื่อได้เห็นนายพลทักษะพิเศษกลุ่มนี้บินเข้ามาหา เฉินเฉียงก็อดที่จะเดือดดาลเสียไม่ได้ เขาได้ส่งเมิ่งน้อยให้กับหยานเสวี่ยและพูดออกมา “ข้าต้องจัดการกับไอ้พวกเวรตะไลพวกนี้ก่อน”

“เฉินเฉียง เจ้าทำไม่ได้นะ”

หยานเสวี่ยรีบหยุดเฉินเฉียงในทันที “เจ้าต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หากว่าเจ้ามัวแต่ก่อเรื่องที่นี่แล้วมันจะสร้างปัญหาให้กับราชาสวรรค์อย่างมาก”

“พวกเราไม่อาจก่อเรื่องที่นี่ได้ มากับข้าซะ”

“อยากไปท่านก็ไปก่อนสิ” เฉินเฉียงได้สะบัดของตนจนทำให้หยานเสวี่ยกระเด็นลอยถอยหลังไป

เฉินเฉียงในตอนนี้นั้นมีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่แล้วเนื่องจากว่าเขานั้นมีเรื่องที่ค้างคาใจอยู่มากมาย แถมมาในตอนนี้ยังมีนายพลทักษะพิเศษที่เกลียดขี้หน้ามาขวางทาง นี่จึงทำให้เขาโกรธขึ้นมาถึงขีดสุด

“อยากจะออกไปเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า องครักษ์หยาน แม้แต่เจ้าวันนี้ก็หวังอย่าได้ออกไปจากนี่”

ไม่นาน นายพลทักษะพิเศษได้รายล้อมทั้งสองคนไว้ คนที่เป็นผู้นำคือหลิวเฟิงผู้ซึ่งมีเรื่องขัดแย้งกับเฉินเฉียงอยู่ก่อนแล้ว

เมื่อได้เห็นการกระทำของหลิวเฟิงแล้ว หยานเสวี่ยก็มีใบหน้าที่มืดครึ้ม

“”เฉินเฉียง หลิวเฟิงมีพลังเหนือมนุษย์ทางด้านการโจมตีทางจิตวิญญาณ แม้แต่ข้าก็ไม่คิดว่าจะทำอะไรมันได้ พวกเราต้องคิดหาวิธีหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้”

เมื่อได้ยินแบบนั้น เฉินเฉียงไม่ได้มีท่าทีเป็นกังวลแต่อย่างใด เขากลับแสดงสีหน้าตื่นเต้นยินดีออกมาเสียด้วยซ้ำ

เฉินเฉียงนั้นสนใจในทักษะเหนือมนุษย์ของมนุษย์กลายพันธุ์ประเภทนี้มานานมากแล้ว โดยเฉพาะตัวผู้นำอย่างหลินไฮ่หวัง

อย่างไรก็ตาม เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ในสังกัดของหลินไฮ่หวังสองตน นี่ยังไม่รวมถึงหลินฟานอีก ทั้งหมดล้วนตกตายกลายเป็นเถ้า ไม่เหลือสิ่งใดให้เขาได้ดูดซับ

แล้วเขาจะปล่อยโอกาสดีๆแบบนี้ไปได้ยังไง

เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงก็ได้โอกาสลองเชิงโดยการใช้คลื่นเสียงทำลายวิญญาณใส่หลินเฟิง

หลินเฟิงที่มัวแต่หัวเราะออกมานั้นเกือบจะไม่ทันตั้งตัวจนเกือบจะโดนการโจมตีของเฉินเฉียงไป

“ไม่เลว หลิวหลาง ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีทักษะการโจมตีทางจิตวิญญาณเหมือนกัน ดี พี่น้อง โจมตีใส่พวกมันพร้อมกัน”

เฉินเฉียงที่พึ่งจะโจมตีใส่หลิวฟางไปนั้น ก่อนที่จะได้โจมตีซ้ำออกไปก็ถูกนายพลทักษะพิเศษหกไม่ก็เจ็ดคนกระหน่ำโจมตีใส่เขาด้วยการโจมตีทางจิตวิญญาณ

แน่นอนว่าเมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงย่อมต้องหลบอย่างแน่นอน

แต่หยานเสวี่ยที่ยืนอยู่หลังเฉินเฉียงนั้นกลับไม่อาจหลบได้ทัน

แต่เดิม นายพลทักษะพิเศษเหล่านี้ต่างก็เล็งไปที่เฉินเฉียง แต่ด้วยการที่เฉินเฉียงหลบไปได้ ทำให้หยานเสวี่ยถูกโจมตีเข้าไปแทน

ถึงแม้หยานเสวี่ยจะมีระดับการบ่มเพาะที่สูงล้ำจนเกือบจะก้าวเข้าสู่ระดับกึ่งราชาได้แล้วก็ตาม แต่ด้วยการที่เธอนั้นไม่คิดว่าหลิวเฟิงและพวกจะกล้าลงมือแบบนี้ เธอจึงมัวแต่ห่วงหมิ่งน้อยจนตอบสนองได้ไม่ทัน และนี่ทำให้เธอนั้นรับการโจมตีทางจิตวิญญาณไปทั้งหมดในทันที

“องครักษ์หยาน”

เฉินเฉียงที่หลบไปได้นั้น เมื่อเห็นว่าหยานเสวี่ยโดนโจมตีก็ได้ร่วงหล่นลง พร้อมกับมีนายพลทักษะพิเศษอีกสองตนติดตามไป

“รีบโจมตีเร็วเข้า”

เมื่อเห็นว่าการโจมตีระลอกแรกไม่ได้ผล หลิวเฟิงก็รีบสั่งให้คนของตนโจมตีต่อในทันที

ในตอนนี้ เฉินเฉียงที่เห็นหยานเสวี่ยที่กำลังร่วงหล่นสู่พื้น หากเขาติดตามไป เขาจะถูกโจมตีเข้าไปเต็มๆ

แต่หากเขาไม่อาจไปถึงหยานเสวี่ยได้ก่อนนายพลทักษะพิเศษสองตนนี้ เธออาจถูกพวกมันโจมตีอย่างรุนแรง ดีไม่ดีจะตายลงในทันที

หลังจากลังเลเล็กน้อย เฉินเฉียงก็ได้เบิกตากว้าง ก่อนที่จะส่งสายตาอาฆาตใส่หลิวเฟิงไปหนึ่งที ก่อนที่จะพุ่งตรงไปหาหยานเสวี่ย

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เขาลังเลไปก่อนหน้านี้ทำให้นายพลทักษะพิเศษสองตนนั้นถึงตัวหยานเสวี่ยก่อนเฉินเฉียง

เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงเกิดแค้นยิ่งกว่าเดิม เขาได้ใช้เคลื่อนย้ายพริบตาพุ่งเข้าใส่นายพลทักษะพิเศษทั้งสองในทันที

แต่ในขณะที่กระบี่ในมือของนายพลทักษะพิเศษทั้งสองตนจะได้เสียบเข้าไปในร่างของหยานเสวี่ยที่ยังไม่ได้สตินั้นเอง มีสิ่งเล็กๆบางอย่างได้กระโดดขึ้นมาที่หน้าอกของเธอ ก่อนจะเปิดปากน้อยๆ และถ่มอะไรบางอย่างใส่นายพลทักษะพิเศษทั้งสองตนก่อนที่จะทำได้สำเร็จ

เป็นตอนนี้ที่กองไฟกองใหญ่ได้ลุกท่วมร่างของนายพลทักษะพิเศษทั้งสองตน

“อ๊ากกกก”

นายพลทักษะพิเศษที่ไฟลุกท่วมตัวไปนั้นได้โยนกระบี่ในมือทิ้ง พร้อมกับร้องครวญครางพักหนึ่ง ก่อนที่จะร่วงหล่นสู่พื้นดิน และกลิ้งไปมาไม่หยุด

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท