ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 260 หลุมพราง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 260 หลุมพราง

หลังจากออกจากตึกผู้การร่วมกันหนัน เฉินเฉียงเดินไปเรื่อยๆด้วยสายตาที่ว่างเปล่าอยู่พักหนึ่ง ไม่สิ กว่าจะรู้สึกตัวก็อีกนานพอดู

-ลูกชายคนโตของฮั่นจุย นายน้อยตระกูลฮั่น ฮั่นเซียงเหรอ-

-คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉิงเชิน-

-เธอมีความสุขดีงั้นรึ-

-นี่ลุงเว่ยต้องการจะสื่ออะไรกับเขารึเปล่านะ-

เฉินเฉียงเดินไปตามทางเดินในอย่างช้าๆ จนพบเจอเข้ากลับกลุ่มคนที่ต่อแถวยาวตรงหน้าทางเข้าตึกที่ต้องการขอพบเว่ยหยวนตี้ นี่ทำให้เขานึกถึงฉากที่เว่ยหยวนตี้ปล่อยให้เขารอเกือบชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้ว นี่ทำให้เขานั้นอดที่จะยิ้มให้กับตัวเองอย่างขมขื่นเสียมิได้

เขาเองเป็นเพียงนักรบระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงเพียงเท่านั้น จะไปต่อกรอะไรกับลูกชายของผู้อาวุโสสูงกัน

ดูเหมือนว่าเว่ยหยวนตี้นั้นจะมีความคิดไต่ต้องไปสูงกว่านี้

ถ้าให้พูดกันตรงๆแล้ว เรื่องที่ว่าฮั่นเซียงผู้ซึ่งอยู่ระดับกึ่งราชาเช่นเดียวกับฉิงเชินแล้วนั้น พ่อผู้ซึ่งอยู่ในระดับราชาขุนพลย่อมต้องคิดถึงตำแหน่งในสภาสูงเป็นธรรมดา เอาจริงๆหากเลือกได้นั้นเขาก็ต้องเลือกลูกเขยดีๆอย่างฮั่นเซียงอย่างแน่นอน

เฉินเฉียงได้วางนิ้วมือลงบนกำไลสื่อสารอยู่หลายต่อหลายครั้งเพื่อพยายามที่จะส่งข้อความหาเว่ยฉิงเชินเพื่อถามถึงความในใจ

แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ปล่อยวางมันไป

หากว่าเว่ยฉิงเชินนั้นมีความชอบพอกับฮั่นเซียงอยู่จริง คำถามนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากการตอกย้ำตัวเขาไป

ต่อให้เว่ยฉิงเชินมีความคิดเกินเลยกับเขา เขาก็ยิ่งไม่ควรจะไปถามเข้าไปใหญ่ เพราะนั่นมันเท่ากับเป็นการไม่มั่นใจในตัวเธอ และนั่นจะทำให้เธอยิ่งเศร้าหมองเข้าไปอีก

ปล่อยให้มันเป็นไปแล้วกัน

เขานั้นยังมีสิ่งต่างๆที่ต้องทำมากเกินไป

เขานั้นยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับเขตแดนจักรพรรดิ ไหนจะเรื่องภารกิจของราชาสวรรค์ ไหนจะศัตรูที่วางแผนฆ่าพ่อของเขาอีก

ส่วนเรื่องของเว่ยฉิงเชินนั้น เขาคงทำได้เพียงปล่อยให้เธอเป็นคนตัดสินใจจะดีกว่า

เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงก็ได้สะบัดหัวไปมาให้ฟื้นสติ ก่อนที่จะใช้ย่างก้าวสวรรค์พุ่งตรงไปยังตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทรา

จากตึกจอมพลเขตกันหนันถึงจอมพลเหมันต์จันทรานั้น เขาพบเจอทั้งสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์ นี่ทำให้เฉินเฉียงไม่กล้าใช้ปีกสีเงินระดับเจ็ดของเขาอีก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการไล่ล่าในตัวเขา

ต่อให้เขาไม่ได้ใช้รูปลักษณ์ของหลิวหลาง แต่ปีกของเขานั้นมันเตะตาเกินไปจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเขาไปแล้ว

อย่างน้อยๆเขานั้นก็ยังไม่เห็นว่ามีมนุษย์กลายพันธุ์ตนใดมีปีกเหมือนเขามาก่อน

เหตุผลที่เป็นแบบนั้นก็คือพลังเหนือมนุษย์ปีกสีเงินนั้น สำหรับมนุษย์กลายพันธุ์นั้นไม่ได้ต่างไปจากเครื่องอำนวยความสะดวก เมื่อเทียบกับพลังที่ใช้ในการต่อสู้ ปีกสีเงินที่ถูกยกระดับมักจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีพลังปีกสีเงินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หรือจะให้บอกว่ามนุษย์กลายพันธุ์ไม่อยากจะเสียเวลาและพลังไปกับการยกระดับทักษะรองแบบนี้

นี่จึงทำให้ปีกสีเงินระดับเจ็ดของเขานั้นกลายเป็นจุดเด่นเฉพาะตัว

ตราบใดที่มีคนพบคนที่มีปีกสีเงินขนาดใหญ่ คนเหล่านั้นจะรู้ได้ในทันทีว่าเป็นเขาได้โดยไม่ต้องถามออกมา ประหนึ่งดังตอนที่เทวดาทุกคนต่างก็มองว่าเห้งเจียเป็นลิงนั่นล่ะ คนเหล่านั้นเมื่อรับรู้จะต้องรีบจับเขาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้

ยังดีที่นอกจากปีกสีเงินแล้วเขายังมีท่าเท้าก้าวย่างสวรรค์ที่เหนือล้ำยิ่งกว่า เขาสามารถก้าวย่างไปกว่าเจ็ดพันเมตรได้เร็วกว่าการบินเสียอีก

สองวันผ่านไป ในที่สุด เฉินเฉียงก็กลับมายังตึกจอมพลเหมันต์จันทรา

แต่เมื่อเขากลับไปถึงที่พักของกองกำลังเทียนเว่ย เขากลับพบว่าที่พักนั้นเงียบเชียบและว่างเปล่า แม้แต่ฝุ่นยังหนาเตอะ ไม่เห็นวี่แววใครสักคน

“นั่นมันกัปตันเฉินเฉียงไม่ใช่เหรอ”

ในขณะที่เฉินเฉียงยืนนิ่งมองเข้าไปยังห้องพักนั้น เสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมา

เมื่อเขาหันกลับไปมองตามเสียงก็จะจำได้ในทันทีเมื่อเห็นชายคนหนึ่งที่มีหนวดรกรุงรัง คนคนนี้คือกัปตันของกองกำลังที่หนึ่งและที่สอง วู่กุย

“กัปตันเฉิน ผู้การหลินเฟิงรู้ว่าเจ้ากลับมาแล้ว ตอนนี้ท่านรอเจ้าอยู่ที่ตึกผู้การ”

“กัปตันวู่ ท่านพอจะรู้หรือไม่ว่าจางหยวนและคนอื่นๆไปไหนกันหมด”

วู่กุยเมื่อได้ยินก็ถอดถอนลมหายใจแล้วพูดออกมา “กัปตันเฉิน เมื่อเจ้าเข้าไปพบผู้การหลิน ท่านจะบอกกับเจ้าเอง”

เฉินเฉียงถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำในทันทีเมื่อได้ยิน ลางสังหรณ์ร้ายได้ปรากฏขึ้นมาในใจ

เกิดอะไรขึ้นกับจางหยวนและพวกกัน

ถึงว่า ทำไมเขาถึงไม่เห็นข้อความในช่วงสองเดือนหลังเลยสักข้อความเดียว

เฉินเฉียงรีบพุ่งตรงไปยังตึกผู้การในทันที เมื่อไปถึงที่หน้าตึก หลินเฟิงก็ออกมาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง

“ผู้ใต้บังคับบัญชาเฉินเฉียง ทำความเคารพท่านผู้การ”

เฉินเฉียงรีบโค้งคำนับในทันที และรีบถามในทันใด “ผู้การหลิน กองกำลังของข้าอยู่ที่ไหนกัน”

“เอ่อ….” หลินเฟิงปากกระตุกไปเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มแหยๆออกมา “เฉินเฉียง เจ้าเนี่ยน้าจริงๆเลย พอเห็นหน้าข้าปุ๊บก็ยิงหมัดตรงปั๊บ”

“แต่ก็นะ ต่อให้เจ้าไม่ถาม ข้าก็คิดจะคุยเรื่องนี้กับเจ้าอยู่ดี”

“เฉินเฉียง หนึ่งเดือนหลังจากที่กองกำลังของเจ้ากลับจากเขตแดนจักรพรรดิแล้ว พวกเขาถูกส่งไปยังตึกอื่น”

“ตอนนี้พวกเขาสมควรจะอยู่ที่จิ้งชวน”

“จิ้งชวน….เหรอ” หลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เขาก็ได้เงยหน้าขึ้นมา “ผู้การหลิน ไม่ใช่ว่าจิ้งชวนนั่นอยู่ใต้ตึกจอมพลภาคกลางไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมจางหยวนและพวกถึงต้องไปที่นั่นกัน”

“เป็นการยืมตัวน่ะ”

หลินเฟิงถอดถอนลมหายใจอย่างตัวโยนอย่างช่วยไม่ได้ “เรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นมาจากข้อตกลงร่วมระหว่างตึกจอมพลภาคกลางกับตึกจอมพลกันหนัน นั่นทำให้ขนาดที่ข้าที่เป็นผู้การของพวกเขาก็ยังทำได้เพียงแค่ให้ความร่วมมือเท่านั้น ไม่มีสิทธิที่จะถามเลยสักนิด”

“….ท่านหมายความว่าผู้การร่วมเองก็รู้เรื่องนี้งั้นรึ”

“รู้สิ ก็ท่านเว่ยนั้นเป็นคนเสนอด้วยตัวเองเลยนะ” หลินเฟิงได้มองไปที่เฉินเฉียงสักพักจนในที่สุดก็ถามออกมา “อย่าบอกนะว่าเจ้าไปที่นั่นมาแล้ว”

ใบหน้าของเฉินเฉียงในตอนนี้กระตุกไม่หยุดพร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไปหลายหน ในที่สุด เขาก็ได้ป้องมือแล้วพูดออกมา “ท่านผู้การหลิน ในเมื่อกองกำลังของข้าออกไปทำภารกิจ ข้า ในฐานะกัปตันคงต้องขอไปร่วมกับกองกำลังของข้า”

“เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ท่านผู้การหลิน ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ขอตัวก่อน”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงหลังจากทำความเคารพอีกครั้งก็รีบพุ่งตรงยังตึกจอมพลภาคกลางในทันที

ตลอดทางนั้น จิตใจของเฉินเฉียงมีความรู้สึกที่หลากหลายปนเปกันไปมา

เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเว่ยหยวนตี้ไม่ยอมบอกเขาเกี่ยวกับคนในกองกำลังของเขาตอนที่เขาไปยังกันหนัน

หรือว่าเป็นเพราะฉิงเชินสนิทกับเขาเกินไปกัน

หากเป็นอย่างนั้นจริง เว่ยหยวนตี้เองก็ควรจะบอกเขาตรงๆ เขานั้นก็ไม่ใช่คนที่สนใจในลาภยศสักหน่อย

ในตอนนี้เขารู้สึกได้ว่า สายสัมพันธ์ระหว่างเขา เว่ยหยวนตี้และเว่ยฉิงเชินนั้นจะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเก่า

ต่อให้มันจะน่าเสียใจ แต่เขาเองก็ไม่อยากจะให้ตนเองต้องรู้สึกสำนึกผิดจากความเจ็บปวด

ในตอนนี้ที่เขากังวลมากที่สุดก็คือคนในกองกำลังของเขา

นาทีให้หลังจากที่เขาออกมาจากตึกจอมพลเหมันต์จันทรา เขาจึงรีบส่งข้อความไปบอกจางหยวนในทันที

“กัปตัน ท่านอยู่ไหนกัน รีบมาที่จิ้งชวนเร็วเข้า”

หลังจากส่งข้อความมา จางหยวนรีบส่งตำแหน่งที่อยู่ให้เฉินเฉียงในทันที ก่อนที่จะตัดสายไป

ถึงแม้จางหยวนจะพูดออกมาไม่กี่คำ แต่นั่นก็เพียงพอทำให้เฉินเฉียงนั้นร้อนรนยิ่งกว่าเดิม

กองกำลังของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย

เมื่อรับรู้แบบนี้ เฉินเฉียงรีบดำดิน ก่อนที่จะใช้เคลื่อนย้ายพริบตาพุ่งตรงไปยังจิ้งชวน

กองกำลังเทียนเว่ยทั้งสิบสองคนในตอนนี้เป็นคนที่เขานั้นเชื่อใจมากที่สุดแล้ว และเพื่อคนเหล่านี้ เขาจะไม่ยอมสูญเสียใครไปเลยสักคนเดียว

จากตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทรานั้น หากเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ธรรมดาก็คงจะใช้เวลาบินร่วมเดือน แต่กับเขานั้น เพียงหนึ่งสัปดาห์ก็ถึงแล้ว

และด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่จางหยวนส่งให้เขา เมื่อเฉินเฉียงไปถึง เขาก็พบกับร่างมากมายที่ทอดกายอยู่กับพื้นยาวนับร้อยไมล์ จนทำให้ในอากาศนั้นมีแต่กลิ่นคาวเลือด

เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงได้รีบส่งข้อความไปหาคนในกองกำลังทุกคน แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับเลยสักคนเดียว

หรือว่า….

เฉินเฉียงไม่อยากจะคิดอีกต่อไป เขาได้ใช้กระแสจิตของตน ตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ

เมื่อเห็นซากร่างบนพื้นดินเหล่านี้ มันราวกับว่าเป็นการศึกระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองยังไงก็ไม่รู้

เมื่อเฉินเฉียงตรวจสอบศพทุกร่างแล้วแต่ไม่พบคนในกองกำลังของตน นี่ทำให้เขานั้นใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง

แต่ทำไมไม่มีใครส่งข้อความตอบเขากลับมาเลยล่ะ

ในขณะที่เฉินเฉียงกำลังตรวจสอบพื้นที่เพิ่มเติมอยู่นี้ จางหยวนก็ได้ส่งข้อความไปหาคนอื่นไปด้วย

หลังจากที่กำลังจะคลั่ง ในที่สุดเขาก็ได้รับข้อความจากจางหยวนและคนอื่นๆ

“กัปตัน ขอโทษที่ไม่ได้ตอบ พวกเรากำลังวิ่งอยู่จึงตอบไม่ได้ ตอนนี้เจิ้งยี่ หลัวหลัน เทพเงินตราและคนอื่นๆใกล้ตายแล้ว”

หลังจากได้ยินการตอบของจางหยวน เฉินเฉียงกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมา

ถึงแม้ว่าจางหยวนจะบอกว่าทุกคนนั้นบาดเจ็บหนัก แต่ตราบใดที่ทุกคนยังมีลมหายใจ เขานั้นมั่นใจว่าจะสามารถช่วยชีวิตทุกคนไว้ได้

หลังจากตรงไปยังจุดที่จางหยวนบอก เฉินเฉียงก็ได้พบทุกคนในอีกครึ่งชั่วโมงถัดมา

มันเป็นที่พักชั่วคราวที่มีนักรบอยู่กว่าหกพันคน แต่จางหยวนและพวกนั้นอยู่นอกเขตที่พัก

เมื่อเฉินเฉียงเข้าไปถึงก็ได้เบาใจได้ลงเพราะพบว่าทุกคนยังคงอยู่ดี

นอกจากจางหยวนและหนี่เฟิงแล้ว คนในกองกำลังทุกคนต่างก็นอนอย่างไร้สิ้นเรี่ยวแรงอยู่ที่พื้น

“จางหยวน เกิดอะไรขึ้นกัน”

“กัปตัน” เมื่อเห็นเฉินเฉียงปรากฏตัว นอกจากเม่ยหลัวหลันและคนที่หมดสติอยู่นั้น ทุกคนต่างก็ประหลาดใจและตื่นเต้นยินดีในทันทีที่เห็นหน้าเขา

ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื้นตัน ตื่นเต้น ยินดี แม้แต่น้ำตาแห่งความขมขื่นที่อัดกลั้นไว้อยู่นานก็ยังต้องไหลออกมาจากคนอย่างกัวเหลียงและหนี่เฟิง

เมื่อเห็นท่าทางของทุกคนแล้วนั้น เฉินเฉียงรีบก้มลงไปดูอาการของเจิ้งยี่และคนอื่นๆที่หมดสภาพ ก่อนจะนำยารักษาออกมา

ในคนเหล่านี้นั้น คนที่อาการหนักที่สุดก็คงจะเป็นหลางซานเอ๋อและเม่ยหลัวหลันผู้ซึ่งยังคงหมดสติอยู่เพราะบาดเจ็บทางจิตวิญญาณ เฉินเฉียงจึงได้ป้อนยากระจ่างจิตให้ทั้งสองคนไปหลายเม็ดจนกระทั่งฟื้นขึ้นมาได้ในที่สุด

ส่วนคนอื่นๆที่บาดเจ็บนั้น หลังจากให้ยาไปแล้ว ก็น่าจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ทุกคนน่าจะฟื้นสภาพในชั่วข้ามคืน

เจิ้งยี่ที่กำลังจะถูกเฉินเฉียงรักษา ได้ยกมือขึ้นห้ามปรามในทันที

“กัปตัน ดีแล้วที่ท่านกลับมา ในที่สุดข้าก็จะได้เบาใจลง ไม่ต้องเสียยาไปกับข้า รักษาคนอื่นก่อน”

“พูดจาไร้สาระอะไรกัน เจิ้งยี่ ไอ้อาการบาดเจ็บภายนอกนั่นน่ะกินยาแป๊บเดียวก็หาย”

“กัปตัน เจิ้งยี่นั้นนอกจากจะบาดเจ็บภายในแล้วอวัยวะยังเคลื่อนที่อีก ยิ่งปล่อยไว้อาการจะยิ่งแย่ลง” จางหยวนได้เดินเข้ามาอีกฟากของเจิ้งยี่ ก่อนจะนั่งลงแล้วพูดออกมาอย่างหนักแน่น

“หากพวกเราไม่ได้เจิ้งยี่ช่วยไว้ในช่วงหลายวันมานี้ พวกเราเองก็คงจะเจ็บหนักกว่านี้เสียอีก”

เมื่อได้ยิน เฉินเฉียงจึงจัดการบีบปากของเจิ้งยี่แล้วยัดเข้าปาก ก่อนจะใช้มือตบกรามของเขาให้กลืนยาลงไป ก่อนที่จะหันไปที่จางหยวนแล้วถามออกมาด้วยท่าทางจริงจัง “จางหยวน เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

จางหยวนได้พูดออกมาอย่างเศร้าเสียใจ “กัปตัน พวกเราต้องตกหลุมพรางของใครบางคนอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ทั้งกัวเหลียงและคนอื่นๆต่างก็แสดงความเห็นออกมาแบบเดียวกัน และในที่สุดก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา

ไม่นานหลังจากกองกำลังเทียนเว่ยได้กลับไปที่ตึกจอมพลเหมันต์จันทรา ผู้การร่วมจากตึกจอมพลภาคกลางและตึกจอมพลกันหนันก็ได้มีคำสั่งออกมาว่าให้ตึกจอมพลเหมันต์จันทราส่งกองกำลังไปให้พวกเขา

พวกเขามีเหตุผลว่าตึกจอมพลภาคกลางนั้นเสียหายอย่างหนักจากการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาด

ด้วยการที่กองกำลังเทียนเว่ยนั้นทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมในเขตแดนกันหนัน ผู้อาวุโสสูงจึงได้มีคำสั่งให้ผู้การร่วมส่งกองกำลังเทียนเว่ยไปช่วยปราบปรามมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาด

ในตอนแรก ผู้การหลินเฟิงเองต้องการจะส่งคนกองกำลังใหญ่ออกไปช่วย แต่เขานั้นกลับถูกคนจากสภาสูงกดดันให้เปลี่ยนคำสั่ง

และนี่จึงกลายเป็นว่ามีเพียงกองกำลังเทียนเว่ยเพียงสิบสองคนเท่านั้นที่กลายเป็นกองหน้าของตึกจอมพลจิ้งชวน

แต่ในทันทีที่พวกเขาได้เข้าร่วมในสงครามนี้ พวกเขาบอกได้เลยว่าความไม่สงบที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน

นั่นก็เพราะนอกจากกองกำลังเทียนเว่ยแล้ว นักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์คนอื่นเอาแต่ทำการตรึงกำลังเอาไว้

แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่พวกเราได้รับมา พวกเราจึงพุ่งตรงเข้าไปเล่นงานมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาด และนี่ทำให้จากเดิม การรบระหว่างสองเผ่าพันธุ์กลายเป็นสาม

หลังจากผ่านไปสองเดือน นักรบทางฝั่งมนุษย์ยังคงทำอยู่เช่นเดิม แต่พวกสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์นั้นกลับเพิ่มจำนวนของพวกมันมากขึ้นเรื่อยๆ

และยิ่งที่ทำให้จางหยวนและพวกไม่เข้าใจยิ่งกว่าคือทุกครั้งที่ต่อสู้กัน มีเพียงพวกเขาทั้งสิบสองคนที่ต้องออกไปรับมือ

ในการต่อสู้สิบกว่าครั้งแรกนั้น พวกเขายังคงรับมือได้อย่างดี แถมยังได้รับรางวัลจากกองกำลังองครักษ์ของจิ้งชวนซะอีก

แต่เมื่อนานวันเข้า ผลการสู้รบของกองกำลังเทียนเว่ยเริ่มแย่ลง พวกเขาหลายๆคนเริ่มมีอาการบาดเจ็บที่ตกค้างมากขึ้น

จนกระทั่งจางหยวนและพวกใช้ยารักษาที่เฉินเฉียงให้ไว้จนหมดแล้ว พวกเขาจึงเริ่มระแคะระคายในเรื่องที่โดนลวงมาฆ่า

“แก่นวิญญาณสิบก้อนต่อยารักษาหนึ่งเม็ด หากพวกเจ้าไม่ซื้อพวกข้าก็ไม่ขาย นี่คือราคาที่กององครักษ์ตึกจิ้งชวนตั้งเอาไว้”

จางหยวนพูดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “ตอนที่พวกไปที่เมืองใกล้ๆเพื่อซื้อยา ฮั่นปู้เอ๋อก็ใช้กฎอัยการศึกไม่ให้พวกเราออกไปจากฐานทัพโดยไม่ได้รับอนุญาต”

“ด้วยการที่เห็นพวกเดียวกันบาดเจ็บ จะให้ข้าทนดูพวกเขาแบบนี้ได้ยังไง”

“ท้ายที่สุดพวกเราก็ต้องยอมให้ไอ้หมูตอนนั่นปอกลอกไปจนหมดสิ้น”

“ในตอนนี้แก่นวิญญาณทั้งหมดของเรานั้นตกไปอยู่ในมือของฮั่นปู๋เอ๋อหมดแล้ว”

“ไอ้ตัวระยำตำบอน”

เมื่อเฉินเฉียงได้ยินก็ถึงกับโกรธเกรี้ยวในทันที

“จางหยวน นี่เจ้าก็รู้ว่าตัวเองตกอยู่ในหลุมพราง แล้วทำไมเจ้าไม่พาทุกคนจากไป”

“กัปตัน พวกเราไม่อาจจะโทษรองกัปตันในเรื่องนี้ได้ พวกเรานั้นไม่เพียงตกอยู่ในหลุมพรางเท่านั้น แต่พวกเราตกอยู่ในดงปีศาจมากกว่า”

“ก่อนหน้านี้ยามที่เราออกไปต่อสู้ เราพบว่ามีหลายครั้งหลายหนที่นักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์คนอื่นลงมือพลาดหลายครั้งราวกับต้องการจะฆ่าพวกเราให้หมดสิ้น”

“กัปตัน ตอนที่พวกเราออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิ ผู้อาวุโสฮั่นจุยให้พวกเราแสดงสิ่งที่เราเก็บเกี่ยวได้จากที่นั่น ข้าเชื่อว่าด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้คนมากมายต่างก็ขัดหูขัดตาพวกเราจนกระทั่งลงมือสร้างความหายนะให้พวกเราในวันนี้”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือหน่วยองครักษ์ของจิ้งชวนนั้นเฝ้าเราไว้ตลอดไม่ให้โอกาสเราในการถอนตัว ต่อให้พวกเราอยากจะวิ่งหนี แต่ก็ไม่อาจทำได้”

“แม่…เอ๊ย”

เมือ่ได้ยินคำพูดของพวกพ้องของตนแล้ว เฉินเฉียงสบถออกมา “พวกมันคิดจะฆ่าพวกเราชัดๆ”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว พวกเราจะไม่ยอมรอคอยความตายให้พวกมันจัดฉากฆ่าพวกเราอย่างแน่นอน”

“จางหยวน ไอ้ฮั่นปู้เอ๋อนั่นอยู่ไหน บอกข้ามา ข้าจะไปฆ่ามัน”

จางหยวนและพวกตกตะลึงในทันทีเมื่อได้ยิน พวกเขารีบมาปิดปากเฉินเฉียงเอาไว้ ก่อนที่จะส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณพูดคุยกับเขา “กัปตัน ท่านต้องระวังปากหน่อยนะ กำแพงมันมีหูประตูมันมีช่อง”

“นี่ท่านไม่รู้เหรอว่าฮั่นปู้เอ๋อเป็นใคร เขาเป็นลูกชายคนเล็กของผู้อาวุโสฮั่นจุยนะ”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท