ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 276 ผู้ไร้ราก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 276 ผู้ไร้ราก

หลังจากนิ่งเงียบไปนาน ทั้งเว่ยหยวนตี้และเว่ยฉิงเชิงนั้นยังคงมีสายตาเลื่อนลอยราวกับอยู่ในหมอกลวงตา

ส่วนเฉินเฉียงที่หลบซ่อนอยู่ใต้ดินนั้น ในตอนนี้เขาได้กัดฟันแน่นจนราวกับอยากให้มันแตกเสียคาปากของเขาเมื่อได้ยินคำพูดแม้แต่คำว่าไร้ยางอายนี้ก็ยังต้องหลีกทางให้

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเงียบนี้ อารมณ์ที่พลุ่งพล่านของเฉินเฉียงเองก็เหมือนจะไปกระตุ้นสัมผัสบางอย่างของฮั่นจุย

“ฮึ้ม”

ฮั่นจุยได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะยกมือส่งสัญญาณให้คู่พ่อลูกที่นั่งอิ้งกิมกี่นี้เงียบเสียงลง ทั้งสองแม้เดิมจะเงียบอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นฉากนี้ก็อดที่จะอุทานออกมาเบาๆไม่ได้ ก่อนที่จะปล่อยกระแสจิตของตนออกไปตรวจสอบ

เฉินเฉียงเองที่แม้จะโกรธเกรี้ยว แต่เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะเล็กน้อยแต่ก็รีบสงบสติตัวเองลง พร้อมกับใช้ทักษะไร้ตัวตนของตัวเองอีกครั้ง

หลังจากผ่านไปสักพัก ฮั่นจุยที่ไม่พบสิ่งปกติก็ได้เก็บงำกระแสจิตของตนแล้วหันไปมองที่เว่ยฉิงเชินและเว่ยหยวนตี้

“ฮึ่ม”

เว่ยฉิงเชินในตอนนี้นั้นเหลือกดวงตาที่เย็นชาของตนในตอนนี้มองไปยังฮั่นจุย พร้อมกับท่าทางที่บ่งบอกว่ารังเกียจฮั่นจุยอย่างที่สุดในชีวิต

ฮั่นจุยไม่ได้แยแสแต่อย่างใด เขาหันไปมองเว่ยหยวนตี้ต่อ

ถึงแม้ว่าเว่ยหยวนตี้จะไร้ยางอายและเห็นแก่ตัวมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่เขานั้นก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ดีเมื่อนึกถึงฉากที่ลูกสาวของตนนั้นได้แต่งงานกับชายแก่ โดยเฉพาะกับชายแก่ที่แก่กว่าเขาเสียอีก

“นี่……เอ่อ ท่านผู้อาวุโสฮั่น ข้าได้ยินมาว่าท่านผู้อาวุโสมีคุณผู้หญิงอยู่สิบสองคนอยู่แล้วนี่ครับ ฉิงเชินของข้านั้นยังสาวยังแส้ข้าคิดว่า…..พวกเราน่าจะ….”

“ผู้การเว่ย นี่ท่านพูดอะไรออกมา”

ฮั่นจุยมีท่าทีที่ไม่เป็นสุขในทันทีเมื่อได้ยิน

“ข้านั้นมีภรรยาสิบสองคนแล้วยังไงกัน ดูเหมือนท่านจะคิดจริงๆสินะว่าตัวข้าผู้อาวุโสสูงผู้นี้มักมากในกามและไร้ยางอายน่ะ”

“ท่านอย่าได้หลงลืมไปว่ากับในยุคสมัยนี้ เผ่าพันธุ์ของพวกเรายังอ่อนแออยู่ เป็นธรรมดาที่ตัวข้านั้นต้องการทายาทที่มีคุณภาพจำนวนมาก ที่สามารถกู้คืนสถานะของเผ่าพันธุ์ของพวกเรา”

“และหากฉิงเชินกับข้าได้ดองกันล่ะก็ พวกเราทั้งสองจะต้องให้กำเนิดนักรบที่เป็นสุดยอดแห่งเผ่าพันธุ์ได้อย่างแน่นอน”

“แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ทั้งตัวข้า และลูกสาวสุดที่รักของท่าน พวกเราทั้งคู่จะเป็นผู้สร้างอนาคตให้กับมวลมนุษยชาติ”

“นี่เรียกได้ว่าเป็นแผนการที่ที่มวลมนุษยชาติของพวกเรานั้นจะได้ประโยชน์อย่างที่สุด กับเรื่องนี้ ข้าเชื่อว่าแม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ยังเห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกเรา”

“ข้าเองก็ขอบอกตามตรงเลยนะว่ากับเรื่องนี้ ข้าเองก็ได้ไปพูดคุยผู้อาวุโสสูงสุดมาบ้างแล้ว และท่านเองก็ไม่มีท่าทีที่จะปฏิเสธความคิดของข้าแต่อย่างใด”

“แน่นอนว่าเรื่องที่ข้าพูดออกมาในวันนี้นั้น เป็นสิ่งที่ได้มีการวางแผนมาบ้างแล้ว ข้าไม่ได้ใช้ไอ้เม็ดยานี้มาขู่บังคับเจ้าแต่อย่างใด”

“ฉิงเชิน ข้าเองก็ไม่อยากจะทำให้เจ้าต้องลำบากใจมากนัก ข้าจึงได้เปรยกับผู้อาวุโสสูงไว้แล้วว่ากับเรื่องนี้คงปล่อยให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจ”

“ฮี่ฮี่ฮี่ แต่ก็อีกล่ะนะ เจ้าก็อย่าได้โทษข้าเลยแล้วกัน ใครใช้ให้โลกใบเล็กของพ่อเจ้ามาถูกทำลายเอาในตอนนี้ แล้วข้าก็ขอบอกไว้ก่อนแล้วกันนะว่าหากพ่อของเจ้าไม่ได้รับยาโลกาหวนคืนในหนึ่งปีล่ะก็ นั่นจะไม่มีทาง…….. หึหึหึ”

“นี่….”

ต่อให้ฮั่นจุยไม่พูดถึงฉากในอนาคตถัดไปนั้น เว่ยหยวนตี้เองก็รับรู้ได้อยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้นอะไรในอีกหนึ่งปีข้างหน้า แต่ถึงแม้ว่าเขานั้นอยากจะให้ฉิงเชินแต่งงานกับฮั่นจุยขนาดไหนก็ตาม เขานั้นก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ดี

ส่วนเว่ยฉิงเชินนั้น ในตอนนี้ยังไม่ได้ตอบโต้กับคำพูดที่แม้แต่คำว่าไร้ยางอายยังต้องหลีกทางให้นี้ออกมาเลยสักคำ

เป็นเพียงหลังจากที่ฮั่นจุยพูดจบไปพักใหญ่ เว่ยฉิงเชินก็ได้ยืนขึ้นแล้วพูดออกมา “ท่านพ่อ ไปกันเถอะค่ะ ข้าจะพาท่านกลับไปบ้าน”

“ฉิง…เชิน…..”

เว่ยหยวนตี้และฮั่นจุยร้องเรียกเว่ยฉิงเชินออกมาพร้อมกันอย่างดัง

เว่ยฉิงเชินที่พยายามจะลากพ่อของตนออกไปนั้นได้หยุดเท้าลง ก่อนที่เธอนั้นจะพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ผู้อาวุโสฮั่น ไม่ใช่ว่ายังมีเวลาเหลืออีกปีไม่ใช่รึ ขอให้ฉินเชิงผู้นี้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ดีๆก่อนแล้วกัน”

“ก็ได้ก็ได้ก็ได้ ข้าเองก็ไม่ใช่คนรีบล่ะนะ”

ฮั่นจุยพูดออกมาด้วยเสียงที่เกือบจะแสดงออกมาว่ามีความสุข

นั่นก็เพราะเขารู้ดีว่าเม็ดยาโลกาหวนคืนนี้หาได้ยากยิ่งเพียงใด

แล้วกว่าที่เขาจะได้เม็ดยาเม็ดนี้มาอยู่ในมือนั้น เขาต้องจ่ายไปอย่างมหาศาล

ในตอนนี้หัวใจของฮั่นจุยนั้นราวกับกำลังถูกแมวน้อยข่วนเลยก็ว่าได้ และนี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังทรวดทรงองเอวของเว่ยฉิงเชินที่กำลังบินจากไป เขายืนมองตามจนกระทั่งเธอลาลับฟ้าไป

กับสาวน้อยผู้ซึ่งได้ชื่อว่าอัจฉริยะแห่งเผ่าพันธุ์ผู้นี้นั้น ย่อมไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือเขาไปได้ในที่สุด

….

เฉินเฉียงนั้น ในตอนนี้ ในที่สุดเขาก็กลับขึ้นมาสูดอากาศอย่างเต็มปอดอีกครั้ง หลังจากที่ดำดินอยู่นานกว่าครึ่งวันแล้วมั่นใจว่าพื้นที่รอบทะเลสาบนั้นไม่มีใครคิดที่จะมา

หลังจากพาเจิ้งยี่ดำดินลึกลงไปกว่าร้อยไมล์ ในที่สุด ทั้งสองก็ได้กลับขึ้นมาบนพื้นดินอีกครั้ง

เมื่อเฉินเฉียงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว ท่าทีของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดย่อน พลางเดินตรงไปพร้อมท่าทางที่ซังกะตาย

เจิ้งยี่ที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวๆใดๆนั้น เมื่อเห็นท่าทางของเฉินเฉียงในตอนนี้ก็ไม่กล้าที่จะถามออกมา เขาทำเพียงเดินตามเฉินเฉียงไปโดยไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ

“แม่….งเอ๊ย”

หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุด หมัดของเฉินเฉียงก็ได้ไปจรดบนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ใหญ่โตจนล้มครืน แล้วตะโกนออกมาดังลั่น

“กัปตัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“อ้อ….ไม่มีอะไรหรอก เจิ้งยี่ ตอนนี้พวกเรารีบตามไปรวมกลุ่มกับจางหยวนและพวกกันก่อน พวกเราต้องไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้”

หลังจากปรับอารมณ์สักพัก เฉินเฉียงก็ผ่อนคลายตัวเองลงได้อย่างมาก และรีบพุ่งตรงออกไปกับเจิ้งยี่

และด้วยการที่ทั้งสองเดินทางกันโดยไม่หยุดพัก พร้อมทั้งการตั้งไปหมายไว้อย่างแน่นอน นี่ทำให้ทั้งสองก็ตามคนอื่นๆได้ทันระหว่างทาง

และเพื่อให้การไปที่เขาหมางของพวกเขาเป็นความลับ เฉินเฉียงจึงได้พาทุกคน เดินทางไปยังเขาหมางโดยการดำดิน หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ทุกคนก็ได้ถึงเขาหมางในที่สุด

เมื่อเห็นสภาพอันสุขสงบของเขาหมางแต่ไกลแล้ว นี่ทำให้หัวใจของเฉินเฉียง ราวกับถูกเติมเต็มทดแทนส่วนที่ขาดหายไป

เป็นเวลากว่าห้าปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาที่นี่

ย้อนกลับไปในตอนนั้น เขาได้กลับมาที่นี่เพื่อการหลบเลี่ยงการตามล่าจากคนของใครบางคนในตอนที่เขายังอยู่สำนักเต่าดำจนต้องกลับมาที่นี่ มันคือคนของจ้าวฮั่น

ห้าปีผ่านไป สภาพของอาณานิคมแห่งนี้แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย มันยังสงบสุขและน่ารื่นรมย์ แตกต่างจากประสบการณ์นองเลือดที่พวกเขาได้ประสบพบเจอมา

เมื่อคิดขึ้นมาแบบนี้แล้ว เฉินเฉียงก็อดที่จะอิจฉาชีวิตของผู้คนที่นี่ไม่ได้เลยทีเดียว

อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับการแก่งแย่งชิงดีที่นี่ และพวกเขาก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับมนุษย์กลายพันธุ์ที่ถาโถมโจมตีเข้ามา

“จางหยวน ให้ทุกคนลดระดับเกราะพลังงานซะ เหลือไว้เพียงเกราะในระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นเพียงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นนั่นจะทำให้ผู้สั่งการหลิงและพวกสงสัยเอา”

“รับคำสั่ง”

ไม่นาน ทุกคนก็ได้ลดระดับเกราะของตนเองลงเหลือเพียงระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นอย่างพร้อมเพรียง

หลังจากเตรียมตัวกันแล้ว จางหยวนได้ตรงไปยังทางเข้าอาณานิคม

“โปรดแจ้งผู้สั่งการหลิงเว่ยด้วยว่ามีเพื่อนเก่ามาเยี่ยมเยือน”

เมื่อเห็นคนทั้งสิบสามคนที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันที่หน้าประตูทางเข้าอาณานิคมนี้ เหล่าทหารยามต่างก็รู้สึกตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

ยังไงซะ ทหารยามเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่นักรบที่อยู่ในระดับทหารสายเลือดขั้นกลางเพียงเท่านั้น เมื่อเทียบกับจางหยวนและพวกในตอนนี้ พวกเขาก็ไม่ได้ต่างจากเทพสงครามแต่อย่างใด ยังดีที่พวกเขาไม่ได้ปล่อยจิตสังหารออกมาด้วย

หากดูจากระดับเกราะพลังงานในตอนนี้ พวกเขานั้นก็บอกได้เลยว่ากลุ่มคนตรงหน้ามีระดับการบ่มเพาะไม่ได้ต่างไปจากผู้ที่อยู่ในตำแหน่งผู้สั่งการหรือรองผู้สั่งการของอาณานิคมของพวกเขาเลยสักนิด

แต่ด้วยการที่จางหยวนนั้นเรียกผู้สั่งการของตนว่าเพื่อนเก่า นี่ทำให้ทุกคนต่างก็โล่งใจขึ้นมา

“ท่านนายพล โปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะรีบไปแจ้งเดี๋ยวนี้”

หลังจากผ่านไปสักพัก หลิงเว่ยผู้ซึ่งในตอนนี้อายุล่วงเลยไปสี่สิบปีแล้ว ได้รีบตรงมาพร้อมรองผู้สั่งการซูเพื่อดูว่าใครมาหา

“นายพลจาง”

ถึงแม้จะผ่านมากว่าห้าปีแล้ว หลิงเว่ยก็ยังจดจำจางหยวนได้แม้เพียงแรกเห็น แต่เมื่อเขาพบเจอผู้คนที่แอบซ่อนอยู่ข้างหลังแล้ว เขาก็ยิ่งมีท่าทีประหลาดใจออกมา

“เฉินเฉียงเหรอ เด็กๆ เป็นเฉินเฉียงกลับมาบ้านเกิดเว่ยเฮ้ย รีบเปิดประตูเร็วเข้า”

เมื่อได้ยินคำสั่งของหลิงเว่ย ประตูของอาณานิคมก็ค่อยๆเปิดออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกับนักรบสายเลือดหกคนผู้อยู่เฝ้าประตูนี้ที่มองผู้นำกลุ่มคนหรือก็คือเฉินเฉียงอย่างไม่วางตา

ชื่อของเฉินเฉียงนั้นรู้จักกันเป็นอย่างดีในอาณานิคมเขาหมางแห่งนี้

นักรบสายเลือดเหล่านี้ คาดฝันไว้ว่า ในสักวันหนึ่ง พวกเขาจะได้พบเจอเฉินเฉียง

นั่นก็เพราะ ในประวัติศาสตร์ของชาติพันธุ์นั้น มีเพียงเฉินเฉียงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าสำนักเต่าดำได้โดยเป็นเพียงแค่นักรบสายเลือด

และเมื่อดูจากสภาพการณ์แล้ว กลุ่มคนทั้งสิบสามนี้จะถูกพามาที่นี่โดยเฉินเฉียง

และสิ่งที่ทำให้ผู้สั่งการหลิงและรองผู้สั่งการซูประหลาดใจมากที่สุดก็คือท่าทีของจางหยวนนั้นแสดงออกถึงความเคารพในตัวของเฉินเฉียงอย่างที่สุด

“นายพลจาง ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าท่านจะมาเยี่ยมเยือนยังอาณานิคมเล็กๆของพวกเรา มา เชิญเข้ามา”

หลิงเว่ยในตอนนี้โค้งทักทายจางหยวน จางหยวนเองก็ได้โค้งตัวเล็กน้อยก่อนที่จะหันหลังและเบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะผายมือออกมา “กัปตัน เชิญท่านก่อน”

“ห้ะ กัปตัน” หลิงเว่ยประหลาดใจจนชี้นิ้วใส่เฉินเฉียงอย่างสับสน “นายพลจาง เฉินเฉียง เขา…..”

“ผู้สั่งการหลิง ในตอนนี้เฉินเฉียงนั้นคือกัปตันของกองกำลังของเรา กองกำลังเทียนเว่ย”

เมื่อหลิงเว่ยและรองกัปตันซูได้ยินก็อดที่จะยิ้มอย่างออกนอกหน้าไม่ได้

“เฉินเฉียง ข้าไม่นึกเลยจริงๆว่าไอ้คำพูดคำจาโอหังของเจ้าในวันนั้นในที่สุดก็มาถึงวันที่เป็นจริง”

“ดี อย่างน้อยๆเจ้านั้นก็ยังสามารถทำให้ความหวังสุดท้ายของผู้อาวุโสซุนของเจ้านั้นเป็นจริงได้”

“เฉินเฉียง ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้วก็อย่าได้ลืมไปเคารพศพผู้อาวุโสล่ะ”

เฉินเฉียงในตอนนี้ยังยืนนิ่งอยู่หน้าประตูอาณานิคมไม่ได้เดินเข้าไปแต่อย่างใด

“ผู้สั่งการหลิง ข้ายังเข้าไปไม่ได้น่ะ ถ้าไม่ว่าอะไรท่านช่วยรับจางหยวนและคนอื่นๆไว้หน่อยสิ”

“เฮ้เฮ้เฮ้ เฉินเฉียง ที่นี่เป็นที่ที่เจ้าเติบโตมานา นี่เจ้าอยู่หน้าบ้านของตนแล้วแล้วยังมีเรื่องอะไรที่ต้องรีบด่วนไปทำอีกกัน” หลิงเว่ยในตอนนี้มองไปที่เฉินเฉียงอย่างฉงนสนเท่ห์ในการตัดสินใจของเขา

คนในกองกำลังเทียนเว่ยทั้งกองกำลังนั้น เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็อดที่จะพูดออกมากันเสียมิได้

“กัปตัน พวกเราก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าพวกเราจะร่วมเป็นร่วมตายน่ะ พวกเราจะมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านกัน แล้วนี่ท่านยังจะคิดทิ้งพวกเราไปอีกเหรอ ก็ได้ ถ้าท่านไม่เข้าไปพวกเราก็จะไม่เข้าด้วยเหมือนกัน”

“ศิษย์น้องเล็ก นี่เจ้าคิดจะทำอะไรอีกเนี่ย อย่าบอกนะว่าเจ้ามาที่นี่เพียงเพื่อจะพาพวกเรามาฝากฝังแล้วจากไปน่ะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่กัปตันควรจะทำเลยนา”

จางหยวนได้ชี้นิ้วไปที่ทุกคนพลางหันหน้าไปพูดกับเฉินเฉียง “กัปตัน ท่านก็เห็นแล้วนี่ว่าพวกเรานั้นเป็นกองกำลังที่เหนียวแน่นขนาดไหน ไม่ว่าใครจะมีปัญหาก็ตาม พวกเราไม่อาจจะนั่งดูไปเฉยๆได้หรอกนะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องของท่านเลย”

“แม้พวกเราจะไม่รู้ว่าเจ้านั้นเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ก็ตาม แต่เจ้านั้นคิดจะเคลื่อนไหวคนเดียวแล้วทิ้งพี่น้องที่ดีแบบนี้ไว้เบื้องหลังงั้นรึ”

“นี่เจ้าคิดว่าคนในกองกำลังของเจ้านั้นเป็นสิ่งใดกัน”

เฉินเฉียงยกมือขึ้นห้ามปรามคำด่าจากผู้สั่งการหลิงในทันทีแล้วพูดออกมา “ผู้สั่งการหลิง ท่านอย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิดสิ”

“ข้านั้นต้องการสถานที่สงบๆเพื่อคิดถึงเรื่องต่อไปจากนี้ต่างหาก”

“ในเมื่อข้าพาพวกเขามาที่นี่ แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ปล่อยพวกเขาไว้ที่นี่เฉยๆอย่างแน่นอน”

“ข้าขอบอกตามตรงเลยแล้วกัน ผู้สั่งการหลิง มีบางอย่างเกิดขึ้นกับกองกำลังของเรา ใครจะรู้ ในอนาคตกองกำลังของข้าอาจจะมาประจำการอยู่ที่นี่ก็ได้”

“ประจำการอยู่ที่นี่รึ ฮ่าฮ่าฮ่า นี่ช่างเป็นเกียรติกับทีมเก็บเกี่ยวของพวกเรานัก” ผู้สั่งการหลิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มก่อนจะถามออกมา “เอ้อ ว่าแต่นี่เจ้าคิดจะไปที่ไหนกัน หรือจะเป็น…ที่นั่น”

หลิงเว่ยได้ชี้ไปยังหลุมศพของซุนต้าฮู่ที่อยู่ห่างไปสามไมล์

เฉินเฉียงพยักหน้ารับ “มันก็ห้าปีมาแล้วน่ะ ข้าอยากจะอยู่กับปู่ซุนสักหน่อย”

“เมื่อข้าคิดตกแล้วข้าจะกลับเข้าอาณานิคมแน่นอน”

เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้หันหน้าไปหาจางหยวนและคนอื่นๆ “พี่น้อง นับจากวันนี้ ขอให้ทุกคนเข้าร่วมทีมเก็บเกี่ยวของอาณานิคมเขาหมางไปพลางๆก่อน”

“ส่วนแค่นั้นยังมีเรื่องที่ต้องให้คิดอยู่ ข้าจะขอไปใช้ความคิดในที่ที่อยู่ห่างจากอาณานิคมสามไมล์ไม่ได้เข้าร่วมด้วยแต่อย่างใด อย่างน้อยๆก็สักพักหนึ่ง”

“ในช่วงนี้ นอกจากภารกิจของทีมเก็บเกี่ยวแล้วก็อย่าได้ผ่อนตน ฝึกฝนร่างกายไปตามปกติ”

“ถึงแม้ในภายภาคหน้า พวกเรายังต้องเผชิญหน้าเรื่องราวอีกมากมายและสับสนไปบ้าง แต่ยังไงซะ ในสักวันหนึ่งแล้วพวกเราจะออกจากที่นี่อย่างแน่นอน”

“และข้าก็หวังว่ายามที่พวกเราต้องออกไปนั้น ทุกคนในกองกำลังจะมีระดับการบ่มเพาะที่สูงขึ้นพร้อมเผชิญหน้าร่วมกันกับข้า”

จางหยวนและพวกนั้นต่างก็รู้สถานการณ์ของเฉินเฉียงเป็นอย่างดี

หากเป็นพวกเขาแล้วนั้น ป่านนี้คงจะไม่อาจคิดอ่านทำอะไรได้อยู่เหมือนกัน

พวกเขานั้นรู้ดีว่าในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องเข้าหาความสงบ และหลังจากได้ยินคำพูดของเฉินเฉียงนี้ ทุกคนในกองกำลังเทียนเว่ยก็ไม่ได้มีใบหน้าที่ยับย่นอีกต่อไป กลับกัน พวกเขาต่างเต็มไปด้วยความกระหายในพลัง เพื่อกรุยทางให้กับกองกำลังของพวกเขาเพื่อเผชิญหน้าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

เพียงเท่านั้นก็เพียงพอกับพวกเขาแล้ว

และเพียงเฉินเฉียงได้พูดจบลง ทุกคนต่างก็พยักหน้าและตอบรับออกมาอย่างพร้อมเพรียง

“พวกเราจะทำตามคำสั่งกัปตัน”

หลังจากนั้น จางหยวนก็รีบเรียกเจิ้งยี่ให้มาหา

“กัปตัน ถึงแม้ว่าท่านจะอยู่ไม่ไกล แต่อย่างน้อยๆท่านก็ควรจะให้พวกเราทำอะไรให้รู้สึกอุ่นใจหน่อยนะ”

“และเพื่อที่จะทำให้พวกเราอุ่นใจได้อย่างที่สุดแล้วข้าอยากจะให้เจิ้งยี่คอยอยู่ข้างกายท่านสักคน”

“เจิ้งยี่ เจ้าอยู่กับกัปตันและคอยเฝ้าระวังให้เขา แต่ก็อย่าได้ไปรบกวนเขาเป็นอันขาด”

“รับคำสั่ง”

เฉินเฉียงแม้จะทำหน้าเนือยๆ แต่ในที่สุดก็ยอมรับในข้อตกลงนี้

“ผู้สั่งการหลิง อย่าได้บอกเรื่องราวของพวกเราออกไป แล้วในตอนนี้ข้าขอให้ท่านอย่าพึ่งถามเรื่องราวที่ข้ากำลังประสบ ข้าต้องขออภัยด้วยจริงๆ”

หลิงเว่ยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “เฉินเฉียง อย่าได้กังวลไป ตัวข้า ตาแก่หลิงผู้นี้ไม่ใช่คนไม่รู้ความแต่อย่างใด ไม่ว่ายังไงก็ตาม เจ้านั้นก็คือความภูมิใจของทีมเก็บเกี่ยวของพวกเรา”

หลังจากมองส่งเฉินเฉียงและเจิ้งยี่จากไปแล้ว หลิงเว่ยได้ผายมือออกเชื้อเชิญทุกคนเข้าอาณานิคม “นายพลจาง นายพลทั้งหลาย เชิญ”

“ผู้สั่งการหลิง กัปตันบอกแล้วว่านับจากนี้ พวกเรานั้นเป็นสมาชิกของทีมเก็บเกี่ยวแห่งเขาหมาง ดังนั้นพวกเราก็ถือว่าท่านเป็นผู้สั่งการ ไอ้คำเรียกนายพลอะไรนั่นไม่ต้องใช้หรอก”

“ฮ่าฮ่าฮ่า” หลิงเว่ยเองก็ไม่คิดจะต้านทานแต่อย่างใด “ดี น้องจางหยวน ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะทำอย่างที่เจ้าว่าแล้วกัน น้องชายทั้งหลาย วันนี้เป็นวันดีจริงๆที่พวกเจ้านั้นได้เข้าร่วมกับเขาหมางของพวกข้า”

“ส่วนเรื่องทีมเก็บเกี่ยวนั้น พวกเราค่อยพูดรายละเอียดกันในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

“ผู้สั่งการหลิง ในเมื่อท่านแสดงออกมาอย่างยินดีขนาดนี้ พวกเราเองก็จะไม่อิดออดแล้วนา” เมื่อพูดจบ เม่ยหลัวหลันก็ได้ยื่นแหวนของตนออกไป “พวกเรานั้นมีไวน์ดีๆที่ชื่อว่านารีแดงอยู่ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ค่ำคืนนี้พวกเรามาดื่มฉลางกันหน่อยดีกว่า”

หลังจากพูดจบ เม่ยหลัวหลันก็ได้โบกมือ และนี่ทำให้มีไวน์กว่าร้อยไหปรากฏออกมา กลิ่นของพวกมันนั้นได้ฟุ้งกระจายไปทั่วแทบจะทั้งเขตเลยทีเดียว

ด้วยกลิ่นหอมที่ชวนดมนี้ได้ทำให้ผู้คนกว่าร้อยต้องรีบเข้ามาออกันเพื่อสูดดม

นี่เป็นไวน์ที่ดีที่สุดที่ผู้คนในอาณานิคมเขาหมางได้ประสบพบเจอ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไวน์ที่ดี”

หลิงวิ่งสูดหายใจเข้าอย่างเต็มปอดอีกครั้ง ก่อนที่จะหันไปออกคำสั่งอย่างเร็วรี่ “รองผู้สั่งการซู ไปบอกทุกคนให้ย่างเนื้อที่ดีที่สุดมาเร็วเข้า ในคืนนี้พวกเราจะดื่มกันจนกว่าจะหัวทิ่มหัวตำกันไปข้าง”

“รับคำสั่ง”

ที่หน้าหลุมทิ้งซากหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากจุดรวมพลของอาณานิคมเขาหมางไปสามไมล์นั้น ที่นั่นมีหลุมศพที่ทำขึ้นเองอย่างง่ายๆหลุมหนึ่ง

เฉินเฉียงได้เดินไปที่หลุมศพนั่นอย่างช้าเชื่อง เมื่อไปถึง เขาได้ก้มตัวลงเพื่อดึงต้นหญ้าที่งอกขึ้นมา ก่อนที่จะนั่งลงตรงหน้า

“ปั้ก”

เฉินเฉียงได้นำไวน์ออกมาจากแหวนสามไห ไหหนึ่งโยนให้เจิ้งยี่ ไหหนึ่งวางไว้หน้าหลุมศพ อีกไหหนึ่งนั้นเขาได้เปิดออกก่อนที่จะดื่มเข้าไปอึกใหญ่ เจิ้งยี่ที่ติดตามเฉินเฉียงมานานแล้วนั้น ในตอนนี้เขาก็ได้หันซ้ายแลขวาโดยไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ ก่อนที่จะเดินตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล

เขาได้ดึงกระบี่ทองคำออกมา ก่อนที่จะตวัดกระบี่ออกสิบกว่าทีจนทำให้กิ่งก้านต่างๆของมันนั้นหายไป หลังจากนั้นก็ได้ฟันมันไปสองทีเพื่อให้ได้ท่อนไม้ขนาดพอดีตัว

หลังจากตกแต่งอีกเล็กน้อย เขาได้ทำการค่อยๆปักมันไว้ที่หลังของเฉินเฉียงเพื่อให้มันคอยพยุงร่างให้เฉินเฉียงได้พิง

หลังจากจัดแจงเสร็จสิ้นแล้ว เจิ้งยี่ก็ได้หยิบไหเหล้าแล้วเดินกลับไปที่รากของต้นไม้ใหญ่ที่ตนได้ฟันไป แล้วนั่งลงที่นั่น ก่อนที่จะนำแผ่นแก่นพลังงานออกมาจากแหวนแล้วทำการบ่มเพาะ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท