ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 275 ไร้ยางอายชิดซ้าย

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 275 ไร้ยางอายชิดซ้าย

“พ่อ ข้าพูดความจริง พี่ใหญ่เฉินเฉียงเขาไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์”

“ก่อนหน้านี้พวกเราได้ตรวจสอบพี่ใหญ่เฉินเฉียงเพราะเรื่องปีกสีเงินมาแล้วเหมือนกัน ในตอนนั้นพวกเราทุกคนต่างก็คิดว่าพี่ใหญ่เขาเป็นมนุษย์กลายพันธุ์”

“ในตอนหลังจางหยวนกับคนอื่นในกองกำลังเทียนเว่ยได้ตรวจสอบในหัวของพี่ใหญ่มาแล้ว ข้าเองก็ตรวจสอบเขาแล้วด้วย พวกเราไม่พบแผ่นแก่นพลังงานแม้แต่น้อย”

“เหตุผลที่ว่าทำไมพี่ใหญ่ใช้พลังเหนือได้นั้นเป็นเพราะอาจารย์ของเขาได้ถ่ายทอดมาให้พี่ใหญ่เพียงเท่านั้น”

“ห้ะ เจ้าบอกว่าเฉินเฉียงไม่มีแผ่นแก่นพลังงานอยู่ในหัวเรอะ” เว่ยหยวนตี้หน้าเปลี่ยนสีไปมาหลากหลายรูปแบบเมื่อได้ยิน ก่อนที่จะสบถออกมา “เหอะ ถึงเจ้าจะพูดถูกต้องว่ามันไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์แล้วยังไง”

“ก่อนหน้านี้ตอนที่มันช่วยข้าไว้มันก็เผาผลาญแก่นสายเลือดของตัวเองไปแล้ว ยังไงซะมันในตอนนี้ก็ต้องค้างคาอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงไปตลอดชีวิต ไม่อาจก้าวหน้าได้อีก”

“จดจำไว้ว่าอย่าได้ไปข้องเกี่ยวกับมันอีก”

“หรือหากมันติดต่อมาก็รีบติดต่อท่านผู้อาวุโสฮั่นโดยเร็วให้รีบจับตัวมันไว้ซะ”

“ฉิงเชิน เจ้าอย่าได้ลืมไปว่าเฉินเฉียงนั้นมันเป็นผู้เดียวที่กำความลับของเขตแดนจักรพรรดิเอาไว้”

“ตราบใดที่เจ้าจับตัวมันได้แล้วส่งมันให้สภาสูง พวกเราพ่อลูกจะสุขสบายไปอีกทั้งชีวิต”

“พ่อ”

เว่ยชิงเฉินตะคอกออกมาด้วยความโกรธสุดขีดเมื่อได้ยิน

“พ่อ ลูกสาวคนนี้ไม่คิดเลยจริงๆว่าพ่อจะเป็นคนที่ไม่รู้คุณคนและไร้ยางอายอย่างนี้”

“พี่ใหญ่เฉินเฉียงยอมแม้กระทั่งเผาผลาญแก่นสายเลือดตัวเองเพื่อช่วยท่านนะ”

“ท่านไม่เพียงช่วยเขาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ แต่ท่านอย่างตอบแทนเขาด้วยวิธีการนี้ นี่ท่านคิดตอบแทนลุงเฉินเทียนเว่ยที่ตายไปด้วยวิธีการนี้งั้นรึ”

“เปี๊ยะ”

เมื่อได้ยินชื่อของเฉินเทียนเว่ยออกมาจากปากของลูกสาวตนแล้ว เว่ยหยวนตี้ก็ถึงกับมือลั่นตบหน้าลูกสาวของตนไป

“ไอ้เด็กเวร อย่าได้กล่าวถึงไอ้พวกแซ่เฉินไม่ว่าจะเป็นตัวพ่อหรือลูกมันต่อหน้าข้าอีก ฮึ่ม…”

เป็นตอนนี้ที่ฮั่นจุยที่ออกไปหาเฉินเฉียงได้กลับเข้ามา

“เป็นอย่างไรบ้างครับท่านผู้อาวุโสฮั่น”

“เห้อ…..”ฮั่นจุยถอนหายใจออกมายาวๆอย่างไม่อยาก “ข้าไม่คิดว่าไอ้เด็กเวรนั่นจะเผ่นไปเร็วขนาดนี้ นี่ขนาดข้าผู้นี้ออกไปดูโดยรอบร่วมร้อยไมล์เลยนะ ถึงขนาดนั้นข้าก็ไม่เห็นร่องรอยของมันแม้แต่น้อย”

มาถึงตอนนี้ ฮั่นจุยได้มองไปที่เว่ยฉิงเชินแล้วพูดออกมา “ฉิงเชิน เปิดกำไลสื่อสารของเจ้าแล้วส่งข้อความไปหาเฉินเฉียงซะ ดูว่ามันอยู่ไหนกัน”

เว่ยฉิงเชินที่ใช้มือกุมหน้าเพราะถูกเว่ยหยวนตี้ตบไปนั้นก็จ้องมองไปยังฮั่นจุยและเว่ยหยวนตี้ด้วยสายเย็นชา ก่อนที่จะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“ไอ้เด็กเวร นี่เจ้ากล้าแสดงท่าทีแบบนี้ออกมางั้นรึ” เมื่อพูดจบ เว่ยหยวนตี้ได้ยกมือของตนขึ้นอีกครั้ง หมายจะตบสั่งสอน แต่ถูกหยุดไว้ด้วยฮั่นจุย

“ช่างมันเถอะผู้การเว่ย กับคนหนุ่มสาวนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่หลงใหลในเพศตรงข้าม เอาไว้เมื่อเธอนั้นรู้สึกตัวก็จะร้องไห้สำนึกเอง”

“เอ้อ ผู้การเว่ย แล้วอาการบาดเจ็บของท่านเป็นยังไงบ้าง”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เว่ยหยวนตี้ได้แสดงออกมาด้วยสีหน้าที่มืดครึ้มแล้วส่ายหัวไปมา “เฮ้ออออ ผู้อาวุโสฮั่น ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ถูกทำร้ายโดยราชาสวรรค์ในครั้งนี้นั้นทำให้โลกใบเล็กของข้าทำถูกทำลายลงไปแล้ว หากข้าไม่ได้เม็ดยาโลกาหวนคืนในครึ่งปี ข้าเกรงว่าระดับการบ่มเพาะของข้าคงร่วงหล่นกลับไปยังระดับกึ่งราชา และคงยากจะฟื้นคืนอีก”

เว่ยฉิงเชิน ที่อยู่ไม่ไกลนัก เมื่อเธอได้ยินคำพูดของเว่ยหยวนตี้แล้วก็ถึงกับต้องหันกลับมามองเว่ยหยวนตี้ด้วยสายตาที่เบิกกว้าง “พ่อ ท่านว่ายังไงนะ โลกใบเล็กของท่านถูกทำลายอย่างนั้นเหรอ”

“แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะ”

เมื่อพูดออกมา เว่ยฉิงเชินก็ตกอยู่ในสภาพไร้หนทางออก ก่อนที่เธอจะหันไปหาฮั่นจุยแล้วรีบถามออกมา “ผู้ท่านอาวุโสฮั่น ท่านเองมีสถานะที่สูงส่งอยู่ท่านพอจะมีวิธีการช่วยเหลือท่านพ่อของข้ารึเปล่าคะ”

เว่ยฉิงเชิงเองนั้นถึงแม้จะพึ่งจะก้าวเข้ามาสู่ระดับราชาขุนพลได้ไม่นาน แต่เธอก็รู้อย่างกระจ่างชัดว่าโลกใบเล็กของเหล่าราชานั้นมีความสำคัญแค่ไหน แล้วหากมันถูกทำลายไปแล้วนั้น แม้แต่เธอก็ยังต้องติดค้างอยู่ในระดับนายพลวิญญาณชั่วชีวิต

อย่างไรก็ตาม เว่ยฉิงเชินนั้นเหมือนจะสังเกตอะไรบางอย่างได้เหมือนกัน เพราะหลังจากที่ฮั่นจุยรับรู้ว่าพ่อของตนนั้นได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นโลกใบเล็กถูกทำลายแล้ว เขานั้นก็ยังไม่ไหวติง นี่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นมีทางช่วยเธอได้อย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินคำถามนี้แล้ว แม้แต่เว่ยหยวนตี้เองก็ยังหันไปมองฮั่นจุย

ฮั่นจุยขมวดคิ้วไปเล็กน้อย ก่อนที่จะนิ่งคิดไป หลังจากนั้นเขาก็ได้พยักหน้ารับแล้วพูดออกมา “ฉิงเชินความเป็นจริงแล้วหากจะให้พูด โดยทั่วไปแล้วแล้วนั้นไม่มีทางอื่นได้เลยที่จะช่วยพ่อของเจ้าไว้ได้”

“ถึงแม้ว่ายาหวนคืนโลกานั้นจะไม่ใช่ยาระดับสูง แต่ส่วนผสมยานั้นกลับหาได้อย่างยากยิ่งนัก”

การจะปรุงยานี้ได้ อย่างแรกที่ต้องหานั้นก็คือเมล็ดพันธุ์แห่งโลก ก็อย่างที่เจ้าได้รู้มาว่ามีเพียงผู้ที่บ่มเพาะไปถึงระดับกึ่งราชาได้แล้วเท่านั้นถึงจะมีมันอยู่

อย่างที่สองก็คือดอกไม้หลากสีที่หาได้อย่างยากยิ่งในโลกใบนี้ เท่าที่ข้ารู้มาคือมันบานเฉพาะที่เขตทะเลไกลโพ้น

เพียงแค่สองอย่างนี้ก็ทำให้การได้รับยาโลกาหวนคืนยากที่จะได้รับมา

“อย่างไรก็ตาม….”

เมื่อพูดจบ ฮั่นจุยได้นิ่งเงียบและหันไปที่เว่ยหยวนตี้และเว่ยฉิงเชินแล้วพูดออกมา “ถึงแม้ว่าเม็ดยานี้ยากจะหาได้ แม้แต่ตัวข้านั้น ก็ยังมีมันเพียงหนึ่งเดียว”

เมื่อพูดจบ ลูกบอลขนาดเท่าลูกปิงปองก็ได้ปรากฏขึ้นที่เหนือมือของฮั่นจุย เป็นตอนนี้ที่กลิ่นหอมของมันได้ลอยออกมาอย่างยั่วยวน

เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว เว่ยหยวนตี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขารีบโค้งตัวคำนับฮั่นจุยในทันที พลางพูดพร่ำขอบคุณออกมา “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสฮั่นที่ช่วยชีวิตข้า ขอบคุณ….”

“เฮ่เฮ่เฮ้ ผู้การเว่ย อย่าได้รีบขอบคุณข้าเร็วจนเกินไปนัก”

ฮั่นจุยได้เก็บเม็ดยาโลกาหวนคืนนี้กลับไปแล้วพูดออกมา “ผู้การเว่ย ข้าเชื่อว่าต่อให้ข้าไม่พูด ท่านก็รับรู้ได้ใช่รึเปล่าว่าเม็ดยาเม็ดนี้ล้ำค่าขนาดไหนน่ะ”

“อย่าว่าแต่เจ้าที่เป็นราชาขุนพลเลย แม้แต่ราชาจอมพลที่โลกใบเล็กถูกทำลาย ตราบใดที่คนคนนั้นมีลมหายใจ เมื่อเขาได้เม็ดยาโลกาหวนคืนนี้ไปก็ไม่ได้ต่างกับการถือกำเนิดใหม่”

“แล้วเจ้าคิดว่าตัวท่านนั้นจะได้สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ไปโดยไม่มีค่าใช้จ่ายอย่างงั้นรึ”

-ดังคำกล่าวที่ว่า ของฟรีย่อมไม่มีในโลกสินะ-

-แม้แต่คนที่มีตำแหน่งสูงล้ำอย่างฮั่นจุยเองก็ยังไม่ใช่คนดีที่ตัดขาดจากความต้องการทั้งหลาย-

-แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะว่าเม็ดยาที่อยู่ในมือของเขานั้นมันล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย-

-แล้วคนเช่นข้า เว่ยหยวนตี้ ไม่ใช่คนที่มีค่าพอที่จะทำให้ฮั่นจุยต้องช่วยเหลือ แล้วฮั่นจุยจะช่วยข้าไปทำไม-กัน

-มันมีสิ่งใดจากข้ากันแน่ที่แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับราชาจอมพลผู้นี้ก็ยังอยากจะได้-

-มันต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับข้าที่ทำให้……..-

หลังจากนิ่งคิดอยู่นาน เว่ยหยวนตี้ก็ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ก่อนที่จะหันขวับไปยังลูกสาวของตนพลางแจ๊บปากไปมา หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ฮั่นจุยพร้อมหัวใจที่ราวกับจะตื่นเต้นยินดี

“ฮี่ฮี่ฮี่ ท่านผู้อาวุโสพูดได้ถูกต้องนัก แต่ข้านั้นต้องการทราบจริงๆว่าท่านนั้นต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยนกับเม็ดยาหวนคืนโลกาที่อยู่ในมือของท่าน”

“ก็ไม่มีอะไรมาก” ฮั่นจุยได้มองไปที่เว่ยฉิงเชินก่อนที่จะชูมือขึ้นมาสองนิ้ว

“ตราบใดที่เว่ยฉิงเชินรับปากข้อสองข้อ ข้ายินดีที่จะยกเม็ดยานี้ให้ท่านด้วยสองมือในตอนนี้เลยก็ยังได้”

เมื่อเว่ยฉิงเชินได้ยินแบบนี้ เธอก็รีบปาดน้ำตามแล้วถามออกมา “ผู้อาวุโสฮั่น เงื่อนไขใด อย่าว่าแต่สองข้อ แม้แต่ยี่สิบข้อถ้าข้าทำได้ข้าก็จะทำเพื่อทำให้พ่อของข้านั้นต้องหายดี”

“ฮ่าฮ่าฮ่า”

ฮั่นจุยหัวเราะออกมาอย่างดังลั่นแล้วพูดออกมา “ฉิงเชินเอ๋ย อย่าได้กังวลไป เพียงแค่สองข้านี้ก็เพียงพอ และมันก็ง่ายมากราวกับพลิกฝ่ามือของเจ้า”

“แล้วก็ ถึงแม้มันจะง่ายมาก แต่ข้าก็ต้องการเพียงสองข้อนี้เท่านั้น”

เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ฉิงเชินก็แสดงออกมาด้วยท่าทางที่มีความสุข ในขณะเดียวกันเธอก็นึกสงสัยจนต้องถามออกมา “แล้ว….ท่านผู้อาวุโสต้องการให้ข้าทำสิ่งใดกันคะ”

“ข้อแรก….” ฮั่นจุยได้มองไปที่กำไลสื่อสารของฉิงเชินแล้วพูดออกมา “เพียงเจ้าส่งข้อความไปที่เฉินเฉียงแล้วดูว่ามันอยู่ที่ไหน”

“ห้ะ ไม่มีทาง” เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ฉิงเชินก็รีบใช้มือของตนกุมกำไลสื่อสารเอาไว้พลางส่ายหน้าไปมาอย่างถี่ยิบ

เว่ยหยวนตี้ที่เห็นก็ถึงกับของขึ้นจนก่นด่าออกมา “ไอ้ลูกสาวเวรตะไล นี่เจ้าเห็นหมารับใช้มนุษย์กลายพันธุ์ดีกว่าชีวิตของพ่อคนนี้อย่างงั้นรึ เพื่อปกป้องไอ้ตัวเลวชาติเฉินเฉียงนั่นเจ้าถึงกับยอมมองพ่อให้ติดอยู่ในระดับกึ่งราชาไปชั่วชีวิตได้เลยงั้นเหรอ”

“ไม่ค่ะ ท่านพ่อ” เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่เคยจะได้ยินมาก่อนจากปากพ่อของตัวเองนี้ เว่ยฉิงเชินรู้สึกราวกับถูกมีดกรีดเฉือนที่หัวใจ เธอรีบพูดตอบโต้ออกมา “ท่านพ่อ พวกเราจะขายพี่ใหญ่เฉินเฉียงเพียงเพราะเม็ดยาโลกาหวนคืนเม็ดเดียวเนี่ยนะ”

“มันก็แค่เม็ดยาเพียงเท่านั้น”

“ลูกสาวของท่านไม่เชื่อว่าจะมีผู้อาวุโสฮั่นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีมันอยู่”

“ท่านพ่ออย่าได้กังวลไป ลูกสาวของท่านผู้นี้จะออกจากเขาโชวหยางตั้งแต่พรุ่งนี้ และจะท่องไปทั่วโลกหล้า ไม่ว่ายังไงก็ตาม ลูกสาวของท่านจะต้องหาเม็ดยานี้เพื่อช่วยให้โลกใบเล็กของท่านฟื้นกลับคืน…..”

“แปะ…แปะ…แปะ”

ฮั่นจุยที่อยู่ไม่ไกลนั้นได้ปรบมือของตนพร้อมรอยยิ้มแล้วพูดออกมา “ผู้การเว่ย ข้าขอแสดงความยินดีด้วยนะที่ท่านนั้นมีลูกสาวที่ดีเลิศประเสริฐศรีขนาดนี้”

“ดี งั้นข้าก็ไม่มีธุระอะไรกับพวกเจ้าแล้ว ในเมื่อลูกสาวท่านนั้นต้องการจะจัดการด้วยตัวเอง งั้นข้าก็ขอตัวก่อน”

“ตัวข้าคงหวังได้เพียงว่าลูกสาวสุดประเสริฐของท่านนั้นจะหาเม็ดยาหวนคืนโลกาได้เร็วที่สุดล่ะนะ”

เป็นตอนนี้ที่ฮั่นจุยได้หันหลังออกไปและค่อยเดินออกจากห้อง

“ฮะ เฮ้ ผู้อาวุโส ท่านผู้อาวุโสฮั่น ได้โปรดหยุดก่อน”

เว่ยหยวนตี้รีบพูดหยุดฮั่นจุย ก่อนที่จะลอบส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปหา –ท่านผู้อาวุโสฮั่น โปรดให้อภัยต่อความหยาบคายของลูกสาวข้าด้วย-

-หากผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ไม่บาดเจ็บหนักล่ะก็ ข้าเองก็คงจะจับตัวเฉินเฉียงเอาไว้ก่อนหน้านี้ไปแล้ว-

“แต่ในตอนนี้ ในเมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้บาดเจ็บหนัก ดังนั้นข้าจึงมีเรื่องร้องขอ ข้าขอให้ท่านผู้อาวุโสฮั่นลงมือควบคุมลูกสาวข้าเอาไว้ เดี๋ยวผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้จะเป็นคนส่งข้อความจากกำไลสื่อสารในมือนางออกไปเอง ท่านคิดเห็นเป็นเช่นใด”

เมื่อได้ยินเช่นั้น ฮั่นจุยก็ได้หยุดเท้าลงและพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

ฉิงเชินที่ไม่รู้การลอบพูดคุยของคนทั้งสองตรงหน้านี้แม้แต่น้อยนั้น เมื่อได้เห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรของทั้งคู่แล้วก็ทำให้เธอนั้นตัดสินใจที่จะออกไปจากที่นี่

แต่กระนั้น เธอก็ยังรู้ตัวช้าเกินไป นั่นก็เพราะเธอพบว่าตัวเองไม่อาจจะขยับเขยื้อนได้ไปแล้ว

“ผู้อาวุโสฮั่น ท่านพ่อ พวกท่านต้องการจะทำอะไร ปล่อยข้านะ”

เมื่อเห็นว่าฮั่นจุยตรึงร่างของลูกสาวตนได้แล้ว เว่ยหยวนตี้ก็ได้เดินไปทางเว่ยฉิงเชินด้วยสายตาที่เย็นชา แล้วปลดกำไลสื่อสารออกมาจากเธอ

“ฮึ่ม ไอ้ลูกสาวเวรตะไล นี่เจ้าคิดจะทิ้งข้าไว้อย่างนั้นรึ ดี ในเมื่อเจ้าไม่อยากจะส่งข้อความนักล่ะก็ ข้า จะเป็นคนส่งมันเอง”

เฉินเฉียงที่อยู่ใต้ดินลึกลงไปกว่าเจ็ดกิโลเมตรนั้นก็รับรู้เรื่องทุกอย่างเป็นอย่างดี

และเมื่อเห็นว่าเว่ยหยวนตี้แย่งกำไลสื่อสารของเว่ยฉิงเชินไปแล้ว เขาก็รีบปิดกำไลสื่อสารของตน ก่อนที่จะรีบบอกให้เจิ้งยี่ส่งข้อความไปหาจางหยวนและคนอื่นๆให้ปิดกำไลสื่อสารด้วยเช่นกัน

และหลังจากคิดอะไรบางอ่างขึ้นมาได้ เฉินเฉียงก็ได้ส่งเม็ดยาเสริมสร้างจิตวิญญาณออกมา เพื่อให้คลื่นออร่าของเจิ้งยี่เปลี่ยนแปลงไป ในขณะเดียวกัน ตัวเขานั้นก็ใช้ทักษะไร้ตัวตนเพื่อกลบซ่อนตัวเองแล้วใช้ทักษะรับรู้ด้วยเสียงแทนการปล่อยกระแสจิต และนี่ทำให้ตัวเขานั้นพึ่งจะโล่งใจขึ้นมาได้

ฮั่นจุยนั้นยังไงซะก็เป็นถึงราชาจอมพลขั้นกลาง หากเขาไม่ระวังตัวล่ะก็ พวกเขาต้องพบกับหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย

เว่ยหยวนตี้ที่ในตอนนี้ก็ได้พบข้อมูลติดต่อเฉินเฉียงจากกำไลสื่อสารในที่สุด หลังจากนั้นเขารีบส่งข้อความออกไป แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเฉินเฉียงนั้นจะปิดกำไลสื่อสารไปแล้ว นี่ทำให้เว่ยหยวนตี้โกรธเคืองถึงกับต้องเขวี้ยงกำไลสื่อสารลงพื้นในทันทีจนแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี

เว่ยฉิงเชินที่ถูกตรึงอยู่นั้น ในตอนแรกเธอก็กังวลเหมือนกัน แต่เมื่อเธอได้เห็นว่ากำไลสื่อสารโดนทำลายไปแล้วก็ได้เบาใจลง ในขณะเดียวกันก็ได้จ้องมองไปที่หน้าของพ่อของตนและฮั่นจุยอย่างเย็นชา

“ไอ้ตัวระยำตำบอนเอ๊ย แม่…งปิดกำไลสื่อสารไปแล้ว ท่านผู้อาวุโส ข้าว่าพวกเราคงหาตัวมันไม่ได้ง่ายๆแล้วล่ะ” เว่ยหยวนตี้พูดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว

“โอ้” เมื่อได้ยินแบบนี้ ฮั่นจุยได้ปล่อยร่างของเว่ยฉิงเชินออกมาจากการควบคุม ก่อนที่ยิ้มออกมาราวกับไม่แยแสในสิ่งที่ตัวเองกระทำ “ไม่เป็นไร ยังไงซะก็ยังมีวิธีการอีกมากมายที่จะหาตัวไอ้เด็กนั่น ตราบใดที่มันยังอยู่ ข้าก็ยังมีโอกาสที่จะหาตัวมันได้”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ถ้าอย่างนั้น…”

เว่ยหยวนตี้ได้เดินกลับไปหาฮั่นจุยพลางถูมือไปมา “ท่านผู้อาวุโสฮั่น ท่านว่ามีเงื่อนไขสองข้า นี่ถือว่าเงื่อนไขข้อแรกลูกสาวข้าทำสำเร็จแล้วใช่หรือไม่ครับ”

ฮั่นจุยหยักหน้ารับก่อนที่จะมองไปทางเว่ยฉิงเชินแล้วพูดออกมา “ผู้การเว่ย ดูเหมือนท่านจะเลี้ยงลูกมาให้รักท่านได้ไม่ดีพอนะ นี่ขนาดข้อแรกยังขัดขืนซะขนาดนี้ แล้วข้อสองนี่ข้าว่าคงไม่คิดจะฟังเลยกระมัง”

เว่ยหยวนตี้ในตอนนี้ได้มองไปที่เว่ยฉิงเชินที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่ “ฉิงเชิน เจ้าและข้ายังไงซะก็อยู่ด้วยกันมากว่ายี่สิบเอ็ดปีแล้ว อย่างน้อยๆเจ้านั้นก็ควรจะเห็นแก่คำว่าพ่อสักหน่อยใช่รึเปล่า”

ถึงแม้ว่าเว่ยฉิงเชินในตอนนี้นั้นจะไม่อยากที่จะทำตอบคำข้อร้องขอของฮั่นจุยแล้วก็ตาม แต่เมื่อรู้สึกได้ว่าข้อต่อไปนั้นมาน่าจะเกี่ยวกับเฉินเฉียงแล้ว นี่ทำให้เธอนั้นโล่งใจออกมา ก่อนที่จะหันไปมองผู้เป็นพ่อที่ตอนนี้ตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ จนทำให้เธอใจอ่อนจนต้องถามออกมาเกี่ยวกับเรื่องนี้จากปากของตนเอง “ผู้อาวุโสฮั่น บอกข้ามา เงื่อนไขข้อสองคืออะไร”

เมื่อได้ยินแบบนี้ มุมปากของฮั่นจุยก็ได้เผยรอยยิ้มขึ้นมาในทันที เขาจ้องมองไปที่เว่ยหยวนตี้ด้วยดวงตาที่แตกต่างกว่าทุกครั้ง

เมื่อได้เห็นดวงตานี้ เว่ยหยวนตี้ก็ราวกับจะรับรู้อะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงรีบพูดออกมาในทันที “ท่านผู้อาวุโสฮั่น ข้านั้นได้ยินมาว่านายน้อยฮั่นเซียงนั้นเป็นอัจฉริยบุคคลที่ยากจะหาใครเปรียบ และในตอนนี้เขาเองก็เป็นราชาขุนพลแล้ว กับคนหนุ่มแน่นที่หล่อเหลาเช่นนี้ การที่เขาได้รู้จักฉิงเชินของข้าได้นั้น นี่ถือได้ว่าเป็นบุพเพวาสนา”

“ห้ะ ไม่ ข้าไม่ยอม” ท่าทีของฉิงเชินนั้นเปลี่ยนไปในทันทีเมื่อได้ยิน

“ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่านอกจากพี่ใหญ่เฉินเฉียงแล้ว ลูกสาวของท่านไม่เคยมีใครอยู่ในหัวใจ แล้วนี่ท่านยังคิดที่จะใช้ความสุขชั่วชีวิตของลูกสาวเป็นของแลกเปลี่ยนเนี่ยนะ”

“นังหน้าไม่อาย” เว่ยหยวนตี้นั้นไม่คิดว่าลูกสาวตนจะกล้าประกาศตัวออกมาได้ถึงขนาดนี้ และนี่ทำให้เขานั้นถึงกับต้องทุบอกและกระทืบเท้าตัวเองในทันที ก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าเว่ยหยวนตี้ผู้นี้ไม่คิดเลยจริงๆว่าข้าที่ใช้เวลาทั้งชีวิตมาเลี้ยงดูลูกของตัวเองมานาน จะมาถึงจุดที่ลูกสาวของข้าไม่เชื่อฟังข้าแล้ว”

หลังจากทุบอกชกตัวเองกระทืบเท้าเสร็จแล้ว เว่ยหยวนตี้ก็ได้ทิ้งตัวลงกับขอบโต๊ะจนหักพังลงไปร้องไห้กับพื้น

“ท่านพ่อ นี่ท่านคิดจะทำอะไรกัน” เว่ยฉิงเชินในตอนนี้รีบเข้าไปชุดรั้งเว่ยหยวนตี้ไว้พร้อมใบหน้าที่รู้สึกสำนึกผิด ก่อนที่จะมีท่าทีคิดแล้วคิดอีก ก่อนที่จะกัดฟันแน่นแล้วพยักหน้ารับ “ก็ได้ ท่านพ่อ หากข้าไม่รับฟังคำของท่าน ท่านก็จะถือว่าข้าเป็นลูกทรพีสินะ”

“จริงรึ จริงๆรึ” เมื่อเห็นเว่ยฉิงเชินพยักหน้ารับ ท่าทางของเว่ยหยวนตี้ก็ราวกับจะคลายกังวลในทุกสิ่ง

“ผู้การเว่ย….”

เป็นตอนนี้ที่เว่ยหยวนตี้ที่ได้เห็นใบหน้าที่ดำครึ้มขึ้นมาในทันที และนี่ทำให้เว่ยหยวนตี้ถึงกับสับสนจนต้องรีบถามออกมา “เอ่ออออ ท่านผู้อาวุโสฮั่น ท่านมีอะไรอีกงั้นรึ”

“ถามว่ามีอะไรงั้นรึ หึ”

ฮั่นจุยสบถออกมาหนึ่งทีแล้วพูดต่อ “ผู้การเว่ย ถึงแม้ลูกชายของข้า ฮั่นซุยนั้นจะค่อนข้างมีฝีมือจริงก็ตาม แต่ด้วยระดับการบ่มเพาะเพียงเท่านั้นจะเพียงพอต่อการให้กำเนิดเด็กที่มีความสามารถได้เช่นไร”

“เอ๋…..” เว่ยหยวนตี้นิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยิน

เว่ยฉิงเชินนั้นรู้สึกราวกับว่าบั้นปลายชีวิตของตนนั้นรู้สึกมีความหวังขึ้นมาในบัดดล

“…..ถ้าอย่างนั้น….ท่านผู้อาวูโสฮั่น….ท่านต้องการสิ่งใดกัน”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้อาวูโสฮั่นก็ได้พูดออกมาอย่างช้าๆ “ผู้การเว่ยเอ๋ย ข้าขอบอกตามตรงนะว่าผู้อาวุโสผู้นี้ หลงใหลในความงามของฉิงเชินมานานแล้ว”

“นอกจากนั้น ฉินเชินยังมีร่างกระจ่างจิตที่ไม่มีจุดคอขวด ถึงแม้ในตอนนี้เธอนั้นจะอยู่ในระดับราชาขุนพลขั้นต้น แต่ตราบใดที่เธอหมั่นฝึกฝนบ่มเพาะ ข้าก็เชื่อว่าอีกไม่นาน เธอก็จะขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับข้า”

“และข้าเชื่อว่าเจ้านั้นพอจะรู้เรื่องของข้ามาบ้างแล้ว”

“ถึงแม้ว่าข้านั้นจะอายุสี่สิบสองแต่ก็ขึ้นมาอยู่ในระดับราชาจอมพลแล้ว หากนับในหมู่เหล่าผู้อาวุโสสูงด้วยกันแล้วนั้น ข้าเองก็มีอายุที่น้อยที่สุดในสภาสูง”

“แล้วเมื่อฟังอย่างนี้แล้ว เจ้าไม่คิดว่าตัวข้านั้นจะมีบุพเพสันนิวาสคู่สร้างคู่สมกับลูกสาวที่รักของเจ้ามั่งเลยรึไงกัน”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท