ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 262 แก้แค้น

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 262 แก้แค้น

หลังจากส่งจางหยวนและพวกไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว เฉินเฉียงก็ได้ดำดินและลอบกลับเข้าไปอยู่ใต้กองกำลังของฮั่นปู้เอ๋อเพื่อหาโอกาสโจมตี

ฮั่นปู้เอ๋อนั้นยังคงนั่งอยู่บนเกี้ยว หลังจากเดินไปได้อีกสิบไมล์ก็ได้ยกมือสั่งให้กองกำลังของตนหยุดเท้าลง

“ทำไมข้าไม่เห็นสัญญาณว่าจางหยวนและพวกมันสู้กับมนุษย์กลายพันธุ์เลยล่ะ ฉีน้อย เจ้าออกไปดูหน่อยสิว่ามันสู้กันรึยัง หากพวกมันตกตายไปแล้วพวกเราจะได้ถอนตัว พวกเราแค่ต้องการให้พวกมันตกตายไม่ใช่การไปสะกิดต่อมไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์”

“ได้ครับท่าน”

องครักษ์ฉีตอบรับอย่างเข้มแข็งก่อนที่จะรีบมุ่งตรงไปข้างหน้า

เฉินเฉียงที่อยู่ใต้ดินนั้นรู้สึกตื่นตระหนกในทันใดเมื่อได้ยิน

หากว่าฮั่นปู้เอ๋อและพวกถอนตัวตอนนี้ เขาคงไม่อาจจะฆ่ามันในระหว่างการสู้รบอย่างที่เขาหวังไว้

เขาต้องคิดหาวิธีรั้งให้ฮั่นปู้เอ๋อเข้าสู่สนามรบให้ได้

เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว เฉินเฉียงจึงรีบติดตามองครักษ์ฉีไปโดยการดำดิน

หลังจากผ่านไปได้สิบกว่าไมล์ องครักษ์ฉีได้มาหยุดอยู่ที่ผาเล็กๆแห่งหนึ่ง เขาได้นั่งลงกับพื้นและมองไปยังเต็นท์สีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ใต้ผา

“แปลกแฮะ ทำไมจางหยวนมันยังไม่ลงมืออีก หรือว่ามันหนีไปแล้ว”

เมื่อเห็นว่าที่ตั้งของพวกมนุษย์กลายพันธุ์ยังคงสงบ องครักษ์ฉีก็อดที่จะบ่นพึมพำออกมาไม่ได้

“องครักษ์ฉี เจ้าหาใครอยู่”

องครักษ์ฉีที่ไม่ได้ตั้งตัว เมื่อได้ยินว่ามีเสียงข้างหลังเขาก็คิดจะหันหลังกลับไป แต่เป็นตอนนั้นที่ได้เห็นว่ากระบี่หนึ่งได้จ่อที่คอหอยของตนเรียบร้อยแล้ว

“แกเป็นใคร ต้องการอะไร”

องครักษ์ฉีในตอนนี้กลัวจนตัวสั่นไปหมด เขาไม่กล้าจะขยับตัวอีก แต่ก็ไม่วายที่จะถามออกมา

เฉินเฉียงไม่ได้ตอบออกมา แต่ขยับดาบที่แหลมคมของตนให้กระชับก็คอขององครักษ์ฉีเล็กน้อย ทำให้คอของเขานั้นมีเลือดไหลออกมาจางๆ

“องครักษ์ฉี ดูเหมือนว่าเจ้านั้นจะยังไม่รับรู้สถานการณ์ของตัวเองสินะ ตอนนี้ชีวิตของเจ้าขึ้นอยู่กับข้าแล้ว ยังมีหน้ามาถามคำถามข้า ดูเหมือนว่าข้าคงต้องสั่งสอนคนเช่นเจ้าสักหน่อย”

“งั้นข้าขอถามตรงๆเลยแล้วกันนะว่าคนของจิ้งชวนเช่นเจ้านั้นมาทำอะไรที่นี่ในตอนนี้”

เมื่อรับรู้ได้ถึงความเจ็บเล็กๆที่คอของตน องครักษ์ฉีก็รีบร้องขอออกมาในทันที “นายท่าน อย่าได้เข้าใจข้าผิดไป”

“ที่พวกเรายกพลมาครั้งนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการเป็นศัตรูกับพวกท่านเหล่ายอดคนมนุษย์กลายพันธุ์”

“พวกเรานั้นเพียงต้องการยืมมือพวกท่านจัดการคนสิบสองคนที่เคยสู้กับพวกท่านก่อนหน้านี้เพียงเท่านั้น”

“ตราบใดที่สิบสองคนนั้นตาย พวกเราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องของพวกท่านอีก”

ในตอนนี้องครักษ์ฉีเข้าใจว่าเฉินเฉียงเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ เขาจึงได้บอกเล่าทุกสิ่งอย่างออกมาหมายจะเอาชีวิตรอด และเมื่อเฉินเฉียงได้ยินแผนการทั้งหมดอีกครั้งก็อดที่จะคำรามลั่นอยู่ในใจไม่ได้

“โอ้ เจ้าหมายความว่าเพราะคนของตนพ่ายแพ้ตอนที่เข้าไปเขตแดนจักรพรรดิจนจ้าวลี่เสียหน้า จึงทำให้เขาตัดสินใจตอบแทนพวกเขาด้วยการเอาชีวิตพวกเขาไปสินะ”

“ไม่ใช่เท่านั้นครับ” องครักษ์ฉีไม่ลังเลที่จะพูดต่อ “ในครานั้นหลังจากออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิ กองกำลังเทียนเว่ยแสดงให้เห็นว่าพวกมันเก็บแก่นวิญญาณมาได้จำนวนมาก นั่นทำให้มันไปต้องตาใครบางคน”

“นี่ทำให้ในภายหลังเมื่อจ้าวลี่วางแผนคิดจะจัดการกองกำลังเทียนเว่ย ผู้อาวุโสลี่พอพูดเรื่องนี้ผู้อาวุโสฮั่นก็คิดจะห้ามปราม แต่พอท่านจ้าวเสนอให้นายน้อยฮั่นผู้สูงส่งเข้าร่วมเพื่อเปิดทางให้เขาดำรงตำแหน่งในจิ้งชวน และแก่นวิญญาณที่ได้มาทั้งหมดนั้นยินดีที่จะมอบให้นายน้อยผู้สูงส่งฮั่น ผู้อาวุโสฮั่นก็เห็นด้วยในทันที”

“พูดจาโอหังนัก ผู้อาวุโสฮั่นคือหนึ่งในผู้อาวุโสในสภาสูง คนอย่างเขาจะมาเห็นแก่แก่นวิญญาณแล้วยอมเสียนักรบของเผ่าพันธุ์เพียงของเล็กๆน้อยๆได้ยังไง”

“ท่านพูดถูกต้องแล้ว แต่เดิมท่านเองก็ไม่เห็นด้วย แต่….”ในขณะที่องครักษ์ฉีจะพูดต่อ เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติและพยายามจะหันไปมองเฉินเฉียง

“เดี๋ยวนะ เจ้ารู้จักสถานะของผู้อาวุโสฮั่นได้ยังไง แถมยังบอกว่าพวกนั้นเป็นนักรบของเผ่าพันธุ์อีก เจ้าไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์นี่”

เป็นตอนนี้ที่ดาบในมือซ้ายของเฉินเฉียงได้กดลงไปที่คอขององครักษ์ฉียิ่งกว่าเดิม ส่วนมือขวาของเขานั้นสะบัดกำไลสื่อสารไปมาพลางพูดออกไป “องครักษ์ฉี ข้าได้บันทึกคำให้การของเจ้าไปหมดแล้ว กับเรื่องนี้นั้นต้องขอบคุณเจ้ามากเลยจริงๆ”

เมื่อเห็นกำไลสื่อสารของเฉินเฉียงแล้ว องครักษ์ฉีได้แสดงความหวาดกลัวออกมาจนหน้าซีดเผือด ก่อนจะร้องวิงวอนออกมา “นี่แกเป็นใครกันแน่ ทำไมต้องโกหกข้าด้วย ข้าขอล่ะ โปรดปล่อยข้าไปเถอะนะ หากนายพลจ้าวหรือผู้อาวุโสฮั่นรู้ว่าข้าเป็นคนบอกเรื่องนี้ไปล่ะก็ ข้าต้องตายอนาถแน่ๆ”

“ฮี่ฮี่ฮี่ องครักษ์ฉี ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงซะไอ้นรกสองตัวนั่นก็ไม่มีทางได้เห็นเจ้าหรอก”

เมื่อพูดจบ ดวงตาของเฉินเฉียงก็ได้เปลี่ยนเป็นฉายแววเย็นยะเยียบก่อนที่จะเฉือนคอหอยขององครักษ์ฉีจากด้านหลัง

ก่อนหน้านี้เฉินเฉียงวางแผนไว้ว่าจะทำให้องครักษ์ฉีบอกความจริงออกจากปากแล้วอัดวิดีโอเอาไว้เพื่อจะนำไปยังสภาสูงภาคกลางเพื่อหาความเป็นธรรมให้กับกองกำลังของตน

แต่ด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นตื่นเต้นมากไปหน่อยจึงทำให้องครักษ์ฉีจับพิรุธได้ จึงไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวออกมาอย่างหมดเปลือก นี่จึงทำให้เขานั้นต้องล้มเลิกแผนไปกลางคัน

เป็นตอนนี้ที่เขาได้เห็นราชาจักรพรรดิของทั้งสามของเผ่าพันธุ์ในเขตแดนจักรพรรดินั้นก็ทำให้เขานั้นสงสัยในความขัดแย้งของสามเผ่าพันธุ์มาโดยตลอด

มาในตอนนี้ จากคำพูดขององครักษ์ฉี เขาก็ได้พบกับการกระทำที่ไร้ยางอายของจ้าวลี่และฮั่นจุย นี่ยิ่งทำให้เฉินเฉียงสับสนขึ้นไปอีก

เขาสงสัยว่ากองกำลังเทียนเว่ยนั้นสู้เพื่ออะไรกันแน่

-เพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์จริงๆรึเปล่า-

-หากเป็นอย่างนั้นจริง แล้วทำไมพวกผู้คนระดับสูงถึงได้คิดจะกำจัดพวกเขา-

-หากว่าฮั่นจุยและจ้าวลี่เป็นเพียงมนุษย์ทั่วไปแล้วมีอันดับสูง เขายังพอจะเข้าใจได้ แต่นี่ทั้งสองล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เผ่าพันธุ์ต่างก็นับหน้าถือตา-

-แล้วหลังจากที่เขาไปหาเรื่องพวกมันแล้ว จะมีที่ไหนที่จะทำให้เขาอยู่ได้สงบสุขอีกกัน-

-ยอมแพ้ต่อมนุษย์กลายพันธุ์งั้นรึ-

-นั่นยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เข้าไปใหญ่-

-ความขัดแย้งระหว่างกองกำลังเทียนเว่ยและมนุษย์กลายพันธุ์นั้นมีมายาวนานนับร้อยปี คนรุ่นก่อนของกองกำลังเทียนเว่ยล้วนตกตายอยู่ในมือมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งสิ้น-

-…..ช่างมันไปก่อนแล้วกัน-

-ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะคิดเรื่องนั้น หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว ค่อยไปตัดสินใจเรื่องอนาคตกับทุกคนในกองกำลังแล้วกัน-

เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว เฉินเฉียงก็ได้มองไปยังที่พักของมนุษย์กลายพันธุ์เบื้องล่าง เขากัดฟันแน่น ก่อนที่จะเปลี่ยนชุดกับองครักษ์ฉี แล้วทำการแปลงโฉมเป็นองครักษ์ฉี หลังจากนั้นก็ได้เก็บศพองครักษ์ฉีไป แล้วลอบเข้าค่ายพักของมนุษย์กลายพันธุ์ผ่านทางใต้ดิน

หากดูจากซากศพเมื่อวานที่เขาได้พบเจอแล้วนั้น มนุษย์กลายพันธุ์เองก็หน้าจะสูญเสียไม่น้อย นี่จึงเป็นเหตุผลให้ทั้งสามยังไม่มีการเคลื่อนไหว

หลังจากเฉินเฉียงลอบเข้าไปได้แล้ว เขาก็ทำตัวใจกล้าหน้าด้านเดินเข้าไปในเต็นท์ของมนุษย์กลายพันธุ์เต้นหนึ่ง

หากอยู่ในการสงครามล่ะก็ แม้แต่เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์เองก็ยังยากที่จะแยกออกได้

ทั้งๆที่ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเฉินเฉียงได้เข้าไปแล้วนั้นกลับเป็นที่เตะตาของมนุษย์กลายพันธุ์กองนี้ในทันที

“เฮ้ เจ้าเป็นใครกัน ทำไมเข้ามาแล้วไม่ทักทายกัปตันผู้นี้ ห้ะ”

ชายร่างอ้วนได้หยุดเฉินเฉียงอย่างเดือดดาล พร้อมคราบมันทั่วใบหน้า

เฉินเฉียงเองนั้น มาที่นี่เพื่อจะก่อเรื่องเท่านั้น เขาไม่ได้มีเป้าหมายเป็นพิเศษแต่อย่างใด

ในเมื่อเจ้าอ้วนนี่อยู่ดีไม่ว่าดี ก็อย่าได้โทษเขาเลยก็แล้วกัน

“เหอะ นี่แกเป็นใครกัน” เฉินเฉียงได้ยืดอกเชิดหน้าแล้วถามออกมาอย่างไม่ไว้หน้าค่าตา

“ฮื้ม นี่แกไม่รู้จักนายท่านผู้นี้รึ มีตาหามีแววไม่ ฟังซะ นายท่านผู้นี้มีนามว่า…”

“โว้ย พูดมากน่ารำคาญ ข้าไม่สนใจจะฟังคำพูดของไอ้หมูตายแล้วหรอกเว้ย”

เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้ใช้เคล็ดวิชาสะกดข่มวิญญาณมารสวรรค์จนทำให้ทุกคนในเต็นท์สับสนงงงวย ก่อนที่เขานั้นจะนำกระบี่ยาวออกมาเชือดคอคนตรงหน้า

เมื่อนายพลทักษะพิเศษที่อยู่ใกล้ๆได้เห็นฉากนี้ก็สะดุ้งตื่นจนตกใจและพุ่งเข้าใส่เฉินเฉียงพลางตะโกนออกมา “ไม่ดีแล้ว ไอ้พวกมนุษย์มันส่งคนเข้ามาฆ่ากัปตันของเรา รีบจับมันไว้”

หลังจากเชือดคอเจ้าอ้วนตรงหน้าไปได้อย่างง่ายดายแล้ว เฉินเฉียงก็ถือว่าเป้าหมายสำเร็จ เขาก็รีบทะยานขึ้นฟ้า ก่อนที่จะใช้ย่างก้าวสวรรค์พุ่งตรงไปยังทางของฮั่นปุ้ยเอ๋อ

เมื่อมนุษย์กลายพันธุ์ที่เหลือเห็นว่าพวกของตนถูกฆ่าตายกันถึงในบ้าน ทุกคนต่างก็กางปีกสีเงินแล้วรีบไล่ตามไป

เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้หันหลังกลับไปดูก็พบเห็นว่ามนุษย์กลายพันธุ์น่าจะสักสี่พันตนบินติดตามมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน เขาก็ได้หัวเราะออกมาอย่างดังลั่นพลางพูดออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้พวกโง่เง่าเต่าตุ่น นายพลฮั่นปุ้ยเอ๋อของข้านั้นได้ดักรอเตรียมเชือดพวกแกเอาไว้แล้วเว้ย ในคราวนี้พวกแกจะต้องถูกตัดคอจนหมดสิ้น”

นี่ทำให้ผู้นำของมนุษย์กลายพันธุ์ในตอนนี้ถึงกับโกรธเคืองและตะคอกตอบกลับเฉินเฉียงในที่ที “ไอ้ตัวระยำฮั่นปุ้ยเอ๋อ พวกเราในวันนี้จะต้องเอาหัวหมาของมันมาเตะเล่นให้ได้ พี่น้อง แบ่งกระจายออกไปสามทางแล้วตีขนาบมันด้วยกัน อย่าไปไอ้หัวหมานั่นหนีไปได้เป็นอันขาด”

เมื่อเห็นว่าตนหลอกมนุษย์กลายพันธุ์ได้แล้ว เฉินเฉียงก็รีบใช้ย่างก้าวถัดไปของก้าวย่างสวรรค์ ทำให้เขาทะยานทิ้งห่างเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ไปไกล

แต่เมื่อเขาใช้กระแสจิตของตนตรวจสอบทางด้านกองกำลังของฮั่นปู้เอ๋อนั้น เขากลับพบว่าพวกมันค่อยๆเดินกันอย่างช้าเชื่องราวกับหอยทาก นี่แสดงว่าพวกมันกำลังรอองครักษ์ฉีให้กลับไป

เมื่อเห็นแบบนี้แล้วเฉินเฉียงจึงได้รีบร่อนลงพื้นและรีบตรงไปด้านหลังของกองกำลังจนพบเจอฮั่นปู้เอ๋อ

“ฉีน้อย ทำไมเจ้ากลับมาช้านัก ไอ้พวกจางหยวนตกตายกันแล้วใช้หรือไม่”

“นายน้อยฮั่นผู้สูงส่ง ข้าพึ่งจะเห็นว่าจางหยวนและพวกพึ่งจะเริ่มลงมือกับมนุษย์กลายพันธุ์เพียงเท่านั้น แต่ดูจากสภาพก็ไม่น่าจะสู้ได้นานนัก ท่านคิดว่าพวกเราควรจะไปชมฉากนี้หรือไม่ครับ”

“จริงรึ ฮ่าฮ่าฮ่า ดี ดี ข้าอุตส่าห์เฝ้ารอมากว่าสองเดือน ในที่สุดพวกมันก็พบจุดจำสักที ฉีน้อย ไปกันเถอะ ข้าเองก็อยากเห็นจุดจบของมันยิ่งนัก”

เฉินเฉียงได้สะกดข่มความโกรธเกรี้ยวในใจเอาไว้ ก่อนที่จะเริ่มนำทางพร้อมท่าทางยินดียิ่ง

แต่หลังจากผ่านไปสิบนาที กองกำลังส่วนหนึ่งของมนุษย์กลายพันธุ์ต่อเต็มท้องฟ้าก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้ากองกำลังของมนุษย์ที่มุ่งตรงไป

“หยุด หยุดโว้ยหยุด”

เมื่อฮั่นปู้เอ๋อเห็นฉากนี้ เขารีบออกคำสั่งให้กองกำลังของตนหยุดในทันที “ฉีน้อย นี่มันเรื่องอะไรกัน”

เพียงสิ้นคำของฮั่นปู้เอ๋อไปนั้น เขาก็ได้เห็นร่างของนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงช่วงปลายคนหนึ่งหยุดอยู่ตรงหน้าห่างจากตนไปห้าสิบเมตร

“ฮั่นปู้เอ๋อ ไอ้เลวระยำ เจ้ากล้าส่งคนเข้าไปในที่พักแล้วฆ่าคนใต้อาณัติของข้า ในวันนี้จะไม่มีใครในที่นี้หลุดรอดไปได้โดยมีชีวิตอยู่”

ฮั่นปู้เอ๋อในตอนนี้รีบกระโดดลงจากเกี้ยวก่อนที่จะป้องมือก้มหัวและรีบพูดออกมา “พี่เฉียน ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านเองก็เห็นนี่นาว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ข้าไม่ได้ส่งกำลังเสริมเข้าร่วมสงครามเลยสักครั้ง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ท่านเองก็คง…..”

“พูดมากไปก็เท่านั้น พี่น้อง ใครก็ตามที่เด็ดหัวฮั่นปุ้ยเอ๋อได้ ข้าจะให้รางวัลอย่างงาม”

เมื่อพูดจบ มนุษย์กลายพันธุ์แซ่เฉียนก็ได้พุ่งตรงเข้าหาฮั่นปู้เอ๋อเป็นคนแรก ตามมาด้วยนายพลทักษะพิเศษคนอื่นที่บินตามมาติดๆ

“ปกป้องนายพลฮั่น”

เฉินเฉียงที่ยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ขององครักษ์ฉีได้รีบตะโกนลั่นก่อนจะวิ่งไปหาองครักษ์อีกแปดคน

ที่เขาทำแบบนี้เพราะเข้ารับรู้ได้ว่าแปดคนที่ถือเกี้ยวนี้อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง แถมยังเปิดจุดชีพจรได้กว่าสามสิบจุดแล้วซะอีก

เขานั้นไม่คิดเลยจริงๆว่าฮั่นปุ้ยเอ๋อจะกล้าใช้คนแบบนี้มาคอยถือเกี้ยวให้

การกระทำของเขาไม่เพียงจะเป็นการทำเพียงแสดงการโอ้อวดแล้ว นี่ยังเป็นการกดขี่ข่มเหงคนทั้งแปดอย่างที่สุด

นายพลวิญญาณทั้งแปดนี้ ถึงแม้ยามที่พวกเขาไปอยู่ที่อื่นจะมีสถานะที่สูงส่ง แต่เมื่ออยู่ที่นี่ พวกเขากลับได้เป็นเพียงแค่คนแบกเกี้ยว

เมื่อเห็นว่าคนทั้งแปดสามารถรับมือนายพลทักษะพิเศษทั้งหลายไว้ได้ เฉินเฉียงจึงรีบดึงฮั่นปู้เอ๋อไปอีกทางแล้วพูดออกมา “นายน้อยผู้สูงส่งฮั่น รีบมากับข้าเร็วเข้า ข้าจะปกป้องท่านจนกว่าท่านจะหนีออกไปให้ได้”

ถึงแม้ฮั่นปู้เอ๋อจะเป็นถึงนายพลวิญญาณขั้นสูง แต่เขานั้นกลับไม่เคยต้องพบเจอศึกสงครามที่โกลาหลมาก่อน

นี่ย่อมทำให้เขานั้นตื่นตกใจเป็นธรรมดา

ด้วยการที่เขานั้นเป็นลูกชายคนเล็กของฮั่นจุย แม้กระทั่งการต่อยตีธรรมดาเขายังไม่เคยต้องลงมือเอง อย่างมากที่เขาเคยประสบพบเจอก็แค่การสู้กับสัตว์ประหลาดในระดับขุนพลขั้นต้นเพียงเท่านั้น

และเมื่อเขาได้เห็นว่ามนุษย์กลายพันธุ์ออกมาโจมตีกองกำลังของตนอย่างไม่ทันตั้งตัวและกวาดล้างกองกำลังของตนไปเกือบเรียบวุธ ฮั่นปู้เอ๋อไม่มีทางเลือกทำได้เพียงตามเฉินเฉียงเพื่อหลบหนี

“นายพลฮั่น ท่านจะวิ่งเข้าไปหามนุษย์กลายพันธุ์ทำซากอะไรกัน รีบกลับมาเร็วๆเข้า”

ฮั่นปู้เอ๋อที่ก้มหน้าก้มตาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตนั้น เมื่อได้ยินคำเตือนจากองครักษ์ที่ดังมาจากด้านหลังก็ได้เงยหน้าขึ้นดูจนเห็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องหน้าซีดเผือด

นั่นก็เพราะนอกจากองครักษ์ฉีแล้ว ผู้คนโดยรอบในตอนนี้คือมนุษย์กลายพันธุ์อย่างแน่นอนเพราะทุกคนมีปีกไปหมด

“ไอ้ฉีน้อย นี่เอ็งทำอะไรวะ ทำไมถึงพาข้ามาทางนี้ รีบวิ่งกลับไปเร็วเข้า”

เมื่อพูดจบ ฮั่นปู้เอ๋อก็ทำการหันหลังแล้วทำท่าจะวิ่งกลับไป

แต่ตอนที่หันหลังนี้ แขนของเขายังคงถูกดึงเอาไว้ไม่อาจหลุดรอดออกไปได้

“ฉีน้อย นี่แกอยากตายนักใช่ไหม”

ฮั่นปู้เอ๋อตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว

แต่เมื่อได้เห็นถนัดชัดต่อตาตัวเองแล้วนั้น เขาก็พบองครักษ์ฉี ที่ไม่ใช่องครักษ์ฉีที่เขาเคยเห็น มันเป็นองครักษ์ฉีที่มีเกราะสีเงินเคลือบชั้นร่างไว้…เกราะเหล็กไหล

“แก แกเป็นมนุษย์กลายพันธุ์”

ฮั่นปู้เอ๋อได้ชี้ไปที่เฉินเฉียงด้วยมือที่สั่นเทา พร้อมใบหน้าหลากสีที่ยากจะคาดเดาความคิดได้

เฉิเฉียงได้นำกระบี่ยาวออกมา ก่อนที่จะเอาไปจ่อที่คอของฮั่นปู้เอ๋อแล้วหัวเราะออกมาดังลั่น

“ฮั่นปู้เอ๋อ แกนี่มันโง่เง่านัก ข้านั้นถูกส่งไปเป็นสายลับในตึกจอมพลของเจ้าตั้งนานแล้ว”

“เมื่อข้าได้เห็นพวกเจ้านั้นมีความขัดแย้งภายในกัน นี่ทำให้ตัวข้านั้นมีความสุขอย่างมากเลยจริงๆ”

เฉินเฉียงได้กัดฟันแน่นก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ขัดแย้งกับความปวดร้าวในใจ

และเมื่อเหล่านักรบสิบกว่าคนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เห็นว่าองครักษ์ฉีเปลี่ยนเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ พวกเขาก็รีบพุ่งเข้าหาเพื่อช่วยเหลือฮั่นปู้เอ๋อในทันที

เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็ได้หันไปมองยังองครักษ์เหล่านี้ ก่อนที่จะมองไปยังผู้นำของมนุษย์กลายพันธุ์ที่กำลังสู้อยู่กับคนแบกเกี้ยวทั้งแปดอยู่แล้วพูดออกมา “นายพลเฉียน ท่านบอกว่าหากฆ่าฮั่นปู้เอ๋อได้ล่ะก็จะมอบรางวัลอย่างงามใช่หรือไม่”

เมื่อผู้นำมนุษย์กลายพันธุ์แซ่เฉียนผู้นี้เมื่อได้หันมามองยังต้นเสียงก็เห็นว่าเฉินเฉียงเป็นคนของตนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างดังลั่นแล้วพูดออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า ดี ไม่ต้องกังวล น้องชายตัวน้อย ตราบใดที่เจ้าฆ่าฮั่นปู้เอ๋อได้ นายพลผู้นี้จะขอรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”

“ดี นายพลเฉียน ดูดีๆนะ” เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ตัดหัวของฮั่นปู้เอ๋อออก ก่อนที่จะเก็บซากร่างของเขาไว้ในแหวนเก็บของ

“อ๊ากกกกก เอาร่างของนายพลฮั่นกลับมาให้ได้”

เมื่อเห็นว่าฮั่นปู้เอ๋อโดนตัดคอไปแล้ว เหล่านายพลทักษะพิเศษขั้นสูงสิบกว่าคนก็รีบตรงรี่เข้าไปเฉินเฉียง

“ปกป้องน้องชายตัวน้อยเดี๋ยวนี้”

ผู้นำแซ่เฉียนที่กำลังต่อสู้กับคนแบกเกี้ยวทั้งแปด เมื่อเห็นฉากนี้รีบสั่งให้มนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นรีบเข้ามาป้องกันเฉินเฉียงให้หลบหนีในทันที

หลังจากเฉินเฉียงทำภารกิจเสร็จสิ้น เขาก็ไม่คิดจะอยู่ต่อในสงครามที่ไร้สาระนี้อีก ในขณะที่ทุกคนไม่รู้ตัว เขาก็ได้ดำดินหายตัวไปจากสนามรบ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท