ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 250 ตกตะลึง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 250 ตกตะลึง

“หัวเราะทำซากอะไร เม่ยหลัวหลันผู้นี้คือแม่บ้านประจำกองกำลัง ย่อมต้องมีเครื่องใช้สำหรับกองกำลังเพื่อความอยู่รอดอยู่แล้ว นี่เป็นเรื่องปกติ”

ในฐานะที่เป็นสามีของเม่ยหลัวหลัน เหรินหมิงได้ก้าวขึ้นหน้ามาแล้วพูดปกป้องเธอ

“ช่างมันเถอะเม่ยหลัวหลัน เปิดแหวนวงอื่นของเจ้าซะ” เว่ยหยวนตี้เองที่เห็นก็อดมีสีหน้ามืดครึ้มเสียมิได้

เม่ยหลัวหลันพยักหน้ารับ ก่อนที่จะเก็บของบนพื้นจนหมดและมองไปที่ผู้คน

“เม่ยหลัวหลัน คงไม่ใช่ว่าพื้นที่ตรงนี้ไม่ใหญ่พอหรอกนะ”

เม่ยหลัวหลันพยักหน้ารับแล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง “โปรดให้อภัยข้าด้วยท่านเว่ย ของของข้านั้นเยอะมากจริงๆ”

เว่ยหยวนตี้ได้เหลือบมองไปที่ฮั่นจุย ฮั่นจุยเป็นคนแรกที่ถอยออกไปนับสิบก้าว นี่ทำให้คนอื่นต้องทำตาม

“น่าจะพอนะ”

เม่ยหลัวหลันได้เปิดแหวนวงที่สองออกมาดู รอบตัวเธอในตอนนี้นั้นมีที่ว่างกว่าห้าร้อยเมตร

โดยไม่คาดคิด ในแหวนวงนี้มีแหวนอยู่อีกสิบสามวง

ในครั้งนี้ไม่มีใครสนใจแหวนทั้งสิบสามวง ทุกคนมองแค่เม่ยหลัวหลันเพียงเท่านั้น

“ฝุ่บฝุ่บฝุ่บฝุ่บ”

เม่ยหลัวหลันได้เปิดแหวนทั้งสิบสามวงออกมาพร้อมกัน นี่ทำให้ขวดเหล้านับหมื่นขวดเต็มพื้นที่ที่เธอขอไว้ในทันที

ด้วยกลิ่นยั่วหยวนของไวน์ได้ฟุ้งกระจายนี้ช่างเตะจมูกผู้คนมากนัก “ผู้อาวุโสฮั่น ท่านอาจไม่เคยริ้มรสไวน์เช่นนี้มาก่อน รสชาติของพวกมันดีมากนัก ข้าขอมอบไวน์ไหนี้แทนของขวัญจากกองกำลังเทียนเว่ย”

เม่ยหลัวหลันยกไวน์ไหหนึ่งขึ้นมาในทันที

โดยไม่คาดคิด ฮั่นจุยแม้แม่ขยับแต่ไวน์ในมือของเม่ยหลัวหลันแตกก่อนที่จะได้เข้าใกล้ฮั่นจุยเสียอีก

“เม่ยหลัวหลัน เก็บขยะของพวกเจ้าไว้ซะ พวกเราต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายในการส่งพวกเจ้าเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิ นี่พวกเจ้าเข้าไปเพื่อหาที่ดื่มเพียงเท่านั้นรึไง”

“สิ่งที่พวกเราต้องการเห็นคือพวกเจ้านั้นได้อะไรมาจากเขตแดนจักรพรรดิบ้าง ใครใช้ให้เจ้าเอาของพวกนี้ออกมา”

เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว เม่ยหลัวหลันก็ได้พูดออกมาอย่างดุดัน “พวกเราเองก็ไม่ต้องการเอาของพวกนี้ออกมาให้ขายหน้านักหรอกค่ะ แต่เป็นเฉียวกังไม่ใช่หรือคะที่ต้องการตรวจสอบแหวนพวกเราทุกวง ข้าจึงจำยอมต้องเอาออกมาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพวกเรา”

เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ฮั่นจุยได้มองไปที่เฉียวกังปราดหนึ่งก่อนที่จะหันหน้ากลับมาแล้วพูดอย่างสุขุม “ได้ เอาเป็นว่าของสิ่งใดที่เจ้าไม่อยากจะเอาออกมาก็ไม่ต้องเอาออกมา แค่แสดงผลลัพธ์ของการเข้าไปในเขตแดนก็พอ”

“ได้ค่ะ”

เป็นตอนนี้ที่เม่ยหลัวหลันเก็บไวน์ทั้งหมดไปพร้อมใบหน้าแดงระเรื่อเพราะกลิ่นเหล้า ก่อนที่จะนำแหวนวงที่สามออกมา

ในแหวนวงนี้มีแหวนวงหนึ่งเพียงเท่านั้น

แต่ในแหวนวงหนึ่งนี้กลับมีแหวนอีกสามวง นี่ทำให้ผู้คนเริ่มหนังตากระตุก

นั่นก็เพราะแหวนทั้งสามวงนี้มีแต่สมุนไพร

นอกจากนั้นยังมีเม็ดยาขนาดนต่างๆอีกนับสิบชนิด

เมื่อเห็นสมุนไพรนี้แล้ว ฮั่นจุยเองก็พยักหน้าอย่างยอมรับ “ไม่เลว ไม่เลว หากข้าเข้าใจไม่ผิด สมุนไพรเหล่านี้คือหนึ่งในผลลัพธ์ของพวกเจ้าสินะ”

“ใช่ค่ะ ผู้อาวุโสฮั่น ข้าในฐานะแม่บ้านประจำกองกำลังนั้นต้องจัดการทั้งสินสงครามและเก็บเกี่ยวสิ่งของให้กับทุกคน นี่คือส่วนหนึ่งที่พวกเราได้มา”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ดี เอาล่ะ ข้าชักอยากจะเห็นซะแล้วสิว่าของในแหวนวงอื่นของเจ้าเป็นอะไร”

“ได้ค่ะ”

หลังจากเก็บสมุนไพรไปแล้ว เม่ยหลัวหลันได้เปิดแหวนวงที่สี่

เป็นตอนนี้ที่ซากศพของสัตว์ประหลาดเกือบสองร้อยตัวได้ถูกเทออกมา

เมื่อดูที่ซากสัตว์ประหลาดเหล่านี้แล้ว ใบหน้าของผู้คนที่กล่าวค่อนแคะกองกำลังเทียนเว่ยก่อนหน้านี้กลับแดงขึ้นมาอย่างนึกละอาย

ด้วยคนเพียงสิบสองคนนี้ ไม่เพียงไม่สูญเสียใครไปในเขตแดน พวกเขายังได้รับวัตถุดิบในการปรุงยามากมาย ยิ่งไปกว่านั้นคือการฆ่าสัตว์ประหลาดได้เกือบสองร้อยตัว

เม่ยหลัวหลันได้เก็บซากสัตว์ประหลาดทั้งหมดกลับเข้าแหวนไปก่อนที่จะเปิดแหวนวงสุดท้าย

ในตอนนี้ไม่ได้มีของอะไรออกมามากนัก เป็นเพียงกองของสิ่งเล็กๆนิดหน่อย แต่นั่นก็เพียงพอที่สายตาของทุกคนจะเบิกกว้าง

มันมีแผ่นที่เป็นผลึกใสเปล่งประกายนับพันชิ้นอยู่รอบเธอ

เมื่อฮั่นจุย เว่ยหยวนตี้ และผู้การร่วมคนอื่นที่เห็นได้เดินเข้าไปก็พบว่าแผ่นใสพวกนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามกอง

กองแรกนี้มีมากที่สุด พวกมันมีอยู่ราวสองพัน และทุกแผ่นนั้นเต็มไปด้วยเลือด

กองที่สองนี้มีอยู่หลายร้อย แต่เมื่อเทียบกับกองแรกแล้วมันดูใหม่หมดจดราวกับเป็นของใหม่ทั้งหมด

ส่วนกองที่สามนี้เล็กกว่า มีเพียงสองร้อยกว่าแผ่นเห็นจะได้ อย่างไรก็ตาม ทุกคนในที่นี้ต่างก็ไม่คุ้นเคยกับมัน

เม่ยหลัวหลันได้ชี้ไปที่กองแรกแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสฮั่น ข้าเชื่อว่าเพียงท่านแค่มองกองนี้ดูก็ต้องเข้าใจว่าพวกมันนั้นคือแผ่นแก่นพลังงานที่พวกข้าได้มาหลังจากฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์ หนึ่งชิ้นก็หมายถึงพวกมันหนึ่งตน”

“ด้วยการที่ผู้น้อยนั้นระดับการบ่มเพาะต่ำต้อย จากจำนวนสองพันกว่าชิ้นนี้เป็นฝีมือผู้น้อยเพียงยี่สิบกว่าแผ่นเพียงเท่านั้น”

ยี่สิบเหรอ แล้วยังไงกัน

เม่ยหลัวหลันเพียงนายพลวิญญาณขั้นกลางเพียงเท่านั้น แถมยังเป็นผู้หญิงอีก ในฐานะที่เป็นเพียงแม่บ้านประจำกองร้อยกลับฆ่าพวกมันได้มากเสียยิ่งกว่านายพลวิญญาณขั้นสูงหลายๆคนด้วยซ้ำ

นี่เป็นการคุยโอ่ชัดๆไม่ใช่รึไงกัน

กับคนในกองกำลังเพียงสิบสองคนแต่กลับฆ่านายพลทักษะพิเศษได้เกินกว่าสองพัน

มีนายพลทักษะพิเศษที่เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดินั้นเจ้าคิดว่ามีอยู่เท่าไหร่กัน

มากกว่าสองหมื่นตนได้ล่ะมั้ง

เมื่อเทียบกองกำลังเผ่าพันธุ์มนุษย์กองอื่นแล้ว ต่อให้เอามารวมกันก็ยังไม่เทียบเท่ากองกำลังเทียนเว่ยเลยด้วยซ้ำ

เพียงกองกำลังเล็กๆ แต่กลับสร้างผลงานได้เหนือกว่ากองกำลังมนุษย์กองอื่นรวมกัน

ในตอนนี้นายพลวิญญาณคนอื่นๆได้มองไปที่จางหยวนด้วยสายตาที่ไม่กล้าจะดูแคลนได้แม้แต่น้อย ส่วนใหญ่แล้วไม่กล้าจะสบตาเสียด้วยซ้ำ ทำได้เพียงก้มหัวอย่างนึกละอายใจ

ท่ามกลางผู้คนนั้น เฉียวกังได้ถูกหลงลืมไปนานแล้ว

“หากข้าเข้าใจไม่ผิด กองที่สองที่มีกว่าแปดร้อยแผ่นนี้ล้วนแต่ได้มาจากมนุษย์กลายพันธุ์ที่ตกตายนั่นใช่หรือไม่”

“เป็นไปได้ว่าพวกมันเตรียมที่จะฝังแก่นพลังงานพวกนี้ไว้ในหัวของมนุษย์แล้วเปลี่ยนเป็นตุ๊กตาหุ่นเชิดของพวกมันเสียกระมัง”

“แผ่นแก่นพลังงานที่เจ้าได้มาแล้วยังไม่ถูกใช้นี้ไม่เพียงแต่จะเป็นวัตถุดิบวิจัยอันล้ำค่าของพวกเราเพียงเท่านั้น มันยังหมายถึงว่าพวกเจ้าได้ป้องกันไม่ให้เกิดสายลับอีกกว่าแปดร้อยตนในหมู่พวกเรา”

“กองกำลังเทียนเว่ยนั้นสมควรแล้วที่ถูกเรียกว่ากองกำลังแห่งผู้กล้า”

“ข้า ฮั่นจุย ในนามของผู้อาวุโสแห่งสภาสูงภาคกลางนั้นขอเป็นตัวแทนในการสรรเสริญเกียรติคุณของพวกเจ้า”

“ขอบคุณค่ะผู้อาวุโสฮั่น”

โดยไม่ต้องสงสัยว่าเพียงคำพูดที่ฮั่นจุยพูดออกมานี้ไม่เพียงจะเรียกคืนเกียรติยศกลับมาให้กลับกองกำลังเทียนเว่ยได้แล้ว นี่ทำให้พวกเขามีชื่อเสียงมากกว่าเดิมเสียอีก

“เอ่อออ แม่หนูน้อย รีบบอกข้ามาว่าไอ้แผ่นใสๆสามร้อยกว่าแผ่นนี้คืออะไรกัน”

“โอ้ สิ่งนี้….”

เม่ยหลัวหลันได้หันไปมองจางหยวนปราดหนึ่งก็เห็นเขาพยักหน้าให้ เธอจึงเริ่มอธิบาย “ผู้อาวุโสฮั่น แต่เดิมเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าแผ่นใสนั้นใช้ทำอะไรในตอนแรกเหมือนกัน”

“หลังจากลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้งหลายครา ในที่สุดคนในกองกำลังของเราก็พบว่าแผ่นพวกนี้เต็มไปด้วยพลังงานที่มากล้น”

“และเมื่อทดลองดูก็พบว่าพวกเราสามารถดูดซับพวกมันได้โดยตรง”

“แผ่นพลังงานเล็กนี้มีพลังงานที่เต็มเปี่ยมหลายท่า แม้แต่แก่นคริสตัลขุนพลขั้นสูงสองก้อนก็ไม่อาจเทียบได้”

“นี่ทำให้พวกเราเรียกมันว่าแผ่นแก่นพลังงาน”

“โอ้ แผ่นแก่นพลังงานงั้นรึ”

ฮั่นจุยได้หยิบแผ่นแก่นพลังงานแผ่นหนึ่งขึ้นมาลองดูดซับดู นี่ทำให้เขานั้นถึงกับเบิกตาโพลงในทันที

“อย่างที่เจ้าว่าจริงๆ พลังงานในแผ่นพวกนี้ทั้งบริสุทธิ์และมากล้น เหนือยิ่งกว่าแก่นคริสตัลมากมายหลายเท่า แม้แต่ราชาเช่นข้ายังสัมผัสมันได้เลยด้วยซ้ำ”

เป็นตอนนี้ ฮั่นจุยที่ถือแผ่นพลังงานอยู่ในมือนั้นได้กล่าวขอโทษออกมา “สาวน้อย ข้าขอโทษด้วยที่ทำการดูดซับมันโดยไม่บอกกล่าว เอาเป็นให้ข้าหาของมาทดแทนได้หรือไม่”

“ผู้อาวุโสฮั่น ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้มีมันมากนัก แต่พวกเราก็ยังพอมีเพื่อแผ่คนอื่นได้บ้าง เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านนำแผ่นที่ดูดซับแล้วไปเลยแล้วกัน จะถือว่าเป็นของขวัญจากกองกำลังเทียนเว่ยก็ได้ แล้วท่านก็นำไปอีกแผ่นหนึ่งเพื่อที่ว่าจะได้ช่วยให้เผ่าพันธุ์ของพวกเรานั้นพัฒนาแหล่งพลังงานที่มีคุณภาพเช่นนี้ได้บ้าง ท่านเห็นว่ายังไง”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี ข้าจะจดจำคุณงามความดีของกองกำลังของเจ้าไว้เป็นอย่างดี”

“เฮ้ออออ สิ่งของจากมนุษย์กลายพันธุ์มีคุณภาพสูงเช่นนี้นี่เอง ไม่แปลกที่พวกมันจะแข็งแกร่งกว่าพวกเรามากนัก”

เมื่อได้ยินฮั่นจุยถอดถอนลมหายใจ คนอื่นๆเองก็มีอารมณ์ที่ขุ่นมัวตามไปในทันที

“เอาล่ะสาวน้อย เก็บของของเจ้าไปได้แล้ว”

หลังจากพูดจบ ฮั่นจุยได้หันไปมองเฉียวกังอย่างเย็นชา “เฉียวกัง เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกรึเปล่า”

“ไม่เพียงกองกำลังเทียนเว่ยจะไม่มีหลักฐานอย่างที่เจ้าว่า พวกเขานั้นยังได้รับสิ่งต่างๆมากมายเกินกว่าที่นักรบทุกคนทุกกองกำลังจะได้รับมาได้เสียด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้เจ้ายอมรับความผิดพลาดของตนเองได้รึยัง”

เฉียวกังในตอนนี้ที่มีสีหน้ามืดครึ้มตั้งแต่แรกที่เห็นแผ่นพลังงานแล้วนั้น เขาไม่คิดว่าการที่เขาต้องการสร้างปัญหาให้เฉินเฉียงและจางหยวนจะกลับกลายเป็นประกาศเกียรติยศให้กับกองกำลังเทียนเว่ย

ในตอนนี้เฉียวกังได้มองไปยังเทพเจ้าเงินตราของกองกำลังอย่างหวังต้าลู่อยู่นานสองนาน ในที่สุดเขาก็คิดที่จะจับฟางเส้นสุดท้ายนี้ไว้แล้วทำการชี้ไปที่หน้าหวังต้าลู่แล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโส พวกมันยังเหลืออีกคน”

“หลักฐานของเฉินเฉียงอาจจะอยู่ที่มันก็ได้ครับ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ” หวังต้าลู่ได้หัวเราะอย่างดังลั่นพลางก้าวเดินออกมา “ดี เฉียวกัง ข้าได้รับรู้แล้วว่าเจ้านั้นเป็นพวกที่ต่อให้เห็นโลงศพก็ไม่หลั่งน้ำตา เพื่อที่จะป้ายชื่อเสียให้กัปตันของพวกเรานั้นเจ้าคิดว่าเจ้าจะทำอะไรก็ได้ ในเมื่อเจ้านั้นอยากจะตรวจสอบแหวนเก็บของของข้านั้นก็ได้ ข้ายินดีให้ตามประสงค์”

“แต่อย่างน้อยๆนะ เฉียวกังเอ๋ย ข้าเองก็คงต้องแนะนำตัวก่อน ในกองกำลังเทียนเว่ยนั้นข้าถูกเรียกว่าเทพเจ้าเงินตรา แน่นอนว่าข้านั้นเป็นผู้ที่จัดการรายได้ของกองกำลังของข้า”

“ห้ะ เทพเจ้าเงินตรา”

เฉียวกังร่างทรุดลงกับพื้นในทันทีเมื่อได้ยิน

ขนาดสิ่งของที่เม่ยหลัวหลัน ในฐานะแม่บ้านของกองกำลังถือครองไว้นั้นยังมากมายเกินกว่านักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์กว่าสองพันคนอย่างอยากจะยอมรับได้

เขาไม่คิดมาก่อนว่าคนที่ดูแลด้านการเงินของกองกำลังนั้นจะมีอยู่แล้วเป็นคนสุดท้ายตรงหน้า

ในเมื่อเขาถูกเรียกว่าเทพเจ้าเงินตรา ไม่ใช่ว่าเขานั้นตั้งมีสิ่งล้ำค่าที่น่าสะพรึงเลยรึไง

ฮั่นจุย เว่ยหยวนตี้และคนอื่นๆเองนั้นยิ่งสนใจมากขึ้นเมื่อได้ยิน ทุกคนในตอนนี้ต่างก็มองไปที่แหวนของหวังต้าลู่ในมือชนิดที่ตาไม่กะพริบ

และเมื่อหวังต้าลู่เห็นว่าคำพูดของตนเรียกความสนใจของผู้คนได้แล้ว หวังต้าลู่ก็ไม่ลังเล ก่อนที่จะยกมือขึ้นแล้วนำของในแหวนออกมา ข้างในนั้นเป็นแหวนสามวง

หลังจากเห็นแหวนทั้งสามวงของหวังต้าลู่แล้ว ทุกคนต่างก็ถอยห่างออกไปพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

“ทุกท่าน แหวนวงที่หนึ่ง โปรดดู”

ทุกคนได้หันไปมองหวังต้าลู่ ก่อนที่จะหันมองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเอ่ย

ตรงหน้าหวังต้าลู่ในตอนนี้คือแก่นคริสตัลพันกว่าก้อน

เมื่อเห็นใบหน้าที่ผิดหวังแล้ว หวังต้าลู่ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมอธิบายออกมา “ทุกท่าน แก่นคริสตัลพวกนี้นั้นมีเพียงสองร้อยกว่าก้อนเท่านั้นที่พวกเราได้มาจากการล่าในเขตแดนจักรพรรดิ ที่เหลือเป็นของที่พวกเรามีก่อนหน้านี้แล้ว”

“เอาล่ะ พวกเรารับรู้แล้ว ต่อไป”

ฮั่นจุยพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม

“ครับ ท่าน”

หวังต้าลู่ได้เก็บแก่นคริสตัลไป ก่อนที่จะเริ่มเปิดแหวนวงที่สอง

“เคร้ง…”

คราวนี้ทุกคนไม่ได้ผิดหวังแต่อย่างใด

นั่นก็เพราะมีอาวุธมากมายเทกองสูงชนิดที่ว่ามากพอจะฝังหวังต้าลู่ไว้ได้

หลังจากเดินหลบฉากออกมาจากกองอาวุธ หวังต้าลู่ก็ได้พูดออกมาอย่างภูมิใจ “อย่างที่ทุกคนรับรู้กันดีว่าในด้านการหลอมอาวุธนั้นมนุษย์กลายพันธุ์เองก็มีศักยภาพที่สูงล้ำ นี่ทำให้เวลาเราสู้กับมนุษย์กลายพันธุ์นั้นทำให้พวกเราตั้งพลาดท่าเสียทีอยู่บ่อยครั้ง เหตุผลหลักๆนั้นมาจากเรื่องนี้”

“และนี่ทำให้ในตอนที่พวกเราเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดินั้น หลังจากได้สังหารพวกมันไป พวกเราจึงได้เก็บรวบรวมอาวุธของพวกมันทั้งหมดที่ได้พบเจอ”

“จางหยวน รองกัปตันของพวกเรานั้นได้บอกว่าอาวุธเหล่านี้แม้เป็นสิ่งที่พวกเราได้รับมาจากในเขตแดน แต่มันก็มากเกินกว่าที่พวกเราจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเราจึงลงความเห็นกันว่ายามที่พวกเราออกมาได้จะมอบมันให้กับตึกจอมพลอย่างเป็นทางการเพื่อให้นักรบเผ่าพันธุ์ของเรามีอาวุธดีๆไว้ใช้”

“จางหยวน กองกำลังของเจ้านั้นช่างน่าภาคภูมิยิ่งนัก”

ในฐานะเป็นผู้การร่วมแห่งตึกจอมพลกันหนันแล้ว เว่ยหยวนตี้รู้สึกได้ในทันทีว่าในวันนี้นั้นเขาเป็นผู้การที่ได้หน้าอย่างที่สุด

หากพูดกันตามตรงแล้ว กองกำลังเทียนเว่ยเองนั้นก็ถือได้ว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ภายใต้ตึกจอมพลกันหนันเช่นกัน การที่พวกเขาแสดงศักยภาพของตนเองออกมาต่อหน้าผู้อาวุโสจากสภาสูงภาคกลางแบบนี้จะบอกว่าพวกเขาสร้างชื่อเสียงให้กับตึกจอมพลแห่งกันหนันด้วยก็ว่าได้

จากเดิมที่จ้าวลี่นั้นไม่เคยเห็นตึกจอมพลแห่งกันหนันอยู่ในสายตา มาในตอนนี้ ตึกจอมพลภาคกลางนั้นได้แต่เงยหน้ามอง

เป็นตอนนี้ที่จางหยวนได้พูดออกมาราวกับไม่ใส่ใจ “นี่เป็นสิ่งที่กองกำลังเทียนเว่ยควรทำ จะบอกว่าเป็นภารกิจหน้าที่ก็ว่าได้”

“ไม่เพียงแต่อาวุธเท่านั้น แม้แต่แผ่นแก่นพลังงานพวกนี้ที่ยึดมาได้พวกเราก็จะส่งมอบให้กับตึกจอมพลของพวกเรา”

หลังจากนั้นจางหยวนก็ได้ให้เม่ยหลัวหลันและหวังต้าลู่ส่งมอบสินสงครามตามที่ได้คุยกันไว้ต่อหน้าทุกคน

เว่ยหยวนตี้ย่อมไม่ปฏิเสธ และหลังจากได้รับสินน้ำใจนี้มาก็ได้พูดออกมา “จางหยวน พวกเจ้านั้นวางใจได้เลย ข้าจะบอกให้ผู้การหลินเฟิงของพวกเจ้านั้นมอบรางวัลให้อย่างงาม”

“หวังต้าลู่ นำสิ่งของจากแหวนวงสุดท้ายออกมาดูหน่อยสิ”

หวังต้าลู่ได้มองไปรอบๆ นี่ทำให้ฮั่นจุยและคนอื่นๆเข้าใจและเดินถอยหลังไปอีกหลายก้าว จนกระทั่งเห็นหวังต้าลู่พยักหน้า เขาก็ได้ในแหวนอีกสิบแปดวงออกมาจากแหวนสุดท้าย

ทุกคนที่เห็นแทบจะกลั้นใจมองแหวนในมือหวังต้าลู่ในทันที

“คลุกๆๆๆๆๆๆๆๆ”

หลังจากผ่านไปสิบนาที แหวนทั้งสิบแปดวงของหวังต้าลู่ก็ว่างเปล่า ทุกคนในตอนนี้ต่างตกอยู่ในสภาพตกตะลึง

หลังจากผ่านไปห้านาทีเต็ม นอกจากเสียงหอบหายใจอย่างหนักแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นอีก

นั่นก็เพราะในระยะรอบกว่าหนึ่งกิโลเมตรที่มีหวังต้าลู่อยู่ตรงกลาง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นแก่นวิญญาณที่มีความสูงกว่าห้าเมตร สูงชนิดที่ว่าบังหวังต้าลู่มิดไปสองสามรอบ

นี่มันแก่นวิญญาณมากมายขนาดไหนกัน

กองกำลังเทียนเว่ยที่มีคนในกองกำลังเพียงสิบสองคนนั้น แต่พวกเขากลับขุดเหมืองแก่นวิญญาณจนว่างเปล่าไปสิบกว่าเหมือง เรียกได้ว่าเป็นการเก็บกวาดอย่างยิ่งใหญ่

ต้องรู้ก่อนว่า แก่นวิญญาณเหล่านี้นั้น แม้แต่ระดับราชาอย่างฮั่นจุยเองก็ยังอยากได้พวกมันในการบ่มเพาะ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท