ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 267 แยกตัว

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 267 แยกตัว

เมื่อเว่ยหยวนตี้ไปถึงทางเข้า จ้าวลี่ที่ยโสโอหังก็ได้เปลี่ยนท่าทีไปในบัดดล แถมเขายังวิ่งเข้าไปหาเว่ยหยวนตี้ตั้งแต่เพียงแรกเห็นที่ไกลลิบลิ่ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่หยวนตี้ ข้าขอแสดงความยินดีกับท่านที่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้การร่วมแห่งตึกจอมพลภาคกลางด้วย”

“พี่จ้าว ท่านก็กล่าวเกินไป พวกเราเองตอนนี้ก็ตกอยู่ในเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่สิ ข้าต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายแสดงความยินดีกับท่านที่ได้เข้าร่วมสภาสูงภาคกลางถึงจะถูก”

“แหมท่านพูดอย่างนั้นจะดูไม่ดีนา เป็นข้าไม่ดีเองที่พลาดการศึกที่จิ้งชวนในครานั้น หากไม่ใช่เป็นเพราะผู้อาวุโสฮั่นมีเมตตา ตัวข้าผู้นี้คงต้องตกตายไปนานแล้ว”

“จริงสิ ว่าแต่พี่หยวนตี้นั้นมาที่นี่เพื่อมาหาลูกสาวสุดที่รักอย่างนั้นรึ”

เว่ยหยวนตี้พยักหน้ารับ “ถูกต้อง ผู้การสูงปันนั้นให้โอกาสข้ามาเยี่ยมเยือนลูกสาวข้าน่ะ ข้าหวังว่าพี่จ้าวจะช่วยนำทางให้ข้าด้วย”

“พี่หยวนตี้ก็พูดเกินไป ผู้อาวุโสฮั่นนั้นท่านเอ่ยปากมาด้วยตัวเองเลยนะว่ายามที่ท่านมานั้นให้น้องชายผู้นี้ต้อนรับขับสู้อย่างดี แล้วน้องชายผู้นี้จะกล้าช้าไปไย”

“พี่หยวนตี้ เชิญมากับข้า ข้าจะนำทางท่านเอง”

เมื่อพูดจบ จ้าวลี่ก็รีบผายมือเชื้อเชิญ ก่อนที่จะเดินนำทางเว่ยหยวนตี้ไป และนี่ทำให้ทั้งสองเดินตามกันเข้าไปในเขตชั้นนอกของเขาโชวหยาง

“จริงสิ พี่เว่ยตี้(หยวนตี้) ด้วยการศึกที่จิ้งชวนนั้นข้าได้ทำให้อนาคตของคนของท่านสิบสองคนต้องจบสิ้น ท่านเองก็อย่าได้ไปถือโทษโกรธข้าด้วยเรื่องของพวกเขาล่ะ ในครานั้นเป็นเพราะข้าขาดกำลังคนจริง ไม่อย่างนั้นคงไม่ยืมตัวคนของพี่มาเช่นนั้นหรอก”

เว่ยหยวนตี้เมื่อได้ยินก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่จ้าว ท่านอุตส่าห์พูดออกมาขนาดนี้ ข้า เว่ยหยวนตี้ก็ไม่ใช่คนที่ใจแคบอะไรนัก ข้าย่อมต้องยึดถือมวลมนุษยชาติมาก่อนแค้นส่วนตัวอยู่แล้ว”

“เฮ้อออ น่าเสียดายจริงๆที่ทั้งสิบสองคนนั้นตายในการต่อสู้ แต่อย่างน้อยๆพวกเขาก็ได้ตายเพื่อมวลมนุษยชาติล่ะนะ”

“ไอ๊ยะ ยากนักที่จะได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากพี่หยวนตี้ ถ้าอย่างนั้นน้องชายผู้นี้ก็คงจะผ่อนคลายได้ซะที”

ก่อนหน้านี้ที่จ้าวลี่ได้ใช้อำนาจของฮั่นจุยในการย้ายกองกำลังเทียนเว่ยที่ประจำอยู่ใต้สังกัดย่อยของตึกจอมพลกันหนันมาที่ตึกจอมพลภาคกลางเพื่อหมายให้มนุษย์กลายพันธุ์ชำระแค้นส่วนตัวให้

แต่ใครจะไปคิดว่าเรื่องมันจะกลายเป็นเลยเถิดจนทำให้ลูกชายของฮั่นจุยจนต้องตกตายแล้วทำให้เขาต้องมาอยู่ในจุดนี้ได้

แถมมาในตอนนี้ จ้าวลี่นั้นยังเห็นแล้วว่าฮั่นจุยและเว่ยหยวนตี้นั้นอีกไม่นานก็จะได้เกี่ยวดองกัน เป็นธรรมดาที่เขานั้นจะต้องพยายามสร้างความดีความชอบและขจัดเรื่องขัดแย้งระหว่างเขาและหยวนตี้

ก่อนหน้านี้เว่ยหยวนตี้เองนั้นเคยมาที่นี่แล้วในฐานะผู้การร่วมแห่งกันหนัน

แต่ในครานี้ เขาไม่คิดว่าจ้าวลี่จะไม่พาเขาเข้าไปที่ตึกใหญ่ แต่พามาที่สวนของตึกใหญ่แทน

จ้าวลี่ที่เห็นท่าทางของเว่ยหยวนตี้ก็รีบอธิบายออกมา “พี่หยวนตี้ ลูกสาวของท่านตอนนี้กำลังฝึกฝนอยู่ในสวนแห่งนี้กับผู้อาวุโสฮั่น นี่จึงเป็นเหตุที่ข้าพาท่านมาที่นี่โดยตรง”

ด้วยตำแหน่งของฮั่นจุยที่อยู่ในสภาสูงนั้นไม่ได้ต่ำเตี้ยแต่อย่างใด ไม่เพียงแต่เขานั้นจะบรรลุไปถึงระดับราชาจอมพลตั้งแต่อายุยังไม่ถึงห้าสิบแล้ว เขานั้นยังมีอย่างอื่นที่เป็นที่เตะตาอีกด้วย นั่นก็คือฮั่นจุยคือหนึ่งในผู้ที่สามารถความคุมพลังฟ้าดินได้ ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยาก แม้แต่ในเหล่าราชาจอมพลระดับสูงก็ยังหาได้ยากยิ่ง

โดยทั่วไปแล้วผู้ใดก็ตามที่ก้าวเข้าสู่ระดับราชาจอมพลได้นั้นส่วนใหญ่แล้วจะคิดหาวิธีก้าวเข้าสู่จักรพรรดิโดยเร็วและไม่สนใจโลกภายนอกแยกตัวออกมา นอกซะจากจะมีเรื่องคอขาดบาดตายของเผ่าพันธุ์เท่านั้นพวกเขาถึงจะปรากฏตัว หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ หากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ พวกเขาก็หาได้แยแสไม่

และนี่ทำให้ผู้อาวุโสเหล่านี้โยนงานทุกอย่างให้ฮั่นจุยและคนอื่นๆจัดการ

ยิ่งไปกว่านั้นสวนของฮั่นจุยที่ว่านี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนผู้อาวุโสคนใดที่มุ่งเน้นเพียงการบ่มเพาะเพียงเท่านั้น

ในพื้นที่สวนแห่งนี้มีบ้านแยกออกเป็นสามหลังที่ต่างขนาดกันไป หลังที่พวกเขากำลังเดินไปนี้มีห้องยี่สิบกว่าห้อง ที่นี่คือที่ที่ฮั่นจุยอาศัยและฝึกฝนบ่มเพาะ

หลังทางซ้ายเป็นของลูกชายเขา ฮั่นเซียง ส่วนทางขวาเป็นหลังขวานี้เองก็เป็นที่อยู่และบ่มเพาะของลูกศิษย์ของเขา

แต่กระนั้น มาถึงตอนนี้แล้วฮั่นจุยนั้นกลับมีเว่ยฉิงเชินเป็นศิษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น หรือก็คือในห้องทั้งห้าของบ้านหลังนี้มีเพียงเว่ยฉิงเชินอาศัยอยู่

ที่ตรงทางเข้าสวนนี้เอง จ้าวลี่ได้กล่าวรายงานออกมาอย่างเคารพ “เรียนผู้อาวุโสฮั่น ผู้การร่วมคนใหม่แห่งตึกจอมพลภาคกลาง เว่ยหยวนตี้ ขออนุญาตขอพบขอรับ”

เพียงสิ้นเสียงของเขา เสียงหนึ่งได้พุ่งตัวออกมาจากบ้านที่อยู่ขวามือ

“พ่อ”

เว่ยฉิงเชินที่ไม่ได้เห็นหน้าพ่อของตนมากว่าครึ่งปีแล้วก็ได้โผเข้ากอดเขาอย่างรวดเร็วประหนึ่งดั่งลมกรรโชก พลางร้องไห้ออกมาอย่างมีความสุขตื่นเต้นยินดี

“ฉิงเชินเอ๋ย เจ้าเองก็โตแล้วนา ทำอย่างนี้ไม่เบื่อรึไงกันเนี่ย มาๆ ยืนดีๆหน่อย ขอพ่อให้ได้เห็นเจ้าชัดๆหน่อยสิ” เว่ยหยวนตี้นั้นกังวลเกี่ยวกับลูกสาวของตนมาโดยตลอด แต่เมื่อตอนที่เขากำลังมองลูกของตนอยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่อายุยี่สิบกว่าปีได้เดินออกมาจากบ้านทางซ้ายมือ

“นี่คงเป็นลุงเว่ยถูกต้องรึเปล่าครับ ผมชื่อฮั่นเซียง ขอกล่าวทักทายท่านลุงเว่ย”

ฮั่นเซียงนั้นแต่เดิมแล้วก็ถือว่าตนเองเป็นอัจฉริยะที่สูงค่ามาโดยตลอด แต่หลังจากที่ได้พบเว่ยฉิงเชินแล้วนั้นทำให้เขาจำใจต้องคิดใหม่ นั่นก็เพราะแม้เธอจะอายุน้อยกว่าเขาแต่ก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับกึ่งราชาได้แบบนี้ จึงไม่แปลกที่จะทำให้ผู้คนที่คิดแบบนี้จะต้องหันกลับมาย้อนดูตัวเองอีกครั้ง

เมื่อเว่ยหยวนตี้ได้เห็นฮั่นเซียงแล้ว เขาก็มองดูหน้าลูกสาวของตนเองก่อนที่จะพยักหน้าราวกับจะพึงพอใจอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ด้วยท่าทางของเขานี้ เมื่อผู้เยาว์ทั้งสองได้พบเห็นก็รู้สึกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“พี่ นี่ท่านคิดอะไรอยู่เนี่ย นี่คือลูกชายคนโตของผู้อาวุโสฮั่นนะ หากท่านไม่ได้ออกมา เราสองคนก็ยังยากที่จะได้เห็นหน้ากันเลย”

ใบหน้าของฮั่นเซียงเองก็กระตุกไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมาด้วรอยยิ้ม “ลุงเว่ย น้องฉิงเชินนั้นราวกับเป็นผู้ที่สวรรค์ค้ำชูจริงๆ เธอนั้นไม่เพียงจะใช้เวลาเรียนรู้จากพ่อของข้าเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ในตอนนี้เธอเองก็ได้เข้าสู่ระดับราชาขุนพลเรียบร้อยแล้ว อัจฉริยบุคคลเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่งนัก”

แต่กับเรื่องนี้นั้น เว่ยหยวนตี้เองก็ดูไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด

ด้วยร่างกระจ่างจิตของลูกสาวของตนนั้น ต่อให้เธอไม่ได้มาอยู่กับฮั่นจุย เธอก็สามารถไปถึงได้ด้วยตัวเองอยู่ดี

แต่สิ่งที่ทำให้เว่ยหยวนตี้สนใจนั้นก็คือการที่ทำให้เธอได้กลายเป็นศิษย์ของฮั่นจุยและชายหนุ่มที่ชื่อฮั่นเซียงตรงหน้าเสียมากกว่า

หากลูกสาวของตนได้แต่งงานเข้าตระกูลฮั่น นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว

“ท่านเว่ยมารึ ฉิงเชิน ทำไมเจ้ายังไม่เชิญพ่อของเจ้าเข้ามาอีกกัน”

ในขณะที่เขากำลังคิดไปไกลนั้น ประตูของบ้านฝั่งตรงข้ามก็ได้เปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าของฮั่นจุย ที่กำลังมองมาที่เว่ยหยวนตี้ด้วยรอยยิ้ม

“ค่ะ ผู้อาวุโสฮั่น”

เว่ยฉิงเชินได้โค้งคำนับให้ฮั่นจุยอย่างเคารพ ก่อนที่จะพาพ่อของเธอเข้าไปในห้องฝั่งขวา ก่อนที่จะหันไปพูดกับฮั่นเซียง “พี่ชายฮั่นเซียง ทำไมท่านไม่มาด้วยกันล่ะ”

“นั่นน่ะสินายน้อยฮั่น ชายแก่คนนี้เองก็อยากจะสนทนากับนายน้อยอยู่เหมือนกันนะ” เว่ยหยวนตี้เองนั้นก็นึกที่จะสร้างความรู้จักกับนายน้อยผู้เลิศเลอผู้นี้ไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่เป็นตอนนี้ก่อนที่ฮั่นเซียงจะได้พูดอะไรออกมา ฮั่นจุยก็ได้กล่าวดุออกมาในทันที “เซียงเอ๋อ ทำไมเจ้ายังไม่กลับไปบ่มเพาะต่ออีกกัน ดูอย่างน้องฉิงเชินของเจ้าสิว่าเธอใช้เวลาเท่าไหร่ในการบรรลุขั้น สองเดือนเองนะ”

“ก่อนที่เจ้าจะบรรลุขั้นได้ เจ้าไม่อนุญาตให้ออกจากห้องของเจ้าได้แม้เพียงครึ่งก้าว”

“ครับ ท่านพ่อ”

ฮั่นเซียงเอ๋อตัวสั่นสะท้านไปเล็กน้อยเมื่อได้ยิน ก่อนที่จะก้มหัวของตนและกลับเข้าบ้านของตนไป

หลังจากไล่ฮั่นเซียงกลับเข้าบ้านไปแล้ว ฮั่นจุยก็ได้แสดงท่าทีเป็นมิตรออกมาก่อนที่จะเชิญเว่ยหยวนตี้เข้าบ้านพักของตน

“ต้องขอโทษน้องหยวนตี้ด้วยที่ทำให้ต้องเห็นภาพนี้จริงๆ ต่อพอเห็นลูกของตัวเองที่ทระนงตนมานานแล้วเอาไปเทียบกับลูกสาวท่านแล้วก็อดที่จะดุเสียไม่ได้”

เว่ยหยวนตี้ที่ได้ยินก็รีบพูดออกมา “ไม่เป็นไรครับไม่เป็นไร หากว่าไม่ใช่ท่านผู้อาวุโสฮั่นสอนสั่งลูกของข้า ลูกของข้าเองก็คงไม่ได้ก้าวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วแบบในวันนี้หรอกครับ”

“อ้ะ ท่านพ่อ ท่านได้ข่าวเกี่ยวกับพี่เฉินเฉียงรึยัง ข้าเองส่งข้อความไปหาเขาแล้วแต่เขาก็ไม่ได้ตอบกลับมาเลย ข้าสงสัยจริงๆว่าเขากำลังทำอะไรอยู่”

เพียงสิ้นคำของเว่ยฉิงเชินแล้ว เว่ยหยวนตี้ก็สังเกตเห็นใบหน้าที่กระตุกยับของฮั่นจุยได้ในทันที แม้จะเพียงแค่เล็กน้อยก็ตาม เขาจึงได้เข้าใจในทันทีว่าฮั่นจุยเองก็รู้สึกตงิดใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของลูกสาวตนกับเฉินเฉียงไม่น้อย

และนี่ทำให้เว่ยหยวนตี้ส่ายหัวไปมาในทันทีแล้วพูดออกมา “พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้พึ่งจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับพวกจางหยวน แต่ถึงกระนั้น เฉินเฉียงก็ไม่ได้ปรากฏ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำอะไรอยู่”

“ว่าไงนะ มีเรื่องเกิดขึ้นกับพวกจางหยวนเหรอ เกิดอะไรขึ้นกัน” เว่ยฉิงเชินรีบถามออกมาในทันที

“ฉิงเชิน ถึงมันไม่ดีที่จะพูดต่อพ่อนั้นที่มาในครั้งนี้ไม่ได้เพียงที่จะพบเจ้าเพียงเท่านั้น หากว่าเจ้ามีเรื่องที่จะพูดคุยกับพ่อเดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลังก็แล้วกัน”

ในตอนแรกนั้น ฮั่นจุยเองก็ไม่ได้อยากจะได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับจางหยวนและเฉินเฉียงก็ทำให้มีใบหน้าที่มืดครึ้มขึ้นมาพลางมองไปที่เว่ยหยวนตี้เช่นกัน

และเมื่อเห็นท่าทางของฮั่นจุยแล้ว เว่ยหยวนตี้ก็เข้าใจแล้วรีบพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโสฮั่น ข้าพึ่งจะรับตำแหน่งผู้การร่วมแห่งตึกจอมพลภาคกลาง เมื่อไม่กี่วันก่อนนั้น ข้า ได้นำกองทัพเข้าร่วมศึกที่จิ้งชวน แต่นั่นเองก็กลับได้รับความพ่ายแพ้กลับมา ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อมาขอรับโทษที่ทำบกพร่องไป”

“โอ้ แต่เจ้าก็แพ้รึ” ฮั่นจุยขมวดคิ้วแน่นในทันทีเมื่อได้ยิน “บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เว่ยหยวนตี้จึงได้บอกเล่ารายละเอียดทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนกระทั่งได้เผชิญหน้ากับหลินไฮ่หวัง

“หลินไฮ่หวังปรากฏตัวรึ มันไม่ใช่เหตุผลที่พวกเราต้องยอมแพ้”

ฮั่นจุยได้ยืนขึ้นมาและตวาดอย่างดังลั่น “ผู้การเว่ย แค่เพียงพวกของหลินไฮ่หวังมีพลังเหนือมนุษย์ประเภทจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งแล้วยังไง เผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเราต้องยอมแพ้กับเรื่องเพียงแค่นี้เนี่ยนะ”

“ผู้การเว่ย จงประกาศออกไป”

“ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังหรือศิษย์ของสำนักศึกษาทั้งสี่หรือแม้แต่อาณานิคมใดก็ตาม ใครก็ตามที่สามารถกวาดล้างไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้ หรือแม้แต่จะฆ่าพวกมันได้เพียงหนึ่งก็ตาม พวกเขามีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วมการประลองของสภาสูงเพื่อฝึกฝนได้”

“ครับ ผู้ใต้บังคับบัญชาจะรีบไปจัดการประกาศเรื่องนี้ในทันทีที่กลับไป” ด้วยการได้รับการหนุนจากฮั่นจุยในครั้งนี้ทำให้เว่ยหยวนตี้เองก็รู้สึกเบาจขึ้นมา

“ท่านพ่อ ข้าจะไปด้วย” เว่ยฉิงเชินได้ยืนขึ้นมา

“หึหึ เจ้าจะไปทำสิ่งใดได้กัน” เว่ยฉิงเชินได้หัวเราะขึ้นมา “ฉิงเชิน เจ้าในตอนนี้นั้นอยู่ในระดับราชาไปแล้ว นับจากนี้เจ้าจะไม่อาจมีส่วนร่วมในสงครามระหว่างมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดได้อีกต่อไป”

“ห้ะ กฎบ้าอะไรกัน หากข้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ข้าจะไม่ยอมตัดผ่านโดยเด็ดขาด” เว่ยฉิงเชินนั้นรู้สึกผิดหวังอย่างที่สุด

คนอื่นนั้นพยายามแทบเป็นแทบตายเพื่อที่จะบรรลุขั้นบ่มเพาะ แต่กับเธอนั้นเธอรู้สึกว่ามันง่ายดายที่จะก้าวมาถึงขั้นนี้ได้ ราวกับว่าเพียงเธอบอกให้เธอทำเธอก็ทำได้ทุกเมื่อหากเธอต้องการ

ส่วนเว่ยหยวนตี้นั้น เมื่อได้รับคำสั่งและคำมั่นของฮั่นจุยแล้ว เว่ยหยวนตี้จึงได้รีบกลับไปและออกคำสั่งในทันที และแพร่กระจายคำสั่งนี้ไปทั่วทุกหัวระแหง

ที่ทะเลสาบกระจก

เมื่อเฉินเฉียงและพวกมาถึง พวกเขาใช้เวลากว่าสองวันในการจัดการสถานที่และพักอาศัยกันอย่างสงบสุข

ในทุกสองวัน หนึ่งในกองกำลังจะออกไปล่าสัตว์ประหลาด และนำพวกมันกลับมาทำเป็นอาหาร และกินพร้อมไวน์กันอย่างฉ่ำอุรา

ส่วนเวลาที่เหลือนั้น เกือบทั้งหมดได้ใช้เวลาในการบ่มเพาะความแข็งแกร่งของตนในพื้นที่แห่งนี้

ด้วยการที่พวกเขานั้นยังมีแผ่นพลังงานที่เป็นสินสงครามที่ได้จากมนุษย์กลายพันธุ์อยู่หลายร้อยแผ่นก่อนหน้า นี่ก็จะเพียงพอทำให้ทั้งสิบสามคนก้าวเข้าสู่ระดับกึ่งราชาได้

สองเดือนผ่านไป เฉินเฉียงเปิดจุดชีพจรได้สามสิบสองจุด เจิ้งยี่เปิดได้สามสิบห้าจุด แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดอย่างเม่ยหลัวหลันนั้น ในตอนนี้ก็เปิดจุดชีพจรได้ยี่สิบหกจุดแล้ว

หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ทั้งกองกำลังเทียนเว่ยล้วนแล้วแต่เป็นนายพลวิญญาณขั้นสูง

“กัปตัน หลางซานเอ๋อล่ากวางขนยาวมาได้อีกแล้ว นี่น่าจะพอให้พวกเรากินดื่มไปได้อีกพักหนึ่ง”

ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ เจิ้งยี่ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาดูมีชีวิตชีวาจนทำให้แม้แต่จางหยวนและคนอื่นๆไม่ได้นึกสภาพก่อนหน้าที่จะแยกตัวออกไปเลยสักนิด

ทุกคนนั้นมีความสุขตามแบบฉบับของตนเอง และตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์

“ฮี่ฮี่ฮี่ ดีมากกก พี่หลัวหลัน นี่เรายังมีไวน์เหลืออีกเท่าไหร่กัน”

“กัปตันไม่ต้องกังวลไป ที่พวกเรามีก็กินดื่มกันไม่หมดในครึ่งปีอย่างแน่นอน”

“เยี่ยม งั้นปล่อยให้หลังซานเอ๋อจัดการย่างมันแล้วกัน คืนนี้เราจะดื่มให้หนักจนหน้าทิ่มดินกันไปข้างนึง”

หลางซานเอ๋อที่อยู่ด้านนอกในตอนนี้เตรียมก่อไฟไว้ก่อนแล้วนั้น เขาก็ได้เดินไปตัดเนื้อของกวางขนยาวออกมาสองก้อน ก่อนที่จะทำการย่างทั้งสองก้อนพร้อมกัน

“มี ใคร อยู่ ไหม………”

เป็นตอนนี้ที่มีเสียงหนึ่งดังตะโกนก้องออกมาจากทางเข้าของอาณานิคม แน่นอนว่านี่ทำให้เฉินเฉียงและพวกตื่นตัวกันในทันที

ในตอนนี้ เฉินเฉียงและคนอื่นๆได้เดินออกมานอกที่พัก ก็พบว่าประตูทางเข้านั้นได้ถูกเตะเปิดเข้ามา

คนกลุ่มหนึ่งประมาณสามสิบคนเห็นจะได้ ได้เดินเข้ามา ดูจากสภาพการณ์แต่งการแล้ว แค่เห็นก็บอกได้ว่าคนเหล่านี้พึ่งจะพ่ายแพ้สงครามกันมา

“กัปตัน” หลานซานเอ๋อได้ตะโกนลั่นขึ้นมาพลางมองไปที่เฉินเฉียงที่พึ่งจะหยุดการใช้เกราะพลังงานไป

“ไม่ต้องกระโตกกระตาก ทุกคนตอนนี้หยุดใช้เกราะพลังงานซะ อย่าได้เผยระดับการบ่มเพาะออกมา”

เฉินเฉียงได้ออกคำสั่งด้วยเสียงอันเบา ก่อนที่จะเดินไปทักทายผู้คนที่เข้ามา

“นายท่าน ที่อาณานิคมแห่งนี้นั้นมีเพียงพวกเราสิบสามคนเพียงเท่านั้น เกรงว่าพวกเราคงไม่อาจต้อนรับพวกท่านได้อย่างดีหรอกนะ”

ผู้นำกองกำลังที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงได้มองเฉินเฉียงไปปราดหนึ่ง เมื่อไม่เห็นเกราะพลังงาน เขาก็ได้สบถถ่มถุยออกมาอย่างดูถูก ก่อนที่จะทำจมูกฟุตฟิตตามกลิ่นที่ลอยโชย “ฮื้ม พวกเจ้ามีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีเลยนี่ ไม่เพียงจะมีเนื้อย่างแล้วยังมีไวน์ดีๆซะอีก”

“”พวกเราพี่น้องพึ่งจะวิ่งมานับร้อยไมล์หมายจะหยุดพักที่นี่ นำไวน์และเนื้อมาให้พวกเราด้วยหลังจากย่างเสร็จน่ะ”

เมื่อพูดจบ ชายคนนี้ก็ถือวิสาสะพาคนของตนเข้าไปนั่งที่หอกลางของอาณานิคม

“ไอ้ฉิบหาย ไอ้พวกนี้ทำให้พ่อคนนี้ราวกับคนโง่ตัวหนึ่ง มันหาที่ตายอย่างแท้จริง”

หลางซานเอ๋อได้โยนเนื้อในมือทิ้งกับพื้น ก่อนที่จะชักดาบออกมาหมายจะเดินตามเข้าไปวิวาทเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

“หยุดเลยเอ็ง เก็บดาบเดี๋ยวนี้”

เฉินเฉียงรีบทำเสียงดุออกมา

“กัปตัน ต่อให้ไอ้พวกนี้รวมหัวกันก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้ แล้วท่านจะไปให้พวกมันทำตัวหน้าโมโหแบบนี้ไปทำไมกัน” หลางซานเอ๋อที่ได้ยินก็อดจะสงสัยพลางมองไปยังหอกลางด้วยสายตาอำมหิตเสียมิได้

เฉินเฉียงได้มองไปยังคงกลุ่มนี้ที่ลับหายเข้าไป ก่อนที่จะกระซิบออกมา “นี่พวกเจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าทำไมเราถึงปลีกตัวมาอยู่ที่นี่ พวกเราจะต้องจัดการเรื่องนี้ไม่ให้บานปลาย เข้าใจรึเปล่า”

“หลังจากส่งพวกมันไปแล้ว พวกเราจะได้มีชีวิตอย่างสงบสุขต่อไง”

“ศิษย์พี่กัว เอาไวน์ออกไปให้พวกมันสองไห”

“……แม่…เอ๊ย ” กัวเหลียงสบถออกมา พร้อมท่าทางที่ไม่อยากอย่างที่สุดพลางหยิบไวน์ดอกเหมยแดงออกมาจากแหวนของตน ก่อนที่จะเดินเอาไปส่งในหอกลางด้วยใบหน้าที่ยับบ่น

“ศิษย์น้อง ได้ยินรึเปล่านั่น ไอ้พวกนี้กำลังพูดถึงการศึกที่จิ้งชวน นี่ผ่านมาสองเดือนแล้วยังไม่จบอีกแหะ”

กัวเหลียงพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาราวกระซิบหลังจากออกมา

เฉินเฉียงและคนอื่นไม่ได้พูดอะไรก่อนที่จะนิ่งเงียบเพื่อรวบรวมข้อมูลจากคนกลุ่มนี้

“พวกเรา อย่ากลับไปอีกเลยนะ หากพวกเรากลับไปอีกก็ไม่ได้ต่างจากเอาชีวิตไปทิ้งชัดๆ”

“ถูกต้อง ต้องโทษผู้อาวุโสฮั่นนั่นที่เอาแต่พร่ำพูดออกมาว่าพวกเราต้องแก้แค้นให้กับนักรบผู้กล้าที่ล่วงลับที่ตายจากไป แต่นี่ก็ผ่านมาเดือนกว่า ไม่สิ สองเดือนเข้าไปแล้ว เผ่าพันธุ์ของพวกเรานั้นกลับสูญเสียนักรบนับวันยิ่งหนักข้อขึ้น”

“ข้าว่าผู้อาวุโสฮั่นนั่นพยายามจะแก้แค้นให้ลูกชายคนเล็กของตนเสียมากกว่า เขาไม่ได้แยแสกับชีวิตของพวกเราหรอก”

“ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างน้นจริงๆ ข้าได้ยินมาว่าผู้การร่วมคนใหม่แห่งตึกจอมพลภาคกลาง ท่านเว่ยหยวนตี้ ได้นำนักรบผู้เชี่ยวชาญทั้งสามเขต ปกครองกว่าหลายร้อยคนเข้าร่วมศึก แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจจะต้านทานมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้ได้เลย หากเป็นอย่างนี้ล่ะก็ จำนวนนักรบผู้เสียชีวิตในเขตจิ้งชวนนั้นมีแต่เพิ่มขึ้นเท่านั้น”

“กัปตัน หากพวกเรากลับไปจิ้งชวนในตอนนี้ พวกเราก็คงถูกส่งไปพบความตายอีกเป็นแน่ ต่อให้พวกเรากลับไปที่ๆพวกเราจากมา ยังไงซะพวกเราก็ถูกส่งไปร่วมรบอีกอยู่ดี ข้าว่า พวกเราหาอาณานิคมสักที่พำนักกันก่อนดีกว่า”

เมื่อได้ยินแบบนี้ จางหยวน เฉินเฉียง และคนอื่นๆต่างก็มองหน้ากันในทันที

“กัปตัน ดูเหมือนว่าการศึกที่จิ้งชวนในครั้งนี้พวกเราจะหมดหวังแล้วล่ะ”

“กัปตัน พวกเราจะเอายังไงกันดีล่ะ พวกเราจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่อีกเหรอ”

“หรือ…..เราควรจะกลับไปดูสักหน่อยดี”

หลังจากพูดออกมา เม่ยหลัวหลันก็รีบปิดปากของตน “ไม่ ไม่ได้พูดนะ ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น”

ถึงแม้ทุกคนจะไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมาอย่างเด่นชัด แต่เฉินเฉียงก็เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าในฐานะนักรบแห่งกองกำลังมนุษย์ ยามเมื่อเห็นมนุษย์มีภัย มีหรือที่พวกเขาจะอยู่เฉยไม่ขยับเขยื้อนเขาช่วยเหลือ

“เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเราไล่ไอ้พวกนี้กลับไปได้เมื่อไหร่แล้วเราค่อยมาพูดคุยกัน”

ด้วยการที่กองกำลังเทียนเว่ยเองก็คือกลุ่มก้อนของผู้คนที่มีใจเดียวกัน หากจะต้องออกจากที่นี่ ทุกคนย่อมต้องจากไปจากที่นี่พร้อมกัน

และเป็นตอนนี้ที่เสียงดังลั่นได้ดังออกมาจากหอกลาง “เฮ้ย เนื้อยังย่างไม่เสร็จอีกหรือไง รีบๆเอาเข้ามาได้แล้ว”

“มาแล้วมาแล้ว”

เม่ยหลัวหลันได้นำเนื้อกวางขนยาวหั่นครึ่งก้อนเข้ามาในหอกลางอย่างรวดเร็ว

“โอ่ ไม่นึกเลยจริงๆว่าจะมีสาวน้อยอยู่ในอาณานิคมเล็กๆอย่างนี้ด้วย ฮี่ฮี่ฮี่ มาๆ เจ้ามานั่งดื่มกับข้าเสียดีๆ”

เม่ยหลัวหลันที่พึ่งจะเข้ามาในหอกลาง ก็ถึงกับใบหน้ากระตุกในทันใด

ไม่ว่ายังไงก็ตาม เธอเองนั้นก็เป็นถึงนายพลวิญญาณขั้นสูงแล้วในตอนนี้ กับพวกกะเลกะราดในห้องนี้ยี่สิบกว่าคน หากเธอลงมือต่อให้ตัวคนเดียวพวกมันย่อมตกตาย โดยไม่แม้แต่ให้เฉินเฉียงหรือคนอื่นๆในกองกำลังต้องช่วยเหลือแม้แต่น้อย

“ ระวังปากของเจ้าหน่อย” เม่ยหลัวหลันสบถออกมาทีหนึ่ง พลางแสดงท่าทางเย็นชาออกมา

“โว่โว่โว้ แม้สาวคนนี้ช่างดุร้ายจริง ข้าล่ะชอบนักอีแบบนี้”

เมื่อพูดจบ ผู้นำกองกำลังก็ได้ถือแก้วไวน์ขึ้นมาในมือ ก่อนที่จะเดินตรงไปหาเม่ยหลัวหลัน แต่เป็นตอนนี้ที่เขาได้ยินเสียงหวีดหวิวดังมาแต่ไกล

และเสียงนี้ก็ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เฉินเฉียงและพวกเองที่ได้ยินเสียงนี้มาแต่ไกลนั้น กว่าจะรู้สึกตัวก็เห็นเงาสีแดงหนึ่งได้พุ่งตรงเข้าไปในหอกลาง

ผู้นำกองกำลังกลุ่มนี้เองที่รับรู้ถึงเสียงนี้ก็ได้ลองหันกลับไปดู เขาก็ได้เห็นเงาสีแดงเล็กๆปรากฏตัวอยู่ข้างเม่ยหลัวหลัน และมันก็ได้พ่นลูกบอลไฟเผาร่างของผู้นำกองกำลังนี้ในทันที

“อ๊ากกกกก”

“กัปตัน”

นักรบของกองกำลังที่เห็นฉากนี้แล้วก็หน้าซีดเผือดในทันที ก่อนที่จะรีบเร่งปัดไฟบนร่างของผู้นำของตน

อย่างๆรก็ตาม แม้ว่าไฟนี้มันจะดูกองเล็ก แต่อุณหภูมิของมันกลับสูงล้ำ

และเพียงไม่นาน ชีวิตของนายพลวิญญาณขั้นสูงผู้หนึ่ง ก็ได้ดับหายตายไปอย่างช้าๆและหมดสิ้นไป

แต่ก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้

หลังจากจัดการผู้นำกองกำลังไปแล้ว เงาสีแดงยังพ่นไฟออกมาอย่างต่อเนื่องไปยังนักรบคนอื่น

“สัตว์ประหลาด รีบวิ่งเร็ว”

นักรบแห่งเผ่าพันธุ์เมื่อเห็นว่าสิ่งที่โจมตีพวกตนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่มีขนาดไม่ถึงฟุตนึงดีนั้น ถึงแม้มันจะตัวเล็กแต่มันก็ฆ่านักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของตนไป แล้วพวกเขามีหรือที่จะกล้าต่อสู้

ที่ด้านนอกหอนั้น แม้เฉินเฉียงจะไม่ได้หยุดทุกคนเอาไว้ แต่จางหยวนและพวกก็ไม่ได้ช่วยเหลือหรือซ้ำเติมคนกลุ่มนี้แต่อย่างใด พวกเขาเพียงแค่มองคนกลุ่มนี้จากไปจากพื้นที่อาณานิคม ราวกับกำลังนั่งรับชมหมาแข่งที่โดนน้ำร้อนลวกกันเลยทีเดียว

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท