ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 256 กลืนกินเลือดปีศาจ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 256 กลืนกินเลือดปีศาจ

เมื่อมองไปในร่างของตนด้วยกระแสจิตแล้วนั้น เขาได้พบเข้ากับลูกบอลสีดำเล็กๆจำนวนนับไม่ถ้วนในเลือดของเขา

ฉิบหาย

หรือว่านี่คือที่มาของเครื่องหมายคำถามในชื่อสายเลือดของเขา

…..หรือไม่ก็….

เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงจดจำได้ถึงแท่งกระดูกสีดำที่เขาเผลอดูดซับมาในเขตแดนลับแห่งนั้น

ทักษะกลืนกินเลือดปีศาจ……งั้นเหรอ

เลือดที่ว่านี่หมายถึงกำลังถูกเลือดปีศาจกลืนกินงั้นหรอกเรอะ

สายเลือดดั้งเดิมของเขาก่อนหน้านี้นั้นคือสายเลือดโกลาหลแรกกำเนิด(ขั้นต้น) มันคือสายเลือดที่หลอมรวมทุกสายเลือดที่ปรากฏโดยพลังฟ้าดิน อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะได้รับสายเลือดเพิ่มเติมในการดูดซับซากร่างที่ไม่ได้ตั้งใจแบบนี้ โดยเฉพาะมันเป็นเลือดของปีศาจที่มีสีดำทมิฬ

ไม่ว่ามันจะเป็นสายเลือดของตัวอะไรก็ตาม แต่ในตอนนี้มันคือสายเลือดของเขา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาหน้าซีดเผือดอย่างที่สุดนั่นก็คือเจ้าเลือดสีดำของปีศาจนี้กำลังพยายามแทนที่สายเลือดโกลาหลของเขา

หากเป็นคนธรรมดาล่ะก็ เมื่อพบว่ามีบอลสีดำอยู่ในสายเลือดล่ะก็ คงจะปล่อยมันทิ้งไว้ให้แทนที่ไปจนหมด

แต่ความรู้สึกที่ราวกับเข็มทิ่มแทงนี้นั้นเกิดจากการที่มีลูกบอลสองลูกที่อยู่ในช่วงอกของเขาที่ไปปิดกั้นเส้นเลือด ส่งผลให้เลือดของเขาไปเลี้ยงทั่วร่างกายไม่ได้

และนี่เป็นผลที่เกิดจากบอลสีดำเล็กๆเท่านั้น

นี่ทำให้เขารู้สึกได้ราวกับว่ากำลังต่อสู้กับศัตรูที่ต้องการจบชีวิตของอีกฝ่ายได้โดยที่ไม่ต้องต่อสู้เลยทีเดียว

เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงถึงกับเหงื่อตกในทันใด

และด้วยสถานการณ์เป็นตายแบบนี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะแก้ไขปัญหาภัยเงียบนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้

หลังจากที่ใช้กระแสจิตของตนตรวจสอบร่างกายจนทั่วแล้ว เฉินเฉียงได้ประเมินคร่าวๆได้ว่ามีบอลสีดำอยู่ในร่างประมาณพันลูก

ด้วยการที่เลือดในร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจหยุดไหลเวียนได้ เมื่อถึงจุดหนึ่ง บอลสีดำเหล่านี้จะไหลไปถึงหัวใจของเขา และส่งผลต่อชีวิตของเขาอย่างแน่นอน

และเผื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์นั้น เขาทำได้เพียงขับมันออกมาเพียงเท่านั้น

หลังจากสงบสติลงแล้ว เฉินเฉียงได้บังคับกระแสจิตของตนให้คอยผลักเลือดสีดำให้ไปอยู่ที่มือซ้ายของตน

กระบวนการนี้คล้ายคลึงกับตอนที่เขาใช้เคล็ดวิชาหลอมเลือดทำลายล้างที่ใช้เลือดของตนในการเปิดจุดชีพจร ถ้าจะให้พูดก็คือตราบใดที่มันเป็นเลือดและพลังสายเลือดของเขามันย่อมใช้ได้ผล

สิ่งที่แตกต่างกันก็คือเจ้าบอลสีดำนี้มันใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่ได้คิดจะใช้มันในการเปิดจุดชีพจรแต่เป็นการผลักมันออกไปที่ส่วนปลายของเส้นเลือดแทน และนี่ทำให้นิ้วก้อยมือข้างซ้ายของเขากลับกลายเป็นสีแดงฉานเสียไม่ได้

และด้วยจำนวนลูกบอลสีดำที่มากล้นนี้เอง พลังจิตของเฉินเฉียงที่ใช้ก็แทบจะแห้งเหือดเลยทีเดียว

หลังจากเขาได้ลองดูแล้วก็พบ หากเขาต้องการจะผลักเจ้าลูกบอลสีดำนี้เพียงหนึ่งลูกด้วยวิธีการนี้ล่ะก็ นี่ขนาดเขาใช้เวลาไปกว่าครึ่งวันพร้อมพลังจิตที่สูญเสียไปมากมาย แต่กระนั้น เขาก็ยังขับมันออกไปได้ไม่สำเร็จ หากเป็นแบบนี้ต่อไปแล้วล่ะก็ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะขับพวกมันออกไปได้หมดเมื่อไหร่

เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วเขาจึงไม่อาจเสียเวลาทำมันได้อีก เขาจึงเลือกอีกวิธีหนึ่งแทน

เขาได้ทำการบังคับกระแสจิตของตนผลักเจ้าลูกบอลสีดำอีกครั้ง

หลังจากผ่านไปเกือบทั้งวัน เขาก็สามารถผลักลูกบอลสีดำนี้ไปจุดชีพจรที่ยี่สิบเจ็ด

จุดชีพจรจุดนี้เป็นจุดที่เฉินเฉียงพึ่งจะเปิดไป ถึงแม้ในจุดชีพจรนี้จะเต็มไปด้วยพลังสายเลือดของเขาไปแล้ว แต่ในตอนนี้เขาคิดว่าจะใช้จุดนี้ในการเก็บเจ้าลูกบอลสีดำนี้แทน

เมื่อคิดถึงเรื่องที่ว่าเจ้าเลือดสีดำนี้เป็นหนึ่งในทักษะของเขาแล้วล่ะก็ การเก็บมันเอาไว้เป็นที่เป็นทางก็อาจจะดีกว่าก็ได้

ถึงแม้ว่าเขานั้นจะยังไม่รู้ว่าเลือดปีศาจสีดำเหล่านี้จะใช้ทำอะไรได้บ้าง แต่ในวันหนึ่งเขาก็เชื่อว่ามันจะมีประโยชน์กับเขา

ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากวิธีการนี้จะช่วยไม่ให้เจ้าลูกบอลสีดำนี่กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว เขายังเชื่อว่าเลือดสีดำนี้จำเป็นต่อการใช้ทักษะกลืนกินเลือดปีศาจ

หลังจากผลักบอลสีดำลูกหนึ่งไปไว้ที่จุดชีพจรที่ยี่สิบเจ็ดได้สำเร็จ หลังจากนั้นเขาก็รีบทำแบบนี้อีกกลับลูกบอลสีดำลูกต่อไป

เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และหลังจากเคลื่อนย้ายบอลสีดำลูกสุดท้ายไปไว้ในจุดชีพจรจุดนี้ได้ ด้วยการที่พลังจิตของเขานั้นเกือบหมดสิ้นซ้ำไปซ้ำมาจนในที่สุด เมื่อเก็บบอลสีดำลูกสุดท้ายเสร็จแล้ว ค่าพลังจิตของเขาก็ได้กลายเป็นศูนย์จนได้

ฝู่….

เมื่อได้มองเห็นบอลดำลูกสุดท้ายถูกเก็บเอาไว้ได้แล้ว เฉินเฉียงก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมาได้ในที่สุด

การที่เขาต้องเสียเวลาเปล่าไปสองเดือนแบบนี้นั้น เขาทำได้แต่โทษตัวเองเท่านั้นที่มีค่าพลังจิตที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องเสียเวลามากมายขนาดนี้

….สองเดือน….

ฉิบหายล่ะ

ไม่ดีแล้ว

เฉินเฉียงพึ่งจะนึกออกว่าตนนั้นได้ให้คำมั่นกับหยานเสวี่ยไปว่าจะไปพบเธอที่ทะเลแดนใต้ตั้งแต่เดือนก่อน

สิ่งที่ทำให้เฉินเฉียงกังวลนั้นไม่ใช่หยานเสวี่ย แต่เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังของเธออีกที ราชาสวรรค์

หากราชาสวรรค์หาเขาไม่พบล่ะก็ เขาคงไม่ถือโทษโกรธเคืองจนเอาไปลงกับกองกำลังของเขาหรอกกระมัง

แต่เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขานั้นก็ต้องไปพบราชาสวรรค์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้

นั่นก็เพราะเขามีหลายเรื่องที่ต้องการให้ราชาสวรรค์แนะนำเขา

นี่คงได้เวลาที่เขาจะออกไปแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนั้น เฉินเฉียงได้ยืนขึ้นมา ก่อนที่จะบินตรงไปยังจุดที่เคยเป็นทางออกจากเขตแดนจักรพรรดิของมนุษย์กลายพันธุ์ ก่อนที่จะใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาแล้วกลับไปยังโลกภายนอกได้อีกครั้ง

สามปีที่ผ่านพ้น ในที่สุด เฉินเฉียงก็ได้กลับออกมาสูดอากาศของโลกภายนอกได้อีกครั้ง และนี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะโล่งใจ

“ฮื้ม”

เฉินเฉียงมองไปทิศทางหนึ่งด้วยคิ้วขมวดแน่น

ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เฉินเฉียงนั้นรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจับตาดูเขาอยู่

มันเป็นความรู้สึกที่ราวกับโดนมีดจ่อคอเอาไว้จนทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายไปมาอย่างที่สุด เขารู้สึกว่าทุกความเคลื่อนไหวของเขานั้นถูกจับตามองโดยใครบางคน

ถึงแม้เขาจะได้ดูดซับพลังจากเหยี่ยวดารามาจนสามารถทำให้มองได้เห็นไกลนับพันเมตร ทั้งๆที่ในระยะพันเมตรนี้เขาควรจะมองเห็นได้แม้แต่มด นี่ยังไม่รวมถึงกระแสจิตของเขาที่สามารถตรวจสอบไปได้กว่าสองพันเมตร

แต่กระนั้น ภายในระยะสองพันเมตร เขาก็ยังไม่พบสิ่งใดที่ผิดปกติ แม้จะรู้ว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ความรู้สึกราวกับถูกมีดจ่อนี้ก็ยังไม่หายไป

ไม่ดีแล้ว

ที่นี่ไม่ปลอดภัย

เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงได้กางปีกของตนเอง กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม ก่อนที่จะพุ่งตรงไปที่เขตแดนทะเลใต้

บนยอดเขาเอเวอเรสต์ ชายวัยกลางคนสองคนได้มองหน้ากันอย่างประหลาดใจ

“พี่สาม ไอ้เด็กนั่นออกมาจากไหนกัน”

เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้ว แต่ปากของชายอีกคนยังคงปิดสนิทอยู่พักหนึ่งแล้วพูดออกมา “ใครจะไปรู้ฟะ”

“เรื่องนั้นช่างมันก่อน แต่ดูเหมือนว่าไอ้เด็กนี่จะมีพลังจิตแกร่งกล้านัก หากพวกเราขึ้นมาอยู่บนฟ้าไม่ทันล่ะก็ ปานนี้พวกเราคงโดนตรวจพบไปแล้ว”

“เป็นเพียงแค่นายพลทักษะพิเศษขั้นสูงแต่กลับมีพลังจิตที่สูงล้ำแบบนี้ ดูเหมือนว่าไอ้เด็กนี่จะมีความสามารถพอที่จะค้นพบความลับของเขตแดนจักรพรรดิอยู่นะ แต่ไอ้การที่มันออกจากเขตแดนจักรพรรดิได้โดยไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือจากคนนอกเขตแดนนี่มันก็ยากที่จะอธิบายอยู่ดี”

“พี่สาม ท่านจะไม่กลับไปรายงานให้กับพี่ใหญ่รู้ก่อนเหรอ”

“ไม่ต้องหรอก เอาเป็นเราลองตามเด็กนี่ไปดูก่อนก็แล้วกัน”

หลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้ว ชายวัยกลางคนทั้งสองก็ลอยตามเฉินเฉียงไปอย่างช้าๆ

ในขณะเดียวกันนั้นเองที่เกาะเทียนลี่

“นายท่านราชาสวรรค์ ข้าทาสคนนี้รู้สึกได้ว่าเฉินเฉียงออกจากเขตแดนจักรพรรดิแล้วค่ะ”

ราชาสวรรค์เมื่อได้ยินก็รีบออกจากห้องของตนแล้วถามออกมาอย่างตื่นเต้นยินดี “หยานเสวี่ย เฉินเฉียงออกมาแล้วรึ เขาอยู่ไหนแล้วล่ะ”

“ข้าทาสคนนี้รู้สึกได้ว่าทันทีที่เขาออกมาเขาก็มุ่งไปสู่เขตทะเลใต้ในทันทีค่ะ ถึงแม้เขาจะออกมาช้ากว่ากำหนดแต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังคงรักษาสัญญาอยู่”

“ฮ่าฮ่าฮ่า หยานเสวี่ย เจ้ามากับราชาผู้นี้ ไปพาเขามาที่เกาะเทียนลี่ด้วยกัน”

เมื่อพูดจบ ราชาสวรรค์ก็ได้ใช้หมอกไอดำคลุมร่างของหยานเสวี่ยเอาไว้แล้วไปปรากฏที่น่านฟ้าเหนือเขตทะเลแดนใต้ในทันที แล้วรีบพุ่งตรงไปหาเฉินเฉียง

เฉินเฉียงที่ยังคงบินอยู่นั้นเขาเองยังรู้สึกได้ว่ายังคงมีคนติดตามเขาอยู่ เขานั้นใช้ทั้งทักษะอินทรีย์สยายปีกบวกกับทักษะหลบหนีแสงระดับสี่พร้อมเคลื่อนย้ายพริบตาไปแล้ว ทำแม้แต่เปลี่ยนเส้นทาง แต่หลังจากลองอยู่นานเป็นชั่วโมง ความรู้สึกนี้ก็ยังคงไม่หายไป

ส่วนชายวัยกลางคนสองคนนั้น เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงใช้ทักษะที่แปลกประหลาดมากมายเพื่อสลัดให้หลุดจากเขาทั้งสองก็ทำให้ทั้งสองอดที่จะเปิดตากว้างจ้องมองเสียไม่ได้

“พี่สาม เจ้าเด็กนี่มีประสาทที่แหลมคมไม่เบาเลยทีเดียวถึงขนาดรับรู้การจับจ้องของพวกเราสองคนได้ นี่เราไม่ควรจะถอยห่างจากเขาอีกสักหน่อยเหรอ”

“หึหึหึ ไม่ต้องหรอกน้องสี่ เจ้าคิดว่าแบบนี้ไม่ดีกว่าหรอกเหรอ ข้าว่าควรจะกดดันมันอีกสักหน่อยด้วยซ้ำ ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าไอ้เด็กนี่มันทำอะไรได้บ้าง”

“ในช่วงเวลาสั้นๆนี้เจ้าเด็กนี่แสดงทักษะแปลกๆออกมาอย่างมากมาย ถึงแม้จะเป็นเพียงนายพลทักษะพิเศษขั้นสูง แต่ในความรู้สึกของข้าแล้วไอ้เด็กนี่ยังเหนือกว่าระดับกึ่งราชาซะอีก”

“ฮี่ฮี่ฮี่ พี่สามช่างฉลาดล้ำนัก มันก็จริง ข้าเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าเด็กนี่จะทำยังไงต่อ”

“รอก่อน”

“มีอะไรรึพี่สาม”

“น้องสี่ ดูสิว่าใครอยู่ข้างหน้า”

หลังจากพูดจบ ชายวัยกลางคนก็ได้ชี้ไปที่ตรงหน้าของเฉินเฉียง

เฉินเฉียงที่กำลังลอยตัวอยู่พร้อมกับคิดหาวิธีการสลัดความรู้สึกผิดปกติที่มีคนเฝ้ามองนี้ให้หลุดออกไปให้ได้นั้น เมื่อเขารู้ตัวเขาก็พบว่าราชาสวรรค์และหยานเสวี่ยกำลังตรงมาหา

ราชาสวรรค์แม้ทั่วทั้งร่างจะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกไอดำจนไม่อาจมองเห็นสีหน้าท่าทางได้ แต่เมื่อฟังจากเสียงแล้วก็รับรู้ได้ว่าเขานั้นให้มั่นใจว่าคนตรงหน้าคือเฉินเฉียง

“เฉินเฉียง เจ้านั้นรักษาคำมั่นในการมาที่นี่ เจ้านี่ไม่ทำให้ราชาผู้นี้ผิดหวังเลยจริงๆ”

-ราชาสวรรค์ ข้ารู้สึกได้ว่ามีคนติดตามข้ามา-

เฉินเฉียงรีบส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณบอกราชาสวรรค์ในทันที

และนี่เองก็ทำให้ราชาสวรรค์ตื่นตัวขึ้นมาในทันใด

ราชาสวรรค์ได้ใช้คลื่นพลังจิตของตนตรวจสอบพื้นที่โดยรอบในทันที ถึงแม้ว่าจะไม่พบสิ่งใด แต่เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อยวางการป้องกันตัว

-ไม่ต้องกังวล อย่าขัดขืน ตามข้ามา-

เมื่อพูดจบ ราชาสวรรค์ก็ได้สะบัดชายเสื้อ พร้อมกับร่างของเฉินเฉียงที่หายวับไปกลางอากาศ

หลังจากนั้น ราชาสวรรค์ก็ได้หายไปจากตรงนั้น หลังจากนั้นราชาจอมพลสองคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา

“พี่สี่ ท่านได้ยินที่ราชาสวรรค์เรียกไอ้เด็กนั่นรึเปล่าน่ะ”

“เฉินเฉียงเหรอ หึหึหึ ดูเหมือนว่าไอ้ชื่อหลิวหลางนั่นจะเป็นชื่อปลอมเสียกระมัง”

“แล้ว….ในเมื่อเขาตามราชาสวรรค์กลับไปแบบนี้จะไม่แย่หรอกเหรอนั่น”

“เอาน่า ตอนนี้กลับไปรายงานพี่ใหญ่ก่อนก็แล้วกัน”

หลังจากพูดจบ ร่างของราชาทั้งสองก็สั่นไหวและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ส่วนเฉินเฉียงนั้นเมื่อได้พบกับราชาสวรรค์แล้ว ความรู้สึกที่ถูกติดตามนั้นได้หายไปก่อนที่เขาจะได้บอกราชาสวรรค์เสียอีก

หลังจากการมองเห็นของเฉินเฉียงได้เลือนนางอย่างฉับพลันนั้น เมื่อเขารู้ตัวเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในเขตแดนที่มีขนาดประมาณหนึ่งร้อยลูกบาศก์เมตร

และเขาก็พบว่าหยานเสวี่ยและเมิ่งน้อยก็อยู่ที่นี่ด้วย

เมื่อเมิ่งน้อยได้เห็นเฉินเฉียงปรากฏตัวก็ได้กระโจนหาเฉินเฉียงและกอดเขาไว้แน่น พร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นอย่างดังระงม

“เฉินเฉียง ไม่ต้องแปลกใจ พวกเรากำลังอยู่ในโลกใบเล็กของท่านราชาสวรรค์”

ถึงแม้เฉินเฉียงจะยังไม่ได้ถามอะไรออกมา แต่เขาก็ถูกอ่านความคิดได้ในทันที

แต่นี่ทำให้เขาสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่งก็คือเขารู้สึกว่าโลกใบเล็กนี้ห่างไกลจากเขตแดนจักรพรรดิมากนัก

หลังจากผ่านไปชั่วโมงขึ้น เมื่อเฉินเฉียงและหยางเสวี่ยได้ออกมาจากโลกใบเล็กของราชาสวรรค์ก็พบว่าตอนนี้พวกเขาอยู่บนเกาะเทียนลี่ ในห้องของราชาสวรรค์

เป็นเวลากว่าสี่ปีแล้วที่เขาไม่ได้พบเจอราชาสวรรค์

ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นก็คือตอนที่เขาจับสายลับที่เตรียมจะเข้าตึกจอมพลภาคกลาง ในตอนที่เขาได้ฆ่าหลินเสี่ยวไป จนเกือบจะทำให้เขาต้องเปิดเผยตัวตน

แต่ในตอนนี้ เฉินเฉียงรู้สึกได้ว่าคราวนี้เขาคงไม่อาจจะรอดไปได้ง่ายๆเหมือนตอนนั้น

และเป็นไปอย่างที่เขาคิด นั่นก็เพราะคำถามแรกที่ราชาสวรรค์ถามออกมานั่นก็คือ “เฉินเฉียง ตกลงเจ้าไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์สินะ”

โดยไม่ต้องถามกลับ เป็นหยานเสวี่ยที่รายงานเรื่องต่างๆต่อราชาสวรรค์อย่างแน่นอน

เฉินเฉียงได้เหลือบไปมองหยานเสวี่ยในตอนนี้ก็พบว่าใบหน้าของเธอนั้นวางท่าเรียบเฉยโดยไม่รู้สึกผิดและกระดากอายเลยแม้แต่น้อย

ช่างใจหินนัก

แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เธอก็เคยช่วยเหลือเขาไว้มาก่อน

เมื่อคิดได้ว่าไม่มีสิ่งใดที่ต้องปิดบังอีก เฉินเฉียงจึงได้พยักน้อยอย่างยอมรับแล้วพูดออกมา “ข้าต้องขออภัยต่อท่านราชาสวรรค์ด้วย เป็นข้าผิดเองที่ตั้งใจหลอกลวงท่าน”

“แล้วเจ้าไม่กลัวตายเหรอ”

“กลัวตายรึ แน่นอนว่าข้าย่อมต้องกลัวเป็นธรรมดา”

“แล้วเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าเสียตรงนี้รึไงกัน”

“ฆ่าข้าเหรอ ฮี่ฮี่ฮี่ แล้วท่านจะฆ่าข้าทำไมกัน” เฉินเฉียงได้ถามออกมาในทันที

ที่เขากล้าถามออกมานั่นก็เพราะว่าเมื่อครู่ที่เขาได้พบเจอราชาสวรรค์ก่อนหน้านี้ เขาเองก็นึกเหมือนกันว่ราชาสวรรค์จะฆ่าเขา

และเขาเองก็ไม่ต้องการจะตายโดยที่มีปัญหาค้างคาใจอยู่มากมายแบบนี้

เช่นเดียวกัน กับราชาสวรรค์แล้วนั้นอย่างน้อยๆเขาก็ต้องการได้รับความลับของเขตแดนจักรพรรดิก่อน นี่จึงทำให้เขาเชื่อว่าราชาสวรรค์ต้องไม่ฆ่าเขาโดยง่ายนัก

และสิ่งที่ช่วยยืนยันความคิดนี้มากที่สุดก็คือการที่พาเขากลับมายังเกาะเทียนลี่แบบนี้

“ท่านราชาสวรรค์ ท่านคงไม่คิดจะฆ่าข้าเพียงเพราะข้าโกหกท่านหรอกกระมัง”

“หรือจะเป็นเพราะว่าข้าคือมนุษย์และท่านคือมนุษย์กลายพันธุ์ ท่านถึงคิดที่จะฆ่าข้าล่ะ”

ด้วยการที่เฉินเฉียงไม่เข้าใจที่มาของคำถามมากนัก จึงทำให้เขานั้นใช้โอกาสนี่ถามกลับไป

“หึหึหึ ตอบคำถามด้วยคำถามรึ หรือก็คือข้ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอสินะ”

“แน่นอนว่าไม่” เฉินเฉียงได้ส่งเมิ่งน้อยกลับคืนสู่หยานเสวี่ยก่อนที่จะพูดออกมาอย่างจริงจัง “ท่านราชาสวรรค์ ต่อให้ท่านอยากฆ่าข้าจริงก็คงจะมีเหตุที่ทำให้ฆ่าข้าไม่ได้อยู่กระมัง”

“ยกตัวอย่างเช่นการที่มนุษย์และสัตว์ประหลาดนั้นได้กลายเป็นศัตรูทางธรรมชาติของพวกท่านได้อย่างไร”

“อะไรเป็นสาเหตุที่ทั้งสามเมื่อเจอหน้าแล้วต้องห้ำหั่นจนตายกันไปข้าง”

“ท่านราชาสวรรค์ ข้าต้องการจะรู้ว่าไอ้ความแค้นฝังลึกที่เกิดขึ้นระหว่างเผ่าพันธุ์นี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง”

เฉินเฉียงได้พูดในสิ่งที่เขาต้องการจะรู้ในทีเดียว หลังจากนั้นก็มองไปที่ราชาสวรรค์เงียบๆเพื่อต้องการฝังคำตอบ

หยานเสวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆพลางลูบหัวเมิ่งน้อยไปมองเฉินเฉียงไปนั้นก็นึกประหลาดใจ เธอไม่คิดไม่ฝันว่าเฉินเฉียงนั้นจะไม่สนความเป็นความตายของตนแล้วกลับถามคำถามไร้สาระแบบนี้

หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือมันเป็นคำถามที่ยากจะตอบได้ล่ะมั้ง

เมื่อคิดได้แบบนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองราชาสวรรค์

หลังจากเงียบไปสักพัก ราชาสวรรค์ที่ทั้งร่างยังคงมีหมอกไอดำปกคลุมก็ได้ส่ายหัวไปมาและตอบออกไป “เฉินเฉียง ข้าเองก็ไม่อาจจะตอบคำถามของเจ้าได้”

“ข้าเชื่อว่าอย่างน้อยเจ้าก็รู้ว่ามนุษย์กลายพันธุ์นั้นไม่ได้เกิดมาโดยเป็นมนุษย์กลานพันธุ์แต่กำเนิด”

“มนุษย์กลายพันธุ์ทุกคนต่างก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือ หลังจากที่พวกเขาได้กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์มาแล้ว เกือบกว่าครึ่งของคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่บังเกิดคำถามนี้ขึ้นมา”

“ทำไมต้องสู้กับมนุษย์”

“ทำไมมนุษย์กลายพันธุ์ต้องการตัว”

“และยิ่งถามไปแล้วก็ยิ่งได้คำถามที่ไม่ได้คำตอบมากขึ้น”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท