บทที่ 251 ตรงข้าม
เมื่อได้เห็นว่าทั้งฮั่นจุยผู้ซึ่งเป็นถึงผู้อาวุโสสูงแห่งสภาสูงภาคกลางนั้นมีสายตาที่แสดงออกถึงความอิจฉาอย่างที่สุด นี่ทำให้หัวใจของจางหยวนถึงกับหวั่นไหวจนต้องรีบส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณบอกหวังต้าลู่ให้รีบเก็บแก่นวิญญาณทั้งหมดในทันที
เพียงแค่ชั่วพริบตา แก่นวิญญาณมากมายถูกเก็บไปโดยหวังต้าลู่ในทันที
“จางหยวน แก่นวิญญาณที่นับไม่ถ้วนพวกนี้….พวกเจ้าขุดมาจากเขตแดนจักรพรรดิงั้นรึ” ฮั่นจุยถามออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา
เพียงสิบสองคน
หากยึดทั้งสิบสองคนนี้เป็นบรรทัดฐานแล้ว ไอ้พวกนักรบเผ่ามนุษย์ที่เหลือมันเข้าไปทำบ้าอะไรกันอยู่ในช่วงสามปีที่ผ่านมากัน
ทั้งๆที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกัน แต่ทำไมผลลัพธ์ที่ได้ช่างต่างกันโดยสิ้นเชิงขนาดนี้
จางหยวนได้พูดออกมาอย่างถ่อมตน “ผู้อาวุโสฮั่น ด้วยทักษะของพวกเราเพียงสิบสองคนนั้นจะสามารถได้รับของดีๆขนาดนี้ได้ยังไงกัน”
“เพียงแต่ว่าพวกเราทั้งสิบสองคนนั้นได้รับรู้มาว่าเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดนั้นล้วนแล้วแต่สามารถตรวจพบสายแร่แก่นวิญญาณได้อย่างง่ายดาย พวกเราจึงทำเพียงรอบตรวจสอบและเสาะหา เมื่อได้โอกาสก็ฆ่าพวกมันและฉกชิงมาเพียงเท่านั้น”
“ยังไงซะพวกสัตว์ประหลาดนั้นสามารถรับรู้ถึงพลังฟ้าดินจากแก่นวิญญาณที่แรงกล้าได้โดยตรง ส่วนมนุษย์กลายพันธุ์เองก็มีเครื่องมือในการตรวจพบ”
“สำหรับมนุษย์เช่นเราแล้วที่พอจะทำได้ก็คงมีเพียงการฉกชิงมาก่อนที่พวกมันจะไปได้เพียงเท่านั้น”
“หากเทียบกับพวกสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์แล้วนั้นบอกได้เลยว่าสิ่งที่พวกเราได้มานั้นช่างเล็กน้อยยิ่งนัก”
“ถูกต้อง เมื่อเทียบกับสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์แล้ว สิ่งที่พวกเราได้มานั้นช่างเล็กน้อยเสียเหลือเกิน”
ในตอนนี้ ฮั่นจุยที่ได้ยินก็ยังตกตะลึงไม่หาย ส่วนจางหยวนนั้นได้หันไปหาเฉียวกังแล้วตะคอกออกมา “เฉียวกัง ข้าบอกไว้แล้วเกียรติยศของกองกำลังเทียนเว่ยนั้นสูงล้ำเกินกว่าที่คนอย่างเจ้าจะมากล่าวหา”
“หรือเจ้าจะบอกว่าสิ่งที่พวกเราได้มานั้นเป็นการโกหกอีกหรือไง”
“พวกเราได้แสดงทุกอย่างที่เราได้มาอย่างที่ต้องการแล้ว แล้วเจ้าคิดจะกล่าวหาเช่นไรอีก”
“คืนความยุติธรรมให้กับกองกำลังเทียนเว่ยของข้ามาซะ”
“ข้า ในฐานะตัวแทนกัปตันกองกำลังเทียนเว่ย ในนามแห่งนายพลเว่ยหวู่ที่แต่งตั้งโดยผู้การสูงแห่งกันหนัน นามนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนเช่นเจ้าจะมาพูดจากล่าวหาได้”
จางหยวนและคนอื่นๆในกองกำลังเทียนเว่ยได้พูดออกมาอย่างพร้อมเพรียง
หลังจากอึ้งทุ่งอยู่นาน ในที่สุดเฉียวกังก็ตกอยู่ในสภาพโง่งม
เป็นไปได้จริงๆหรือที่คนที่เขาเห็นในเขตแดนจักรพรรดินั่นไม่ใช่เฉินเฉียง
แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าไม่ผิดพลาด
แต่…เขาเองก็ไม่มีหลักฐาน
ต่อหน้าฮั่นจุยนั้นเขาได้ร้องขอไปมากมายเพื่อการหาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการคงอยู่ของเฉินเฉียงในเขตแดนจักรพรรดิ
แต่ในตอนนี้นั้นเขายังหาหลักฐานไม่พบเลยสักอย่าง กลับกันยังทำให้กองกำลังเทียนเว่ยได้หน้าได้ตาเสียยิ่งกว่าเดิมอย่างมาก
มันคือสิ่งที่เรียกว่าชิงไก่ได้ก้อนกรวด
“ผู้อาวุโสฮั่น ในเมื่อทุกอย่างก็กระจ่างแล้ว โปรดช่วยพวกเรานั้นเรียกคืนเกียรติยศของกัปตันเฉินเฉียงของพวกเราด้วยเถิด”
“ผู้อาวุโสฮั่น โปรดให้ความเป็นธรรมด้วย”
จางหยวนและพวกคุกเข่าลงข้างหนึ่งพลางกล่าวถึงคำมั่นสัญญา
ฮั่นจุยในตอนนี้ได้มองไปที่จ้าวลี่ที่ในตอนนี้ทำหน้าเจี๋ยมเจี๊ยมจนไม่อาจจะกล่าวสิ่งใดได้ พลางมองไปที่หลิวตันและเว่ยหยวนตี้แล้วถามออกมา “ผู้การร่วมทั้งสาม พวกเจ้าคิดว่าควรจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดี”
หลิวตันแห่งตึกจอมพลเป่ยเชินนั้นเป็นคนที่ถูกยึดถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง เขาได้เป็นคนแรกที่พูดออกมา “เรื่องนี้ข้าเสนอให้ผู้อาวุโสฮั่นเป็นผู้ตัดสิน”
เว่ยหยวนตี้เองแต่เดิมก็คิดว่าจะแสดงความเห็นออกมาแบบหลิวตัน แต่เมื่อนึกถึงของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่จางหยวนและพวกได้มอบให้แล้ว ทำให้เขาเองก็รู้สึกได้ว่าสมควรจะต้องแสดงอะไรบางอย่างให้ผู้อาวุโสสูงได้รับรู้ไว้บ้าง
เมื่อคิดได้ดังนั้น เว่ยหยวนตี้ก็ได้หันไปมองจ้าวลี่ผู้ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาอย่างไม่อยากจะเงยขึ้นมาอีก “ผู้อาวุโสฮั่น ข้าเชื่อว่าเฉียวกังนั้นสมควรจะเป็นนายพลคนหนึ่งที่ท่านจ้าวชื่นชอบไม่น้อยเลยทีเดียว พวกเราอยากจะเห็นว่าท่านจ้าวนั้นต้องการที่จะทำยังไงกับเฉียวกังในความผิดนี้”
“อย่างไรก็ตาม การลงโทษที่บางเบาข้าเองก็เกรงว่ากองกำลังเทียนเว่ยอาจจะไม่ยอมรับได้ แต่หากหนักเกินไปกำลังพลของท่าจ้าวเองก็อาจเกิดความระส่ำระสาย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฮั่นจุยได้พูดออกมาตรงๆ “ผู้การเว่ยก็พูดเกินไป แต่ข้านั้นเห็นด้วยกับที่ท่านว่าที่ว่าให้ผู้การจ้าวตัดสินโทษ ยังไงซะเด็กนี่ก็เป็นคนของตนที่ก่อเรื่องราวอย่างใหญ่โต”
ร่างกายของจ้าวลี่ในตอนนี้ครั่นคร้าม ในทันทีเมื่อได้ยินประโยคสนทนาระหว่างเว่ยหยวนตี้และฮั่นจุย
ก็จริงที่ว่าเขานั้นถึงผู้การร่วมแห่งตึกจอมพลภาคกลาง และตำแหน่งของเขาอยู่เหนือกว่าเว่ยหยวนตี้และหลิวตัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮั่นจุยแล้ว ตำแหน่งของเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากเศษอึ
ผู้อาวุโสสูงแห่งสภาสูงภาคกลางนั้นมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการสั่งลงโทษผู้การร่วมทั้งสามยังไงตอนไหนก็ได้
หรือจะให้พูดอีกอย่างหนึ่งคือหากเขาจัดการเรื่องนี้ไม่ดี ฮั่นจุยสามารถปลดเขาออกจากตำแหน่งได้ในทันทีและตรงนี้เลยด้วยซ้ำ
ทุกอย่างนี้เป็นเพราะไอ้ระยำเฉียวกัง
เมื่อคิดได้ดังนี้ ประกายแสงเย็นยะเยียบได้อาบดวงตาของจ้าวลี่ในขณะที่หันไปมองเฉียวกังอย่างอาฆาต
เมื่อฮั่นจุยมอบชะตาของตนให้ขึ้นอยู่กับจ้าวลี่ นี่ทำให้เฉียวกังรู้สึกถึงวิกฤตในทันที
ในตอนนี้เมื่อเฉียวกังได้เห็นสายตาที่เย็นยะเยียบนี้ทำให้เฉียวกังรู้สึกเสียวสันหลังจนขนลุกขนชัน
“ท่านจ้าว ผู้อาวุโสฮั่น โปรดเมตตา ข้านั้นเห็นไอ้ตัวเวรตะไลเฉินเฉียงนั่นกับตาข้างในเขตแดนจักรพรรดินั่น โปรดเชื่อข้า มันต้องเป็นไอ้จางหยวนและพวกของมันที่คิดปกปิดและใส่ร้ายข้า”
“นี่แกยังกล้าพูดอีกเรอะ”
เมื่อได้ยินว่าประโยคที่พูดออกมานี้ยังคงเป็นการกล่าวหาเฉินเฉียงและพวกอย่างที่สุด จ้าวลี่ผู้ซึ่งอยู่ในระดับราชานักรบได้ใช้วิธีการของราชาโจมตีเฉียวกังจนทำให้กระอักเลือดและบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ฮั่นจุยนั้นได้ยกเรื่องนี้ให้จ้าวลี่จัดการแล้ว แต่ฮั่นจุยก็ไม่คิดว่าเฉียวกังกลับไม่คว้าโอกาสรอดนี้ไว้ในวาระสุดท้าย
ฮั่นจุยในตอนนี้มีสีหน้าที่นิ่งเรียบและพูดออกมาอย่างเย็นชา “เฉียวกัง ข้านั้นให้โอกาสเจ้ามากมายหลายครั้ง แต่ยิ่งข้าให้โอกาสเจ้า แต่เจ้ากลับยิ่งดึงข้าให้ถลำลึกมากขึ้นไปเรื่อยๆ”
“เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว ทุกครั้งที่เจ้าดึงให้ข้าถลำลึก เจ้ากลับทำให้ข้าผิดหวังซ้ำไปซ้ำมา กับตัวตนเล็กๆเช่นเจ้านั้น ไม่เพียงจะกล้ากล่าวหาเฉินเฉียงอย่างไม่มีหลักฐานอะไรเลยแล้ว ยังมีหน้ามากล่าวหากองกำลังเทียนเว่ยที่เป็นหนึ่งในกองกำลังชั้นยอดของเผ่าพันธุ์ให้แปดเปื้อนอย่างที่สุด”
“บาปของเจ้านั้นต่อให้สวรรค์จะให้อภัย แต่ข้าในนามของเผ่าพันธุ์แล้วนั้นไม่อาจให้อภัยเจ้าได้”
“หรือว่าเจ้าคิดว่าพวกเราไม่รู้จักเฉินเฉียงกัน”
“ความจริงแล้วข้าเองก็อยากจะให้โอกาสเจ้ากลับตัวคิดใหม่ทำใหม่ แต่เป็นตัวเจ้าที่ไม่ยอมคว้ามันเอาไว้”
“ให้ข้าบอกเจ้าตามตรงเลยนะว่าเมื่อสามปีก่อนนั้นน่ะ เจ้าคงจำได้ว่านอกจากข้าแล้วยังมีผู้อาวุโสถงและผู้อาวุโสเทีย”
“นอกจากพวกข้าแล้วยังมีผู้การร่วมอีกสามคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ พวกเราเห็นกันกับตาตัวเองว่าหลังจากพวกเจ้าได้เข้าไปหมดแล้วนั้น หลังจากประตูปิดตัวลง เฉินเฉียงยังคงอยู่ที่ด้านนอกอยู่”
“แล้วไหนเจ้าลองอธิบายมาสิว่าเฉินเฉียงที่อยู่ด้านนอกนั้น เมื่อไม่มีผู้อาวุโสสูงทั้งสามคนแล้วมันจะเอาปัญญาที่ไหนเข้าไปในเขตแดน”
เว่ยหยวนตี้และหลิวตันนั้นต่างก็พยักหน้าในทันทีแสดงออกมาว่าเห็นด้วยกับคำกล่าวของฮั่นจุย
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว เฉียวกังได้เปลี่ยนสีหน้าไปอีกครั้งก่อนที่จะฟุบหน้าลงพื้นและพูดออกมาเบาๆอย่างไม่หยุดปาก “แต่…ข้า…เห็น…มัน…จริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ยังไม่คิดจะถอนความคิดนี้ ฮั่นจุยได้สบถออกมาในทันที “ฮึ่ม ไอ้หมาไร้ค่า เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสสูงทั้งสามและผู้การร่วมอย่างพวกเราจะตาถั่วขนาดนั้นเลยรึไงกัน”
“เจ้าคิดว่านักรบในระดับราชานักรบและราชาเทพสงครามนั้นจะไม่อาจเทียบเฉินเฉียงที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางไปได้”
“หากพวกเราทั้งหกไม่ได้เป็นผู้เปิดประตูให้เฉินเฉียงเข้าไป เจ้าคิดว่าเฉินเฉียงตัวคนเดียวจะเข้าไปเองเช่นนั้นรึ”
“ผู้การจ้าว ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรเสียเวลาในเรื่องนี้อีกต่อไป”
“หลังจากเสร็จเรื่องนี้แล้ว ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการอยู่อีก”
เมื่อพูดจบ ฮั่นจุยไม่แยแสต่อจ้าวลี่และเฉียวกังอีกต่อไป
นี่ทำให้จ้าวลี่ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาได้ยกฝ่ามือขวาขึ้น แล้วอัดกระแทกไปที่ร่างของเฉียวกังจนตกตาย
กับคนตัวเล็กๆที่ไม่เคยสร้างคุณงามความดีอะไรแต่กลับกล้าก่อเรื่องถึงเพียงนี้…สมควรจะต้องตกตาย
เมื่อเห็นว่าตัวปัญหาอย่างเฉียวกังถูกกำจัด สมาชิกในกองกำลังเทียนเว่ย เว่ยฉิงเชินและหลู่ฟางต่างถอดถอนลมหายใจ
“ผู้อาวุโสฮั่น พวกเราจะกลับกันเลยหรือไม่” เว่ยหยวนตี้เป็นคนแรกที่ถามออกมา
“ไม่”
ฮั่นจุยยกมือขึ้นห้ามแล้วพูดออกมา “เรื่องของเฉียวกังมันเป็นเรื่องเล็ก เรายังมีเรื่องใหญ่ที่ต้องจัดการอยู่”
“ผู้อาวุโสฮั่นหมายถึง….เรื่องเกี่ยวกับบันไดสู่สรวงสวรรค์ใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง”
ฮั่นจุยพูดออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ในช่วงหลายร้อยปีมานี้ พวกเราทั้งสามเผ่าพันธุ์ต่างก็เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิอย่างนับครั้งไม่ถ้วน แต่พวกเราไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครที่รับรู้ความลับของบันไดสู่สรวงสวรรค์มาก่อน”
“แต่ฟังจากที่เฉียวกังและจางหยวนได้พูดออกมานั้น มั่นใจได้ว่าผู้ที่รับรู้ความลับนี้จะต้องเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อย่างแน่นอน”
“ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าแม้ทั้งสามเผ่าพันธุ์จะมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกันไป แต่ยังไงซะทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นต่างก็รักษาดุลยภาพต่อกันมาโดยตลอด”
“แต่การรับรู้ถึงความลับของบันไดแห่งสรวงสวรรค์นี้จะทำให้ดุลยภาพนั้นพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง”
“และอาจแย่ไปกว่านั้นคือไอ้พวกที่รู้ดันเป็นมนุษย์กลายพันธุ์เสียอีก”
“หากเราไม่รีบจัดการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนล่ะก็ เผ่าพันธุ์ของเราและสัตว์ประหลาดนั้นย่อมตกกลายเป็นข้าทาสของมนุษย์กลายพันธุ์ในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย”
ผู้อาวุโสถงและผู้อาวุโสเทียผู้ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนั้นได้พูดเสริมขึ้นมา “ผู้อาวุโสฮั่นพูดได้ถูกต้องแล้ว เรื่องนี่เกี่ยวกับความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ พวกเราไม่อาจปล่อยให้มันล่วงเลยไปมากไปกว่านี้”
“กับเรื่องนั้น….ผู้อาวุโสทั้งสามคิดเห็นเป็นเช่นไร”
เป็นตอนนี้ที่มุมปากของฮั่นจุยได้ยกตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดออกมา “ไม่ต้องกังวล ยังมีผู้ที่ร้อนรนไม่น้อยไปกว่าเราอยู่ พวกเราแค่ต้องรออีกสักพัก ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานพวกนั้นก็จะมาถึง”
เมื่อหลิวตันได้ยินก็ถลึงตาโตแล้วพูดออกมา “ข้าเข้าใจแล้ว ผู้อาวุโสหมายถึง…”
แต่ก่อนที่หลิวตันจะได้พูดจบ กำไลสื่อสารของฮั่นจุยก็ได้ดังขึ้นมา
“หึหึหึ พูดถึงก็มาแหะ”
ฮั่นจุยได้เปิดกำไลสื่อสารออกดู ก่อนที่จะรีบหันไปพูดกับเว่ยหยวนตี้และผู้การคนอื่น “ออกคำสั่งให้ทุกคนขึ้นเรือมังกรบินซะ เป้าหมายของเราคือตีนเขาเอเวอเรสต์ฝั่งใต้”
ตีนเขาเอเวอเรสต์ในตอนนี้นั้นถูกแบ่งออกเป็นสามฝั่ง หรือก็คือทางเขาทั้งสามตำแหน่ง
ตำแหน่งทางเข้าของมนุษย์นั้นอยู่ในฝั่งเหนือ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นของสัตว์ประหลาด
ส่วนด้านขวานั้นเป็นของมนุษย์กลายพันธุ์ที่พึ่งจะปิดลงไป และในตอนนี้เหลือเพียงมนุษย์กลายพันธุ์เพียงไม่กี่ตนที่ได้เห็นเฉินเฉียงนั้นคงอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิไม่ได้ออกมา ส่วนกับเผ่าพันธุ์อื่นนั้นไม่ได้รับรู้ในเรื่องนี้
ทุกครั้งที่ประตูทางเข้าของมนุษย์กลายพันธุ์ปิดตัวลง อีกตัวแทนของสองเผ่าพันธุ์จะมาคุยสรุปผลกันที่นี่
เพียงแต่ว่าในตอนนี้ ทางฝั่งมนุษย์กลายพันธุ์นั้นยังคงสับสนอลหม่านกันอยู่
หนึ่งในผู้ที่ก่อความวุ่นวายนั้นคือผู้อยู่ใต้อาณัติของหลินไฮ่หวัง หลิวเฟิง อีกฝั่งหนึ่งคือหยานเสวี่ยและราชาสวรรค์
“ท่านหลินไฮ่หวัง ตอนที่พวกเราปีนบันไดสู่สรวงสวรรค์นั้น คนใต้อาณัติของราชาสวรรค์ที่ชื่อหลิวหลางนั้นไม่เพียงจะทำให้น้องสองของผู้น้อยตกตายเพราะกฎของเขตแดนแล้ว มันยังดุด่าว่ากล่าวท่านและบอกว่าราชาสวรรค์นั้นรังเกียจท่านมาเนิ่นนานจนต้องการกำจัดให้สิ้น”
“หลิวเฟิง นี่เจ้ากล่าวหาพวกเราชัดๆ” หยานเสวี่ยได้พูดออกมาอย่างแค้นเคือง “นี่เป็นเรื่องเพียงฝั่งเจ้าเท่านั้น ไอ้คนที่เชื่อนั่นคงจะโง่บรมเต็มที”
“แต่ก็ยังมีความจริงที่ทุกคนต่างเห็นและรับรู้ก็คือในตอนที่ออกจากเขตแดนจักรพรรดินั้น เจ้าและคนของเจ้าอีกหกคนโจมตีหลิวหลางและข้า ไม่เพียงคนใต้อาณัติของเจ้าจะเล่นงานข้าจนบาดเจ็บสาหัสแล้วเจ้ายังกีดขวางไม่ให้พวกข้าออกจากเขตแดนนั่นอีก มีผู้คนมากมายที่เห็นและรับรู้เรื่องนี้ เจ้าคิดว่าจะอธิบายยังไง”
“หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าหยุดเข้าไว้ล่ะก็ หลิวหลางคงไม่ต้องซ่อนตัวจนหมดเวลา ที่เขาออกมาไม่ได้ก็เพราะพวกเจ้า”
“ว่าไงนะ หยานเสวี่ย เจ้าพูดว่าหลิวหลางยังคงอยู่ในเขตแดนนั่นงั้นเหรอ” เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว ไอปราณสีดำของราชาสวรรค์ก็ได้พวยพุ่ง แสดงออกมาให้เห็นว่าเขานั้นกำลังโกรธจัดอย่างที่สุด
เมื่อถูกเปิดโปงการกระทำของตนออกมาในตอนนี้โดยหยานเสวี่ยแล้ว หลิงเฟิงเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาข้อแก้ตัวยังไงดี เป็นตอนนี้ที่มันคิดอะไรบางอย่างได้จึงได้หันไปหาคนใหญ่คนโตของมนุษย์กลายพันธุ์แล้วรีบพูดออกมา “เรียนผู้อาวุโสหลี่ เหตุผลที่ผู้น้อยทำเช่นนั้นเป็นเพียงเพราะต้องการนำตัวหลิวหลางที่รับรู้ความลับของบันไดสู่สรวงสวรรค์ไปยังหอผู้อาวุโสเพียงเท่านั้นจึงได้คิดทำการหุนหันไป”
ผู้อาวุโสหลี่ที่นิ่งเงียบอยู่นาน เมื่อได้ยินแล้วก็ได้ถลึงตากว้างแล้วรีบพูดออกมา “หลิวเฟิง เจ้าพูดว่าบางคนในมนุษย์กลายพันธุ์ของพวกเรานั้นสามารถเข้าถึงความลับของบันไดสู่สรวงสวรรค์ได้ เป็นความจริงงั้นรึ”
“จริงครับ ผู้อาวุโสหลี่ นักรบจากสามเผ่าพันธุ์นั้นมีเพียงหลิวหลางผู้ซึ่งอยู่ใต้อาณัติของราชาสวรรค์เท่านั้นที่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้”
“แต่เดิม หลิวหลางเองต้องการจะกลับมาพร้อมข้า แต่ก็ถูกหลิวเฟิงและพวกไล่ตามอย่างไม่ลดละ ในตอนท้ายแล้วหลิวหลางจึงได้ใช้โอกาสอันน้อยนิดเพียงส่งข้าออกมาได้เพียงเท่านั้น ส่วนตัวเขาถูกหลิวเฟิงและพวกบังคับให้ติดค้างอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิ”
“ท่านผู้อาวุโสหลี่ ท่านโปรดช่วยหลิวหลางด้วย”
“ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ไม่เพียงความลับที่หลิวหลางถือครองอยู่นี้ แม้แต่หน้าที่ที่ข้ามอบหมายให้หลิวหลางทำที่ยังไม่เสร็จสิ้นจะต้องล้มครืน และนั่นจะทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเราต้องสูญเสียอย่างมาก”
“หลินไฮ่หวัง ก่อนหน้านี้ข้าได้ส่งหลิวหลางไปในฐานะสายลับในหมู่มนุษย์ ไม่เพียงเขาจะมีทักษะที่เลิศล้ำ ความรวดเร็วของเขายังสูงหาใครเปรียบ แต่เขาต้องไปจมปลักอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิเพราะคนของเจ้าคิดเอาความดีความชอบ”
“หากเจ้าไม่อธิบายเรื่องนี้ล่ะก็ ข้า ราชาสวรรค์ผู้นี้รับรองเลยว่านับจากนี้คนใต้อาณัติทุกคนของเจ้าจะเป็นศัตรูกับเกาะเทียนลี่ของข้า”
“ราชาสวรรค์ สิ่งที่หลิวเฟิงพูดมันก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่รึไง จริงสิ ไม่ใช่ว่าหลิวหลางที่เป็นคนของเจ้าพูดออกมาว่าเจ้าไม่ชอบขี้หน้าข้าอยู่แล้วนี่ นี่หมายความว่าเจ้าอยากจัดการข้ามาโดยตลอดสินะ”
“ในเมื่อพวกเราทำอะไรก็ไม่เคยลงรอยกันแล้ว งั้นเจ้าก็ไม่ต้องทำอะไรโง่ๆและไร้สาระอย่างหาว่าใครเป็นแมวและใครเป็นหนูแล้วกระมัง”
“เจ้าอยากจะพูดอะไรก็แล้วแต่เจ้า แต่หากจะให้ข้า หลินไฮ่หวังผู้นี้ยอมทำตามที่เจ้าพูดล่ะก็ ข้าคงไม่ต่างไปจากลูกอีตัวล่ะวะ”
เมื่อได้กลิ่นของเขม่าดินปืนระหว่างราชาสวรรค์และหลินไฮ่หวังแล้ว ผู้อาวุโสหลี่รีบเข้ามาห้ามปรามในทันที “หลินไฮ่หวัง หลิวเฟิงนั้นมีเรื่องอยู่กับหลิวหลางอยู่ก่อนแล้ว อย่าไปเชื่อคำของมันให้มากนัก”
“ยังไงซะทั้งเจ้าและราชาสวรรค์ต่างก็เป็นกระดูกสันหลังของมนุษย์กลายพันธุ์ หากเกิดศึกภายในโดยเฉพาะกับเจ้าทั้งสองคนล่ะก็ มันจะกลับกลายเป็นประโยชน์ของพวกมนุษย์และสัตว์ประหลาด”
“ข้าว่าพวกเจ้าทั้งสองใจเย็นลงก่อนดีกว่า อย่าปล่อยให้เรื่องเล็กๆมาทำให้พวกเจ้ามาขัดแย้งกันแบบนี้”
“เรื่องเล็กเหรอ ท่านผู้อาวุโสหวัง หลิวหลางคือคนจากเกาะเทียนลี่ของข้า หากไม่ใช่เพราะคนของหลินไฮ่หวังอยากได้หน้าจนตัวสั่นล่ะก็ ป่านนี้หลิวหลางก็ออกมาอยู่ต่อหน้าท่านแล้วด้วยซ้ำ และนั่นจะทำให้ความลับของหลิวหลางที่ถือครองอยู่นั้นถูกใช้โดยพวกเรามนุษย์กลายพันธุ์อย่างแน่นอน และการทำให้มนุษย์และสัตว์ประหลาดเป็นข้าทาสของพวกเรานั้นอยู่อีกไม่ไกลเกินเอื้อม”
“แต่ในขณะที่เราจะคว้าสิ่งนั้นไว้ได้ หลิวหลางของข้ากลับถูกคนของหลินไฮ่หวังที่ครั่นคร้ามอยากได้หน้าจนตัวสั่นจนต้องถูกบังคับให้ติดอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิแบบนี้ บอกข้าสิว่าท่านอยากจะให้ข้าทำยังไง”
“ที่เจ้าว่ามามันก็ถูก งั้นข้าขอฟังความเห็นของเจ้าหน่อยก็แล้วกัน”
“หึ หากถามข้าล่ะก็ ไอ้หัวโจกที่คิดร้ายต่อเผ่าพันธุ์แบบนี้สมควรตาย”
“ส่วนไอ้หกตัวที่ไม่รู้ดีรู้ชั่วนั่นก็สมควรจะตกตายไปไม่ต่างกัน”
“ราชาสวรรค์ อย่าให้มันมากนัก หากเจ้ากล้าแตะต้องคนของข้าล่ะก็เก่งจริงก็ลองดู” หลินไฮ่หวังเมื่อได้ยินและรีบออกหน้าแล้วก้าวขึ้นหน้ามาประจันหน้ากับราชาสวรรค์
“แปะแปะแปะ พี่หลี่ ทางฝั่งของท่านนี่ช่างครึกครื้นเสียจริง ว่าแต่กำลังมีเรื่องสนุกอันใดอยู่กันล่ะเนี่ย”
ในขณะที่ราชาสวรรค์และหลิวไฮ่หวังกำลังจะลงไม้ลงมือกันนั้นเองก็ได้มีเสียงหนึ่งปรากฏขึ้นมา