ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 266 ยับเยิน

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 266 ยับเยิน

หลี่เชินและพวกนั้นเหลืออีกเพียงห้าร้อยเมตรก็จะถึงที่ตั้งค่ายพักของมนุษย์กลายพันธุ์ จนมาถึงตอนนี้ มนุษย์กลายพันธุ์ก็ยังไม่มีท่าทีจะรู้ตัว

“หึหึหึ ดูเหมือนว่าด้วยการที่พวกมันจะชนะศึกใหญ่มาจะทำให้พวกมันประมาทนะ”

“…..ผิดท่าแล้ว”

เทียบกับเว่ยหยวนตี้ที่ดูจะมั่นใจแล้ว จานฮงและจานจุนนั้นกลับมีท่าทางกะวนกะวาย

“ท่านเว่ย ด้วยระยะขนาดนี้แล้วจะเป็นไปได้ยังไงที่มนุษย์กลายพันธุ์จะไม่รู้ตัว นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ”

“ไม่ดีแล้ว หลี่เชินและพวกนั้นน่าจะกำลังเดินเข้ากับดัก” จานฮงได้เปิดปากพูดออกมา ก่อนที่จะรีบส่งข้อความไปให้หลี่เชิน “ถอนตัวเดี๋ยวนี้”

แต่เพียงข้อความถูกส่งออกไป มนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มใหญ่ก็ได้พุ่งเข้ามาขนาบค้างกองกำลังของหลี่เชินเอาไว้ ละเพียงไม่นาน พวกมันก็ได้รอบล้อมกองกำลังทั้งพันนายได้จนหมดสิ้น

“เร็วเข้า รีบส่งกำลังเสริมเข้าไป”

ในตอนนี้ เว่ยหยวนตี้ได้ออกคำสั่งด้วยเสียงที่ดังลั่น ก่อนเตรียมที่จะพาทั้งสองคนออกไปบัญชาการทัพด้วยตัวเอง

“ฮ่าฮ่าฮ่า…เว่ยหยวนตี้ โอ้ะ ไม่สิ ท่านเว่ย ฉะไหนไยท่านถึงได้รีบร้อนนักล่ะ”

ในขณะที่ทั้งามกำลังจะพุ่งตัวออกไปนั้น มนุษย์กลายพันธุ์ระดับราชาสองคนได้ปรากฏกายอยู่บนท้องฟ้าที่ด้านหลังไปไม่กี่ร้อยเมตร ทั้งสองแสยะยิ้มออกมาจนทำให้ทั้งสามยิ้มตอบไม่ออกแม้แต่น้อย

“หลินไฮ่หวัง…เหรอ”

เมื่อเว่ยหยวนตี้ได้เห็นหนึ่งในนั้นก็ถึงกับต้องหน้าถอดสี

ย้อนกลับไปตอนที่นักรบออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิ เมื่อเขาและฮั่นจุยไปหามนุษย์กลายพันธุ์ เป็นตอนนั้นที่เขาได้พบหลินไฮ่หวังผู้นี้

นี่ทำให้เขานั้นไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมนุษย์กลายพันธุ์ถึงสามารถวางกับดักแบบนี้ได้ นั่นก็เพราะในครั้งนี้ มนุษย์กลายพันธุ์ได้สิ่งมือดีที่มีพลังจิตอันเลิศล้ำมาออกโรง แน่นอนว่าพวกมันย่อมสืบพบเผ่าพันธุ์ของเขาที่ลอบเข้าไปได้อยู่นานแล้วเป็นแน่

“ฉิบหายแล้ว หลี่เชินและพวกตกอยู่ในอันตราย”

เมื่อเห็นหลินไฮ่หวังแล้วนั้น เว่ยหยวนตี้นึกออกได้เพียงประโยคนี้ประโยคเดียวเท่านั้น

ในตอนนี้ มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีพลังเหนือมนุษย์ด้านทักษะพลังจิตได้ปรากฏตัวในสนามรบ แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องมีแต่เสียกับเสีย

และเป็นดังคาด เพียงเริ่มการต่อสู้ หลี่เชินและพวกก็ตกเป็นรองในทันที

ถึงแม้จะมีกำลังเสริมมาคอยหนุน แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้หลี่เชินและพวก หลุดออกจากวงล้อมได้แต่อย่างใด

“หลี่เชิน รีบพาคนฝ่าวงล้อมเร็วเข้า”

จานฮงได้ออกคำสั่งจากบนฝากฟ้า

ถึงจานฮงไม่ต้องบอก หลี่เชินก็อยากจะพาพวกของตนออกไปใจจะขาดอยู่แล้ว แต่มันก็เป็นไปได้อย่างยากยิ่ง

“หึหึหึ อยากจะหนีรึ มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ” ในตอนนี้ หลินไฮ่หวังได้ยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียมและพูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น “หลิวเฟิง ล้มไอ้ตัวนำกองกำลังนั่นซะ หากทำได้ ราชาผู้นี้จะมอบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”

เมื่อพูดจบ มีร่างสามร่างได้พุ่งตัวแยกออกมาจากกองกำลังมนุษย์กลายพันธุ์ หนึ่งคือคนที่หลินไฮ่หวังกล่าวถึงนั่นก็คือหลิวเฟิง ส่วนอีกสองคนนั้นคือมนุษย์กลายพันธุ์ที่อยู่ในระดับนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงที่มีหน้าที่อารักขาหลิวเฟิง

ในฐานะที่ตนเป็นผู้นำของกองกำลังมนุษย์มานาน เมื่อหลี่เชินได้เห็นหลิวเฟิงนั้น เขาก็บ่งบอกได้ในทันทีถึงสถานะที่แตกต่างจากมนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นตั้งแต่แรกเห็น เขาจึงได้ตวัดดาบใหญ่ในมือตนพุ่งตรงไปยังหลิวเฟิงในทันที

อย่างไรก็ตาม หลิวเฟิงยังไม่แม้แต่ขยับเขยื้อน เขากลับยิ้มออกมาอย่างน่าฉงน

เขาไม่ทำอะไรเลย แต่หลี่เฉินกลับตรวจพบคลื่นประหลาดกำลังพุ่งตรงมาที่เขา

“ไม่ดีแล้ว นี่มันการโจมตีทางจิตวิญญาณของมนุษย์กลายพันธุ์”

แต่ถึงจะรู้ตัวตอนนี้ก็สายไปแล้ว นั่นก็เพราะว่าการเจอการโจมตีทางจิตวิญญาณของมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มของหลินไฮ่หวัง หากไม่ใช่ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาของเฉินเฉียงแล้วก็ยากที่จะหลบได้

หลี่เฉินที่กำลังโจนทะยานใส่หลิวเฟิงนั้น เมื่อโดนการโจมตีนี้ไปแล้ว ก็ได้ร่วงหล่นไปกองกับพื้นในทันที

“หลี่เชิน”

เมื่อเห็นฉากนี้ จานฮงและจานจุนที่อยู่กลางอากาศนั้นก็อดที่จะก้าวออกไปและเตรียมที่จะเข้าสู่สนามรบเสียไม่ได้ แต่ทั้งสองกลับถูกหยุดเอาไว้โดยผู้อยู่ในระดับราชาของมนุษย์กลายพันธุ์สองตนและหลิวไฮ่หวัง

“ฮื้ม เว่ยหยวนตี้ เจ้าควรจะคิดให้ดีก่อนนา หากว่าระดับราชาของพวกเจ้านั้นได้ก้าวเข้าสู่สนามรบล่ะก็ นั่นหมายความว่าพวกเจ้าผิดสัญญา แต่นั่นก็ดีเหมือนกัน พวกข้าจะได้ใช้ทุกสิ่งที่มีในการกวาดล้างพวกเจ้า”

“แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลานั้น ไม่เพียงพวกข้า แม้แต่ระดับราชาของพวกเจ้าและข้าก็คงลงสนามรบและสร้างความปั่นป่วนไม่น้อยเลยทีเดียว”

“ผู้ตรวจสอบจาน หยุด”

เว่ยหยวนตี้ในตอนนี้ที่มีหน้านิ่วคิ้วขมวดได้หยุดจานฮงและจานจุนเอาไว้

“ท่านเว่ย”

จานฮงและจานจุนได้มองหน้าเว่ยหยวนตี้ราวกับต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่างด้วยท่าทีที่ร้อนรน นั่นก็เพราะหลี่เฉินนั้นเป็นนายพลที่ทั้งสองชอบพอมากที่สุด แล้วจะให้ทั้งสองนั้นยินดีที่จะปล่อยให้หลี่เฉินต้องตกอยู่ในอันตรายต่อหน้าต่อตาได้ยังไง

แต่เมื่อทั้งสองได้มองกลับไปในสนามรบอีกครั้ง ทั้งสองก็พบฉากเหตุการณ์ที่พอจะทำให้โล่งหัวใจไปได้

นั่นก็เพราะผู้ติดตามของหลี่เชินห้าคนได้ช่วยเขาไปได้

แต่กระนั้น หลี่เชินเองก็บาดเจ็บที่ช่องอกอย่างหนักหน่วง

และด้วยความเจ็บปวดนี้เองก็ได้ทำให้หลี่เฉินฟื้นคืนสติได้ด้วยเวลาเพียงไม่นาน เขามองไปที่หลิวเฟิงด้วยสายตาเขม็งก่อนที่จะพูดออกมา “พี่น้องทั้งหลาย รีบหนี”

แต่เมื่อหลิวเฟิงได้เห็นฉากนี้ เขาก็ได้ส่งการโจมตีทางจิตวิญญาณไปอีกทีหนึ่ง

ถึงแม้หลี่เฉินจะต้องลงไปกองกับพื้นอีกรอบ แต่ก็มีคนของเขาช่วยพาเขาโดยการส่งต่อการเป็นทอดๆจนหลุดออกจากวงล้อมไปได้

“ปล่อยให้ผู้นำของพวกมันหนีไปไม่ได้นะเว้ย”

หลินไฮ่หวังตะโกนลั่นท้องฟ้า

อีกฟากฝั่งหนึ่ง จานฮงและจานจุนราวกับจะตะโกนประชันขันแข่งกับหลินไฮ่หวัง “ทหารทั้งหมดจงฟัง ไม่ว่ายังไงก็ตาม ปกป้องหลี่เชินฝ่าวงล้อมไปให้ได้”

เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็หลบหนีและไล่ล่ากันอย่างบ้าคลั่ง

แม้ว่าหลี่เชินจะถูกปกป้องดีขนาดไหนก็ตาม เขาก็ยังถูกไล่ล่าจากมนุษย์กลายพันธุ์ชนิดที่หายใจหายคอได้เป็นช่วงๆเท่านั้น แต่ในที่สุดแล้ว ด้วยการที่ต้องทุ่มกำลังทั้งหมดทั้งกองกำลังของตนและกองกำลังสนับสนุน ในที่สุด หลี่เฉินก็ตีฝ่าวงล้อมไปได้

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตกตาย แต่อย่างน้อยๆคนนี้ในช่วงระหว่างสงครามระหว่างมนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์จะถูกถือว่าตายไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม หลินไฮ่หวังก็ดูราวจะไม่ใส่ใจที่หลี่เชินรอดไปได้แต่อย่างใด เขามองไปที่เว่ยหยวนตี้ที่แสดงออกมาอย่างกระหายเลือด “เว่ยหยวนตี้ ครั้งก่อนได้ยินว่าลูกชายของผู้อาวุโสสูงถูกฆ่าตายอย่างไร้ค่าเลยไม่ใช่เหรอนั่น จากที่ข้ารู้จักนิสัยของฮั่นจุยมานั้น ข้ารู้ว่าเขาย่อมไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปเป็นแน่”

“และดูเหมือนจะเป็นไปตามที่ข้าคาดไว้ แต่ข้าบอกไว้ก่อนล่ะว่าหากระดับราชาของพวกเจ้าคิดจะยื่นมือเข้าร่วมอีกล่ะก็ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนแล้วกัน”

เว่ยหยวนตี้ได้มองนิ่งไปที่หลินไฮ่หวัง ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ผู้ตรวจสอบจาน….กลับ”

หลังจากกลับถึงฐานบัญชาการแล้ว เมื่อตรวจสอบดูก็พบว่าทางเผ่าพันธุ์มนุษย์สูญเสียนักรบนับพันไปอย่างถาวร ส่วนหัวหน้าอย่างหลี่เฉินนั้นบาดเจ็บสาหัส

ในเต็นท์บัญชาการ จานฮงได้ทำการครุ่นคิดอย่างบ้าคลั่ง พลางสบถสาปแช่งออกมา “ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าไอ้พวกกลายพันธุ์ถึงกับส่งพวกพลังจิตออกมาในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีนักรบที่เชี่ยวชาญการโจมตีทางจิตวิญญาณก็จริง แต่ระดับมันห่างกันเกินไป เรียกได้ว่าการศึกครั้งนี้พวกเราเทียบไม่ติด แล้วแบบนี้พวกเราจะสู้กับพวกมันได้ยังไง”

เว่ยหยวนตี้เองในตอนนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับความรู้สึกกดดันในใจ

แต่เดิมเขานั้นคิดจะใช้การศึกครั้งนี้ในการสร้างการยอมรับจากทุกคนในตึกจอมพลภาคกลาง แต่เขาไม่คิดว่าในการศึกครั้งนี้ หลินไฮ่หวังจะส่งคนของตัวเองลงสนามรบ นี่มันเทียบเท่าได้กับว่าการันตีความพ่ายแพ้ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในการศึกครั้งนี้ได้เลยทีเดียว

เมื่อนึกถึงคำมั่นที่ให้กับผู้การสูงปันเหรินไว้ นี่ทำให้เว่ยหยวนตี้รู้สึกคับข้องใจอย่างที่สุด

“ท่านผู้การร่วม อย่าว่าแต่ท่านเลย แม้แต่พวกเราเองแต่เดิมก็คิดว่ายังไงซะ การศึกของเราในครั้งนี้ยังไงก็ชนะ พวกเราเองก็ไม่คิดว่าพวกมันจะส่งพวกพลังจิตมาลงสนาม”

“อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินมาว่าผู้สร้างแผ่นแก่นพลังงานประเภทนี่ที่ชื่อคังหยูนั้นได้ตายในขณะที่ทำแผ่นแก่นพลังงานชนิดนี้ได้เพียงร้อยกว่าแผ่นเพียงเท่านั้น”

“หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ มีเพียงกองกำลังของหลินไฮ่หวังเท่านั้นที่มีการโจมตีทางจิตวิญญาณที่สูงล้ำเช่นนี้ และนั่นก็เป็นเรื่องราวที่ผ่านมานับร้อยปีแล้ว ข้าว่ากลุ่มของมันก็ต้องมีตกตายกันไปบ้าง อย่างน้อยๆในตอนนี้ก็น่าจะเหลือเพียงนับสิบ”

“ไม่อย่างนั้นล่ะก็ พวกมันคนไม่ปล่อยให้คนของตนต้องแพ้พ่ายจนพึ่งจะส่งพวกมันลงในการศึกเมื่อวานนี้”

“ดังนั้นข้าจึงคิดว่าควรให้พวกเรานั้นถอยกลับไป และหาใครบางคนที่มีความสามารถพอที่จะต่อกรกับคนของพวกมันได้”

“แต่ท่านเว่ย ท่านก็เห็นว่าคนของหลินไฮ่หวังนั้นถูกปกป้องราวกับพวกมันคือขุมทรัพย์ของมนุษย์กลายพันธุ์ ต่อให้พวกเราลอบโจมตีพวกมันก็ยังยากที่จะฆ่ามันได้สักตนหนึ่ง”

“ไม่ต้องกังวล” เว่ยหยวนตี้ได้ยินขึ้นพลางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ไม่ว่าฝั่งใดก็ตามต่างก็มีผู้มีความสามารถสูงล้ำแฝงตัวอยู่กันทั้งนั้น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ของข้านั้นจะไม่มีผู้ที่ต้านทานพวกมันได้”

“และอย่างที่หลินไฮ่หลังมันว่าไว้ ตราบใดที่ผู้มีระดับไม่ถึงระดับราชาขุนพล ล้วนแล้วสามารถลงสู้ในการศึกครั้งนี้ได้”

“ข้าจะกลับไปหาผู้มีความสามารถสูงล้ำจากสี่สำนักที่เชี่ยวชาญในการโจมตีทางวิญญาณและอาณานิคมต่างๆมาลงศึกในครั้งนี้”

และด้วยเหตุนี้ ในระหว่างที่ข้าไม่อยู่นี้ พวกเจ้าต้องไม่ออกไปรับศึก ข้าเชื่อว่าตราบใดที่พวกเจ้าป้องกันไว้ พวกมันก็ไม่อาจจะบุกโจมตีได้โดยง่ายเช่นกัน

สองพี่น้องจานได้พยักหน้าเห็นด้วยกับเว่ยหยวนตี้ในทันที

ถึงแม้ว่าเขตจิ้งชวนนั้นจะมีพื้นที่ตั้งห่างจากตึกจอมพลภาคกลางนับพันกิโล แต่ด้วยความเร็วของผู้ที่มีระดับราชาอย่างเว่ยหยวนตี้นั้นไม่ได้ห่างไกลแต่อย่างใด และด้วยเวลาเพียงครึ่งวัน เขาก็กลับไปถึงตึกจอมพลภาคกลาง

ที่พักของผู้การสูงแห่งตึกจอมพลภาคกลาง

“น้องหยวนตี้ ทำไมถึงกลับมาเร็วนัก แล้วผลการศึกล่ะ”

เผ่าพันธุ์มนุษย์พึ่งจะส่งนักรบชุดใหม่ลงสนามศึกได้ไม่นาน ปันเหรินเองนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพียงแค่ทำการรอผลการศึกอยู่ที่นี่เพียงเท่านั้น

หรือก็คือ แม้แต่ผู้การสูงอย่างปันเหรินก็ไม่ได้รู้เรื่องราวของเขตจิ้งชวนเลยแม้แต่น้อย

“เฮ้อออ ข้าต้องทำให้ผู้การสูงผิดหวังแล้ว แถมเรายังสูญเสียหนักในทันทีที่ไปถึง”

หลังจากนั้น เว่ยหยวนตี้จึงได้อธิบายสถานการณ์เรื่องราวอย่างละเอียดยิบ รวมถึงการได้เผชิญหน้ากับหลินไฮ่หวัง

หลังจากได้ฟังเรื่องราวจากเว่ยหยวนตี้ ปันเหรินเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียดในทันใด

“น้องหยวนตี้ เหตุผลที่เจ้าพ่ายแพ้ในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะพวกเราแล้ว แต่เป็นเพราะพวกเราคาดไม่ถึงว่าพวกมนุษย์กลายพันธุ์จะถึงกับส่งหลินไฮ่หวังออกมาในครั้งนี้”

“ในทุกๆครั้ง ยามใดก็ตามที่พวกมันออกโรง ในการศึกครั้งนั้นพวกเราต้องแพ้พ่ายในทุกๆครา”

“แต่ในการศึกครั้งนี้ ผู้อาวุโสสูงถึงกับลั่นปากออกมาด้วยตัวเอง หากเป็นอย่างนี้ต่อไปล่ะก็ ไม่ว่าพวกเราจะส่งนายพลออกไปมากมายขนาดไหนก็ไม่เพียงพอ”

“เอาอย่างนี้เป็นยังไง ข้าจะไปที่เขาโชวหยางแล้วไปหารือแผนการตอบโต้กับผู้อาวุโสสูง”

“หากเป็นเช่นนั้นได้จะเป็นการดีมากเลยท่านผู้การสูง ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอฟังข่าวจากท่านที่นี่ก็แล้วกัน”

หลังจากตกลงกันแล้ว ปันเหรินก็รีบยืนขึ้นแล้วไปยังเขาโชวหยางในทันที

เขาโชวหยางนั้นตั้งอยู่ด้านนอกพื้นที่เมืองของตึกจอมพลภาคกลาง ถึงแม้พวกเขาจะเรียกมันว่าเขา แต่ความจริงแล้วมันก็เป็นเพียงแค่ทิวเขาที่ทอดตัวเรียงรายจนกินอาณาบริเวณกว้างเพียงร้อยเมตรเพียงเท่านั้น

แต่ถึงมันจะไม่ใช่ภูเขาใหญ่ตามชื่อของมัน มันก็ยังถือได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ดี

สภาสูงภาคกลางที่ว่านั้นตั้งอยู่ที่นี่ โดยมีผู้อาศัยอยู่ประมาณสามร้อยคนเห็นจะได้ และผู้ที่อยู่ที่นั่น ขั้นต่ำแล้วจะต้องเป็นผู้อยู่ในระดับราชาจอมพลเป็นอย่างน้อย สำหรับผู้อาวุโสสูงที่ประจำอยู่ในสภาสูงและมีสิทธิในการตัดสินเรื่องราวต่างๆนั้นจะมีด้วยกันสามสิบหกคนโดยการคัดเลือกกันเอง

ส่วนคนอื่นๆนั้น ในฐานะที่เป็นนักรบที่แกร่งกล้าที่สุดของเผ่าพันธุ์ ทุกคนจะมุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะ และยากที่จะออกมาปรากฏตัวให้ผู้คนได้พบเห็น

แน่นอนว่ายังมีบางคนในเผ่าพันธุ์ที่ได้รับสิทธิพิเศษนี้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ของเหล่าผู้มากความสามารถเหล่านี้ และเว่ยฉิงเชินเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ที่ห้องของผู้ตรวจการบริเวณทางเข้าของเขาโชวหยาง จ้าวลี่เองนั้นกำลังมองหาอะไรทำไปเรื่อย และมีชีวิตอยู่ไปวันๆ

ถึงแม้ว่าเขาในตอนนี้จะไม่ได้มีกำลังทหารอยู่ในมือเพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับตึกจอมพลต่างๆแล้ว แต่กระนั้น ใครก็ตามที่จะต้องการเข้าไปในเขาโชวหยาง ไม่ว่าจะตำแหน่งกระจ้อยร่อยหรือใหญ่โตมาจากไหน เมื่อมาถึงก็ไม่อาจมาใช้อำนาจเหล่านั้นกับตัวเขาดได้

หรือก็คือ ใครก็ตามที่คิดจะเข้าเขาโชวหยาง ต้องผ่านการยินยอมจากเขาก่อน

ในตอนนี้ จ้าวลี่นั้นกำลังนั่งอยู่ในห้องของตน มองไปยังปันเหรินที่เดินเข้ามาแต่ไกล และนี่ทำให้ปากของเขาเผยรอยยิ้มอย่างหยามเหยียดออกมาในทันที

จ้าวลี่ที่ยังคงดูมีชีวิตชีวาอยู่นั้น ได้นึกย้อนไปถึงตอนที่ปันเหรินได้เล่นงานเขาไว้ในตอนที่เขายังอยู่ใต้บังคับบัญชาของปันเหรินได้เป็นอย่างดี และนี่คือช่วงเวลาที่จ้าวลี่เฝ้ารอมานานนับแต่เขาเข้ามาอยู่ที่นี่

มันเป็นช่วงเวลาที่เขาเฝ้าถวิลหา

“ไม่ใช่ว่านั่นผู้การสูงปันไม่ใช่หรือนั่น”

จ้าวลี่ได้เดินออกมากล่าวต้อนรับด้วยรอยยิ้มจอมปลอม

“ผู้ตรวจการจ้าว ข้ามีเรื่องด่วนที่จะต้องปรึกษาหารือกับผู้อาวุโสสูงในตอนนี้ ข้าหวังว่าท่านผู้ตรวจการจ้าวจะช่วยข้ารายงานไปว่าข้าขอพบให้หน่อย”

ถึงแม้ว่าในตอนที่ปันเหรินได้พบเห็นจ้าวลี่นั้นจะรู้ในทันทีว่าจ้าวลี่จะต้องแง่กับเขา แต่เขาก็ยังใจกล้าแล้วพูดคำขอออกไป

“โอ้ ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าเรื่องด่วนอันใดที่ทำให้ท่านนั้นต้องถึงกับต้องพบเจอปรึกษาหารือกับผู้อาวุโสสูงกัน” จ้าวลี่ได้ถามออกมาอย่างจริงจัง แต่กระนั้นเขาก็เห็นว่าปันเหรินนั้นไม่อยากจะพูดออกมา จ้าวลี่จึงได้รีบพูดเพิ่มเติมเสริมเข้าไป “ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่เหล่าผู้อาวุโสสูงนั้นในตอนนี้กำลังประชุมหารือกันอยู่ หากว่าผู้การสูงปันนั้นต้องการจะขอเข้าพบ เกรงว่าจะต้องรอก่อนนะ”

“แต่ทางเรารอไม่ได้แล้วจริงๆ ผู้ตรวจการจ้าว ขอบอกตามตรงแล้วกัน ตึกจอมพลภาคกลางของพวกเรานั้นพึ่งจะส่งกองทัพไปยังจิ้งชวน แต่เพียงเราไปถึงก็แพ้พ่ายในทันที และนี่จึงได้ทำให้ข้าต้องมาหารือกับผู้อาวุโสสูงว่าสามารถยกเลิกการศึกในครั้งนี้ได้หรือไม่”

“โฮ่ แพ้อีกครั้งรึ” ดวงตาของจ้าวลี่ได้เบิกกว้าง ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “ฮี่ฮี่ฮี่ ข้าก็นึกว่ามีเพียงข้า จ้าวลี่ผู้นี้ที่จะแพ้พ่ายได้ ไม่คิดเลยว่าแม้แต่ท่านผู้การสูงปันเองก็ต้องพบเจอชะตากรรมแบบเดียวกัน แต่ก็นั้น เรื่องนั้นก็เรื่องนั้น เรื่องนี้ก็เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน ยังไงข้าก็ต้องให้ท่านรอจะกว่าผู้อาวุโสสูงจะประชุมเสร็จ”

และด้วยการที่ทั้งสองต่างก็มีความแค้นส่วนตัว แต่เพื่อเห็นแก่มวลมนุษย์ ปันเหรินจึงทำได้เพียงรออยู่ด้านนอกเพียงเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าผ่านไปชั่วโมงแล้ว ปันเหรินเองก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้ “ผู้ตรวจการจ้าว ต่อให้เหล่าผู้อาวุโสจะประชุมกันก็จริง แต่อย่างน้อยๆในตอนนี้ถ้าไม่เลิกประชุมไปแล้วก็คงเกือบจะเลิกประชุม ข้าพอจะรบกวนผู้ตรวจการจ้าวบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าใกล้แล้วรึยัง”

แต่กระนั้น จ้าวลี่ยังคงนั่งฮัมเพลงอยู่กับเก้าอี้โดยไม่แยแสต่อปันเหรินเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นฉากนี้ ปันเหรินถึงกับเดือดดาล ดูเหมือนว่าจ้าวลี่ต้องการตั้งแง่กับเขาให้ถึงที่สุดจริงๆ กับคนเช่นนี้ ในชีวิตนี้เขาคงไม่ได้มีอากาสได้เข้าไปในเขาโชวหยางอีกแล้วกระมัง

หลังจากกระทืบเท้าระบายโทสะแล้ว ปันเหรินได้หันหลังกลับและเตรียมที่จะกลับตึกจอมพลของตน

“ท่านผู้การสูง เป็นยังไงบ้าง เหล่าผู้อาวุโสท่านว่ายังไงบ้าง”

หลังจากรอเกือบสองชั่วโมง เว่ยหยวนตี้ที่เฝ้ารออยู่นานก็ได้เห็นหน้าปันเหรินในที่สุด

“อ่า….เฮ้ออออ” ปันเหรินลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาอย่างละอายใจ “ไอหยา น้องหยวนตี้ พอเห็นหน้าเจ้าในตอนนี้ข้าก็พึ่งจะนึกได้เลยว่าข้าไปที่นั่นทำไม พอดีว่าข้าเมื่อไปถึงแล้วก็นึกได้ว่ามีรายงานด่วนจนต้องเร่งกลับมาจัดการ”

“เอาอย่างนี้แล้วกัน น้องหยวนตี้ ข้าเองก็ได้ยินมาว่าลูกสาวที่รักของเจ้านั้นได้ถูกเลือกให้เข้าไปบ่มเพาะที่เขาโชวหยาง ถ้าอย่างนั้นน้องหยวนตี้เองก็คงจะสามารถขอเข้าไปเจอลูกสาวของเจ้าแล้วไปรายงานเรื่องนี้ให้แก่เหล่าผู้อาวุโสสูงก็แล้วกัน”

“เอ่อออ ท่านผู้การสูง นั่นจะไม่ขัดกับกฎปล่อยหน่อยหรือ ถ้าพูดกันตามหลักการล่ะก็ มีเพียงท่านเท่านั้นที่จะมีสิทธิอำนาจในการเรื่องแบบนี้ได้นา”

“ฮี่ฮี่ฮี่ น้องหยวนตี้ก็คิดมากไปน่า เจ้าเองถึงแม้จะพึ่งเข้ามาแต่ก็เป็นถึงผู้การร่วมเลยนะ และเมื่อข้าคนนี้เป็นคนอนุญาตเองแล้วนั้นมันจะไปผิดหลักการได้ยังไง”

“หากพูดตามหลักการทหารแล้วมันก็ไม่ได้ผิดหลักการแต่อย่างใด”

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ต้องขอบคุณท่านผู้การสูงแล้ว”

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องลูกสาวเขาเลยที่จะได้พบ เมื่อปันเหรินพูดแบบนี้กับเขาแล้วย่อมทำให้เขาสุขใจอย่างที่สุด

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท