ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 265 เว่ยหยวนตี้นำทัพ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 265 เว่ยหยวนตี้นำทัพ

“ขอบคุณที่เมตตา ท่านผู้อาวุโสฮั่น”

“ขอบคุณผู้อาวุโสฮั่นที่เมตตาข้าผู้นี้”

ยามเมื่อจ้าวลี่รู้สึกตัว เขาก็ได้ทรุดตัวลงก้มลงกราบกรานฮั่นจุยเป็นการใหญ่

ตำแหน่งผู้ตรวจการแห่งสภาสูงภาคกลางนั้นถือได้ว่าเป็นตำแหน่งสำหรับคนนอก แม้ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ไม่สูงอะไรมากมาย แถมยังไม่มีอำนาจทางการทหารในมืออีก

แต่กลับยุคสมัยแบบนี้ เพียงแค่ได้เข้าไปอยู่ในสภาสูงนั้น ก็แทบจะเป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ทุกคนถวิลหา

ยังไม่ต้องพูดถึงการมอบตำแหน่งหรือไล่คนออกจากตำแหน่งในสภาสูงนั้น มีเพียงผู้อาวุโสสูงสุดเพียงสามคนเท่านั้นที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดแล้ว

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าตำแหน่งผู้ตรวจการเป็นสิ่งที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับคนนอกที่คนนอกจากจะยากไปถึงแล้ว เพียงแค่การเข้าไปมีตำแหน่งในสภาสูงนั้น นอกจากคนพิเศษอย่างเว่ยฉิงเชินที่เป็นสุดยอดอัจฉริยบุคคลแห่งเผ่าพันธุ์แล้ว ผู้ที่เข้าไปอยู่ที่นั่นได้ไม่มีใครเลยที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าราชาจอมพล

แต่จ้าวลี่นั้นเป็นเพียงราชาขุนพลขั้นกลางเพียงเท่านั้น

ขนาดปันเหรินผู้ซึ่งเป็นถึงผู้การสูงของตึกจอมพลภาคกลางที่สูงล้ำ ก็ยังต้องขวนขวายหาเส้นสายมากมายเพื่อที่จะวางลู่ทางเพื่อให้ไปอยู่ในสภาสูงได้อนาคต กลับต้องถูกปาดหน้าโดนจ้าวลี่ชิงตำแหน่งของผู้อาวุโสนอกอย่างผู้ตรวจการนี้ไป

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าตำแหน่งผู้อาวุโสนี้เทียบเท่ากับตำแหน่งผู้คุมของผู้การร่วมนี่อีก

โดยปกติแล้ว หากมีใครสักคนอยากจะพบเจอผู้การร่วม คนคนนั้นต้องติดต่อผ่านผู้คุมเสียก่อน หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ผ่านด่านข้าไม่ได้ก็อย่าได้คิดหวังจะเข้าประตูบ้าน

ในทำนองเดียวกัน ในอนาคตนั้นปันเหรินเองก็คิดอยากจะได้ตำแหน่งนี้ในมือในอนาคตยามที่ไปอยู่ในสภาสูง หากสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดเทียบไม่ได้กับสิ่งที่จ้าวลี่ได้ทำมาล่ะก็ ในเผ่าพันธุ์นี้ก็คงจะมีใครได้ก้าวไปถึงตำแหน่งนี้ได้อีกต่อไป

นี่เป็นเพราะว่าจ้าวลี่นั้นให้ความสำคัญกับฮั่นจุยเหนือกว่าปันเหริน จึงทำให้จ้าวลี่นั้นได้รับความดีความชอบจากฮั่นจุยมากกว่าปันเหรินไป

เมื่อฮั่นจุยได้เห็นจ้าวลี่ที่คุกเข่าอยู่กับพื้นราวกับลูกสุนัขข้างทางที่ได้รับเลี้ยง ฮั่นจุยพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะหันไปหาปันเหริน

“ผู้การสูงปัน ท่านพึงพอใจกับการตัดสินใจของข้าหรือไม่”

“อ่า..อ่ะแฮ่ม อืมอืม ผู้อาวุโสฮั่นนั้นมีจิตใจที่สูงล้ำ การลงโทษเขาที่สมเหตุสมผลเช่นนี้ย่อมได้รับการเห็นด้วยอย่างแน่นอน”

ถึงแม้ปันเหรินจะแสดงท่าทางประหลาดใจออกไปนั้น แต่จิตใจของเขาก็ลอบคิดสับสนเสียไม่ได้

ไม่ว่ายังไงก็ตาม จ้าวลี่นั้นก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้ฮั่นปู้เอ๋อต้องตกตาย แล้วทำไมเขาจึงยังให้ค่ากับมันอีกกัน

แต่ยังไงก็ช่าง อย่างน้อยๆในตอนนี้เขาก็ขับไล่จ้าวลี่ให้พ้นทางไปได้

และนี่จะทำให้ไม่มีใครในตึกจอมพลภาคกลางที่จะกล้าแข็งขืนต่อเขาอีก

และเมื่อได้ยินคำถามของฮั่นจุยเมื่อครู่ ปันเหรินเองก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเขานั้นไม่อาจจะทำอะไรจ้าวลี่อีกต่อไป ดีไม่ดีอาจจะไม่ได้พบเจอกันอีกด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เขานั้นมองไปที่จ้าวลี่ที่ก่อนหน้านี้ราวกับไร้จิตวิญญาณ ในตอนนี้จ้าวลี่นั้นกลับมองเขากลับมาอย่างเย้ยหยัน

ปันเหรินถึงกับหางตากระตุกในทันที

ถึงแม้ว่าจ้าวลี่จะไม่มีกำลังพอจะหาเรื่องเขาได้อีกต่อไป แต่ดูเหมือนว่าเขาเองก็ไม่อาจจะมีลู่ทางอันดีในสภาสูงภาคกลางได้อีกในอนาคต

เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว ปันเหรินก็ได้เข้าใจในที่สุด

เหตุผลที่ฮั่นจุยดึงตัวจ้าวลี่ไปนั้นเป็นเพราะตำแหน่งที่เขาวางแผนไว้ในอนาคต

ไม่ว่ายังไงก็ตาม จ้าวลี่นั้นก็ถือว่าเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์อย่างที่สุด

แถมยังเป็นสุนัขระดับราชาขุนพลขั้นกลางที่อยากจะได้พบเจอ

ถึงแม้ลูกชายคนเล็กสุดที่รักอย่างฮั่นปู้เอ๋อจะตายไป แต่ยังไงซะ ลูกชายที่เขาหวังค่าไว้มากที่สุดก็คือลูกชายคนโตผู้เลิศล้ำ ฮั่นเซียง

“ฮี่ฮี่ฮี่ ผู้ตรวจการจ้าว ในอนาคต หากพวกเราได้พบเจอกันที่สภาสูงภาคกลาง ยังไงก็โปรดดูแลข้าด้วยแล้วกัน ”

สำหรับตัวเลวร้ายอย่างจ้าวลี่ที่แม้แต่เขาก็ยังไม่อาจทำอะไรได้ในยามก่อนนี้นั้น คนประเภทนี้ตั้งกัดคนอย่างไม่เลือกหน้ายกเว้นเจ้านายของตน นี่ทำให้ปันเหรินก็อดไม่ได้ที่จะพูดอะไรบางอย่างให้จ้าวลี่ไว้หน้าไว้ก่อนร่วงหน้า

ส่วนจ้าวลี่นั้น เมื่อได้ยินกันหันหน้าไปอีกทาง ไม่ไว้หน้าปันเหรินแม้แต่น้อย

“พอแล้ว พวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องทะเลาะกันอีก ปันเหริน ตำแหน่งผู้การร่วมภาคกลางนั้น หลังจากที่ข้าได้ตรวจสอบดูก่อนหน้านี้แล้วนั้น ข้าตัดสินใจไว้ว่าจะให้เว่ยหยวนตี้ที่เป็นผู้การร่วมแห่งกันหนันมาดำรงตำแหน่งแทน”

“ข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็ได้รับรู้ว่าคนของเว่ยหยวนตี้มีความสามารถสูงล้ำแค่ไหนยามที่พวกเขาเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิก่อนหน้านี้ ข้าเชื่อว่าหากได้เขามาช่วยเหลือเจ้า พวกเขาอาจจะยอมย้ายตึกจอมพลและช่วยแก้สถานการณ์ของภาคกลาง”

“แล้วก็ พวกเราไม่อาจปล่อยให้สถานการณ์ของเขตจิ้งชวนนั้นเป็นแบบนี้ได้”

ฮั่นจุยได้ยืนขึ้นก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเย็นชา “ในการศึกเขตจิ้งชวนนั้นข้าเองก็สูญเสียไปไม่น้อย และคนที่ก่อเรื่องอย่างจ้าวลี่เองก็ได้รับโทษที่เขาควรจะได้รับไปแล้ว”

“ในอนาคต เมื่อเว่ยหยวนตี้มาดำรงตำแหน่ง ข้าหวังว่าผู้การสูงปันและเว่ยหยวนตี้จะช่วยกันแก้ปัญหาได้ พวกเราจะต้องตอบโต้ไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์อย่างหนักหน่วง และหาตัวไอ้นรกองครักษ์ฉีอะไรนั่นให้ได้ ไม่ว่ามันจะเป็นหรือตายก็ตาม”

“ได้ครับ ท่านผู้อาวุโสสูง โปรดวางใจให้ข้าจัดการ”

หลังจากส่งฮั่นจุยและจ้าวลี่ไปแล้ว ปันเหรินก็รีบจัดวางกองกำลัง และรอคอยให้เว่ยหยวนตี้มาถึง แล้วจะได้เริ่มนำทัพโจมตีด้วยกัน

ภายนอกตึกจอมพลภาคกลาง บริเวณใต้เขาโชวหยาง

“จ้าวลี่ เจ้ารู้รึเปล่าว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นมันร้ายแรงขนาดไหน ห้ะ หากว่าข้าไม่ทุมสุดตัวล่ะก็ ใครจะรู้ว่าไอ้พวกนั้นจะฆ่าเจ้าทิ้งไปเสียกี่รอบ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เจ้าเป็นต้นเหตุให้ลูกข้าตายอีก ข้าล่ะอยากจะเลาะหนังเจ้า แล้วเอากะโหลกของเจ้าไปโยนให้หมามันแทะกินเล่นนัก”

จ้าวลี่ที่ติดตามอยู่นั้นก็ได้ทรุดเข่าลงพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเผือด

“ผู้อาวุโสฮั่น ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี่รู้ถึงความผิดของตนเองดี ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้จะจดจำน้ำใจของท่านประทับไว้ในจิตใจ ในอนาคต ไม่ว่าผู้อาวุโสฮั่นจะให้ข้าทำอะไร ต่อให้บุกน้ำลุยไฟข้าผู้นี้จะยินดีที่จะทำโดยไม่เอ่ยปากปฏิเสธแม้แต่น้อย”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฮั่นจุยก็ได้พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ “ข้าหวังว่าเจ้าจะจดจำคำพูดของเจ้าในวันนี้ไว้ ในเมื่อข้าช่วยเจ้าได้ ข้าก็ย่อมพรากชีวิตน้อยๆของเจ้าไปได้เหมือนกัน”

จงฟัง นับจากนี้ เมื่อเจ้าเข้าไปในเขาแล้ว เจ้าจะต้องดูแลเว่ยหยวนตี้อย่างดีในทุกเรื่อง อย่าให้ขาดแม้แต่น้อย

“แล้วก็นับจากนี้ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าได้พบเจอเว่ยหยวนตี้ที่ตึกจอมพลภาคกลางในฐานะผู้การร่วม ยามใดที่เจ้าและเขาได้พบเจอกัน เมื่ออยู่แต่หน้าเว่ยหยวนตี้ หากข้าได้รู้ว่าเจ้าไม่เคารพเขาแม้เพียงน้อยนิด ข้าจะไม่อภัยเจ้าอีกต่อไป”

จ้าวลี่พยักหน้าอย่างแข็งขันเมื่อได้ยิน “โปรดวางใจข้าท่านผู้อาวุโสฮั่น ข้าจะดูแลคุณหนูเว่ยอย่างดีในฐานะคู่หมั้นของนายน้อยฮั่น ข้าจะไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย”

ฮั่นจุยที่เดินไปได้เพียงสองก้าวก็ได้หยุดเท้าและหันกลับมาด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงอย่างที่สุด

“จ้าวลี่ เจ้าทำในสิ่งที่ข้าบอกเพียงเท่านั้น จะดีกว่าหากเจ้าไม่ทำตัวอวดฉลาดเช่นนี้อีก ฮึ่ม”

เมื่อเห็นฮั่นจุยจากไปแล้ว จ้าวลี่ก็ถึงกับปาดเหงื่อที่ไหลย้อยอย่างหนักพลางถอดถอนลมหายใจ

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่จ้าวลี่ถูกถอดจากตำแหน่ง หรือแม้แต่เว่ยหยวนตี้ที่ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งที่ตึกจอมพลภาคกลางนั้น ทุกอย่างล้วนแล้วถูกผู้อาวุโสภาคกลางผู้นี้วางแผนไว้แล้ว แม้กระทั่งก่อนที่ฮั่นจุยจะไปยังตึกจอมพลภาคกลางเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้ เว่ยหยวนตี้เองก็ได้รับทราบคำสั่งนี้ก่อนเสียอีก

และนี่ทำให้เพียงสองวันหลังจากปันเหรินได้วางกองกำลังของตน เว่ยหยวนตี้ก็ได้มาถึง

ในศูนย์บัญชาการ ตึกจอมพลภาคกลาง

“ทำความเคารพ ท่านผู้การสูง”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องมากพิธี นายพลเว่ย เมื่อพวกเราได้ร่วมงานกันแล้ว พวกเราเองก็ควรทำตัวเป็นกันเองเข้าไว้จะดีกว่า”

ปันเหรินได้เดินลงมาจากที่นั่งประจำตำแหน่ง ก่อนจะดึงร่างของเว่ยหยวนตี้ที่ทำความเคารพอยู่นั้นให้ไปนั่งด้วยกัน

หลังจากการศึกในเขตแดนจักรพรรดิเสร็จสิ้น ปันเหรินเองก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าฮั่นจุยนั้นได้พาตัวลูกสาวของเว่ยหยวนตี้กลับไปยังสภาสูงภาคกลาง

แต่เขาเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพึ่งจะผ่านมาไม่กี่เดือน ฮั่นจุยจะทำถึงขั้นโยกย้ายเว่ยหยวนตี้มาตำแหน่งผู้การร่วมของตึกจอมพลภาคกลางนี้เลยทีเดียว

ถึงแม้จะบอกว่าเป็นผู้การร่วม แต่หลายๆคนต่างก็ยอมรับว่าตำแหน่งผู้การร่วมภาคกลางนี้เทียบเท่าได้กับตำแหน่งผู้การสูงแห่งกันหนัน

ดูเหมือนว่าฮั่นจุยนั้นคิดจะวางแผนให้เว่ยหยวนตี้ยอมตบแต่งลูกสาวให้เขาจริงๆ

ถึงแม้จะบอกว่าตำแหน่งผู้การสูงภาคกลางนั้นจะฟังดูยิ่งใหญ่ แต่มีเพียงคนที่เข้ามาดำรงตำแหน่งอย่างปันเหรินเท่านั้นที่รับรู้ว่าความจริงแล้วเป็นเช่นไร

เขาพึ่งจะสามารถขับไล่จ้าวลี่ที่คอยขัดขาเขาตลอดเวลาไปได้แล้ว เพียงชั่วพริบตา ฮั่นจุยกลับส่งว่าที่คนของตนให้เข้ามาแทนที่

แม้ใจตอนนี้ เว่ยหยวนตี้จะยังคงทำท่าเคารพเขาอย่างที่สุดในตอนนี้ แต่เมื่อได้ก็ตามที่เขาได้เป็นพ่อตาของลูกชายผู้อาวุโสสูงในอนาคต แม้แต่เขาดีไม่ดีก็ยังต้องฟังคำสั่งเว่ยหยวนตี้

นี่ทำให้ในทันทีที่ปันเหรินได้พบเจอเว่ยหยวนตี้ เขาจึงตั้งใจว่าจะไม่หาเรื่องผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาผู้นี้อย่างแน่นอน

“ฮ่าฮ่ฮ่า หยวนตี้ เมื่อข้าได้ยินว่าเจ้าจะมา ข้าก็ได้ส่งคนไปตกแต่งตึกผู้การร่วมให้ใหม่ เมื่อเราพูดคุยเรื่องการงานเสร็จสิ้น เจ้าก็ลองไปดูได้เลย หากว่ามีสิ่งใดไม่ถูกใจก็บอกข้า เดี๋ยวข้าจะให้คนไปจัดการให้เจ้า”

ด้วยการที่เว่ยหยวนตี้เองนั้นรับใช้ผู้การสูงแห่งกันหนันมานาน นี่ทำให้เขารู้ดีว่าสิ่งที่ปันเหรินกระทำกับเขาอยู่นี้เป็นผลมาจากฮั่นจุย

แถมยังมีก่อนหน้านี้ที่เขาอยู่ในเขตกันหนันเองก็ตาม มีข่าวลือแพร่สะพัดอยู่ก่อนแล้วว่าตัวเขาจะได้รับการเลื่อนขั้น แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ย่อมเป็นเพราะลูกสาวของเขา

แต่เว่ยหยวนตี้นั้นไม่เหมือนกับจ้าวลี่ ถึงแม้เขาจะเลื่อนขั้นมาเป็นผู้การร่วมแห่งตึกจอมพลภาคกลางได้เพราะลูกสาวก็ตาม เขาก็ยังรักษาท่าทีโดยการก้มหัวน้อมรับเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มแล้วพูดออกไป “ท่านผู้การสูงก็เกรงใจกันเกินไปแล้ว”

“ตราบใดที่ข้ามีที่ให้ทำงานและพักผ่อน เพียงเท่านั้นข้าก็พอใจแล้ว”

“ก่อนหน้านี้เองข้าก็ได้ยินมาว่าที่ตึกจอมพลภาคกลางนี่ก็เพิ่งจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นไม่ใช่รึ”

เหมือนเห็นท่าทางการวางตัวของเว่ยหยวนตี้แล้ว ปันเหรินเองก็แสดงออกมาอย่างสุขุมและพยักหน้ารับ “หยวนตี้พูดได้ถูกต้องแล้ว”

“เป็นเพราะสิ่งที่จ้าวลี่เจ้ากี้เจ้าการ กระทำการอย่างไม่รัดกุม ทำให้ลูกชายคนที่สองของท่านผู้อาวุโสฮั่นต้องตกตาย”

“แล้วเจ้าคิดว่าผู้อาวุโสฮั่นจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆได้ยังไง”

“บอกตามตรงเลยนะว่าในตอนนี้ข้าเองก็ได้วางกำลังพลเอาไว้แล้ว รอเพียงกำลังพลของน้องเว่ยนั้นมาสนับสนุน”

“แต่ในเมื่อพี่เว่ยพึ่งจะมาถึง เอาเป็นว่าก็พักสักสองวันก่อนแล้วกัน แล้วพวกเราค่อยดำเนินการขั้นต่อไป”

เมื่อได้ยินดังนี้ เว่ยหยวนตี้ได้ยกมือขึ้นห้ามแล้วพูดออกมา “ท่านผู้การสูง ดูเหมือนว่าทางสภาสูงจะตัดสินใจเรื่องนี้ไว้แล้วว่าต้องการจะสอนบทเรียนให้มนุษย์กลายพันธุ์ ถ้าอย่างนั้นข้าว่าเราก็เร่งจัดการเรื่องนี้ให้จบไปก่อนดีกว่า”

“ดีมาก”

ปันเหรินแสดงออกมาอย่างมีความสุข

ก่อนหน้านี้ปันเหรินนั้นกังวลอย่างมากว่าเว่ยหยวนตี้จะอาศัยความสัมพันธุ์ของฮั่นจุยในการทำตัวกร่างไปทั่วจนทำให้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาอีกคนหนึ่งที่เขายากจะร่วมงาน แต่เมื่อเห็นแบบนี้แล้วเขาก็คิดมาว่าเขาคิดมากเกินไป

“ไปเถอะ น้องหยวนตี้ พวกเราไปยังสนามรวมพลเพื่อสั่งการให้คนของเราเตรียมตัวเคลื่อนไหวกันดีกว่า”

เพื่อให้ชนะในการศึกที่จิ้งชวนในครั้งนี้ ปันเหรินจึงได้ตรวจสอบทุกอย่างจนหมดสิ้นในช่วงนี้ หรือจะบอกได้ว่าเขาได้ใช้ทุกสิ่งที่เขามีเลยก็ว่าได้

ที่สรามรวมพลนั้น ทันทีที่ปันเหรินและเว่ยหยวนตี้ปรากฎตัว นักรบกว่าหมื่นคนที่อยู่ในสนามรวมพลนั้นได้กล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียง “ทำความเคารพท่านผู้การสูงปันเหริน”

ปันเหรินได้ยกมือขึ้น ก่อนจะชี้ไปที่ชายวัยกลางคนสองคนบนเวทีและทำการแนะนำให้รู้จัก “น้องหยวนตี้ สองคนนี้คือผู้ตรวจสอบที่ถูกส่งเป็นแนวหน้าในครั้งนี้ จานฮ่งและจานจุนพร้อมกองกำลังของเขา ทั้งสองแม้อยู่ในระดับราชาขุนพลขั้นต้น แต่ก็มีประสบการณ์รบที่มากมายนัก”

“จานฮง จานจุน นี่คือผู้การร่วมคนใหม่ของตึกภาคกลางเรา เว่ยหยวนตี้ เรียกว่าผู้การเว่ยแล้วกัน”

“ผู้ใต้บังคับบัญชาทำความเคารพผู้การเว่ย”

“เจ้าทั้งสองไม่ต้องมากพิธี” เว่ยหยวนตี้ยกมือขึ้นห้ามปรามก่อนจะถามต่อ “ผู้ตรวจสอบทั้งสองมีความมั่นใจในศึกจิ้งชวนในครั้งนี้มากน้อยเพียงใดกัน ข้าคงต้องบอกไว้ก่อนว่าพวกเราจะทำพลาดอีกไม่ได้แล้ว เข้าเรื่องเลยแล้วกัน พวกเจ้าได้อะไรมาบ้างเกี่ยวกับมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้”

“โปรดวางใจได้ ท่านผู้การสูง ท่านผู้การเว่ย ในครั้งนี้ข้าได้ส่งกองกำลังกว่าสองหมื่นนาย พวกเขามีพลังสายเลือดที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น โลหะ พงไพร วารี อัคคี ปฐพี วายุ อัสนี หรือแม้แต่พิษ ทุกคนอยู่ในระดับขั้นนายพลวิญญาณขั้นสูงช่วงปลายพร้อมทั้งได้รับเม็ดยาบ่มเพาะเข้าไปอย่างมากมายนัก พวกเรามั่นใจว่าการศึกในครั้งนี้พวกเราต้องชนะอย่างแน่นอน”

หลังจากพูดจบ จานฮงได้หันหลังก่อนที่จะสะบัดธงในมือแล้วตะโกนออกมา “นักรบทุกคนจงฟัง ทุกสองแถว จากซ้าย ขวา…..หัน”

“ฮื้ม” เว่ยหยวนตี้และปันเหรินได้มองหน้ากันและกัน ทั้งสองต่างก็ไม่รู้ว่าจานฮงนั้นกำลังทำอะไร

จานจุนที่เห็นจึงได้อธิบายออกมา “เรียนท่านทั้งสอง เหตุผลที่กองกำลังของพวกเรานั้นพ่ายแพ้อยู่หลายครั้งหลายครานั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะมีพวกมนุษย์กลายพันธุ์แฝงตัวทุกมาในเกือบทุกครั้ง”

“และเพื่อให้สามารถกำจัดสายลับพวกนี้ออกไปบ้าง พวกเราทั้งสองจึงได้คิดวิธีการนี้ขึ้น ตราบใดที่ตรวจพบมนุษย์กลายพันธุ์ พวกเราจะสามารถกำจัดมันได้เสียตรงนี้”

หลังจากพูดจบ จานจุนก็ได้หันไปมองบรรดานักรบแล้วตะโกนออกมา “แถวที่สอง ยกมือขวาขึ้นและวางไว้ที่หัวคนข้างหน้า รอฟังคำสั่ง ดูดแผ่นแก่นพลังงาน”

ปันเหรินและเว่ยหยวนตี้ได้เห็นว่าหน้าของนักรบทุกคนได้กลายเป็นสีแดงก่ำอยู่นาน จนกระทั่งจานฮงโบกสะบัดธงอีกครั้ง ทุกคนถึงได้หลุดพ้นไปได้ หลังจากนั้นจานฮงก็ได้หันไปหาปันเหรินและเว่ยหยวนตี้แล้วพูดออกมา “นายท่าน ก็ดังที่พวกท่านเห็น ตราบใดที่มีสายลับอยู่ในนักรบเหล่านี้ พวกมันจะไม่สามารถรอดพ้นการตรวจสอบนี้ได้อย่างแน่นอน”

“อื้ม เป็นความคิดที่ดี” เว่ยหยวนตี้พยักหน้ารับอย่างพอใจ “ท่านผู้การสูง ข้าต้องการจะตามพวกเขาไปดูสักหน่อยว่าทหารของเรานั้นกล้าหาญชาญศึกเพียงใด ท่านคงไม่ว่าอะไรกระมัง”

“ข้าคงไม่สามารถปล่อยให้น้องเว่ยไปได้หรอก” ปันเหรินรีบห้ามปรามในทันที “น้องเว่ยเองก็พึ่งจะมาถึงที่นี่ยังไม่ได้พักผ่อนเลยไม่ใช่เหรอ แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้าไปได้ยังไง”

“ไม่เป็นอะไรครับท่านผู้การสูง ในฐานะผู้การร่วมแล้ว ข้าต้องการทำความเข้าใจกองทัพใต้อาณัติของตนอย่างกระจ่างชัด”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือเราทำข้อตกลงกับมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดไว้แล้วว่าการศึกสามฝ่ายในครั้งนี้ผู้ที่อยู่เหนือกว่าระดับราชาขุนพลจะไม่อาจร่วมสู้และไม่ตกเป็นเป้าหมายการต่อสู้”

“ถึงจะเป็นแบบนั้นจริง ข้าเชื่อว่าท่านจานในฐานะผู้ตรวจสอบคงไม่ปล่อยให้ข้าพบอันตรายกระมัง”

“ข้าขอให้ท่านพิจารณาเรื่องนี้ใหม่อีกรอบ ท่านผู้การสูง”

เมื่อเห็นว่าเว่ยหยวนตี้นั้นมีความตั้งมั่นอย่างคำที่พูด ปันเหรินเองก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น

“จานฮง จานจุน ดูแลท่านเว่ยดีๆล่ะ”

“รับคำสั่ง”

ด้วยการที่เขานั้นพึ่งจะรับตำแหน่งผู้การร่วมแห่งตึกจอมพลภาคกลาง เว่ยหยวนตี้นั้นต้องการสร้างความน่าเชื่อถือให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ส่วนหนึ่งนั้นก็มาจากเพื่อลบคำปรามาสว่าได้ดีเพราะลูกสาวเพียงเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้นคือ จานฮงเองก็พึ่งจะบอกออกมาว่ากองกำลังในครั้งนี้นั้นเป็นการผสมปนเปกันของนักรบจากหลากหลายประเภทสายเลือด แถมยังทำการตรวจสอบมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยวิธีก่อนหน้านี้อีก นี่จึงทำให้เขาเชื่อว่าไม่มีมนุษย์กลายพันธุ์ปะปนมาในกองทัพอย่างแน่นอน

ห้าวันต่อมา เว่ยหยวนตี้ จานฮงและจานจุน ได้นำกองทัพมาถึงที่จิ้งชวน

ในการศึกก่อนหน้านี้นั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้แพ้พ่ายจนเกือบถูกกวาดเรียบในคราวเดียว ในภาพรวมแล้วถือว่าเป็นศูนย์เสียอันยิ่งใหญ่สำหรับเผ่าพันธุ์ เพราะว่านั่นทำให้มนุษย์กลายพันธุ์นั้น จึงทำให้กองทัพมนุษย์กลายพันธุ์ยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่เอาไว้ และนี่จึงทำให้ทางฝั่งเว่ยหยวนตี้ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงตั้งค่ายพักในป่า

ด้วยการที่เว่ยหยวนตี้เป็นผู้บัญชาการร่วมคนใหม่ของตึกจอมพล ในตอนนี้ จานฮงและจานจุนจึงต้องเป็นฝ่ายคนสั่งทัพ และแนะนำสิ่งต่งๆให้เว่ยหยวนตี้ได้รับรู้เพียงเท่านั้น

“ท่านเว่ย ข้าพึ่งจะส่งคนออกไปทดสอบกำลังของศัตรูหนึ่งพันนาย ท่านสนใจจะไปดูผลงานหน่อยหรือไม่”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ท่านผู้ตรวจสอบทั้งสองนั้นช่างเร่งรีบนัก ก็ดี เอาล่ะ ไปดูกับตาหน่อยก็ได้ว่าไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์ในครั้งนี้จะสักเท่าไหร่กัน”

ที่ด้านนอกพื้นที่ค่ายพักของมนุษย์กลายพันธุ์ เว่ยหยวนตี้ จานฮงและจานจุนได้หลบอยู่ห่างออกไปสักสองพันเมตรเห็นจะได้

“ท่านเว่ย ผู้นำกองกำลังพันคนนี้คือหลี่เชิน เขานั้นอยู่ในระดับกึ่งราชาและเป็นผู้บังคับบัญชาที่เชื่อถือได้ของพวกเรา เขาเป็นผู้ถือครองสายเลือดอัคคีและคนใต้บังคับบัญชาของเขาเองก็มีทักษะที่สูงล้ำ”

เว่ยหยวนตี้ได้ยิ้มออกมาในทันทีเมื่อได้ยินและพยักหน้ารับ พลางมองหานักรบกว่าพันนายที่คืบคลานเข้าหามนุษย์กลายพันธุ์อย่างช้าๆ เป็นตอนนี้ที่เว่ยหยวนตี้ก็ได้หันหน้าแล้วถามออกมา “จานฮุน แล้วกำลังเสริมล่ะ เตรียมพร้อมไว้รึยัง”

“ท่านเว่ยอย่าได้เป็นกังวลไป ในทันทีที่หลี่เชินได้เปิดฉากโจมตี จานจุนและนักรบคนอื่นจะเริ่มลงมือในตอนนั้น”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท