ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 293 จากไป

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 293 จากไป

เมื่อเฉินเฉียงได้ย้อนนึกถึงวันวานที่เขาได้พบเจอเว่ยหยวนตี้เป็นครั้งแรกแล้ว เขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อในคำพูดของหยานเสวี่ยเลยสักนิด

นั่นก็เพราะ ในตอนที่เฉินเฉียงไปปรากฏตัวที่ตึกจอมพลเขตกันหนันในครานั้น เขาทำตัวราวกับว่าได้พบเจอลูกชายที่ผลัดพรากจากกันไปนานเลยทีเดียว เมื่อนึกถึงว่าความดีใจนั่นเป็นเพียงการแสดงล่ะก็ เขาบอกได้เลยว่าเว่ยหยวนตี้นั้นมีทักษะการแสดงชั้นแนวหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย

ไหนจะเรื่องราวที่เฉินเทียนเว่ยสละชีวิตเพื่อช่วยเว่ยหยวนตี้จากน้ำมือของมนุษย์กลายพันธุ์ ที่เล่าต่อกันมาจนถึงตอนนี้นั่นอีก

พูดกันตรงๆแล้วเรื่องราวทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเว่ยหยวนตี้เป็นผู้จัดการทั้งสิ้น

และด้วยเรื่องเล่านี้เองทำให้ผู้คนแห่งตึกจอมพลเหมันต์จันทรานั้นต่างก็ร่ำลือถึงกองกำลังเทียนเว่ย และเรื่องนี้ก็ยังทำให้ผู้คนมากมายที่อิจฉาเว่ยหยวนตี้ที่มีพี่น้องร่วมสาบานที่ดีถึงขนาดยอมสละชีวิตให้

แต่ในอีกทางหนึ่งแล้ว ความซื่อสัตย์ที่ปรากฏตามคำเล่าลือนี้ก็ส่งเสริมให้เว่ยหยวนตี้นั้นดูราวกับเป็นผู้ห้าวหาญและเป็นที่เคารพรักจนแม้แต่ผู้อื่นก็ยังยินดีที่จะสละชีวิตให้เช่นกัน

ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องราวที่สวยหรูเลิศเลอจนเป็นที่น่าเชื่อถือ แต่คำพูดของหยานเสวี่ยนั้นได้แสดงออกมาว่าความจริงนั้นช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง

และเมื่อเฉินเฉียงได้เห็นท่าทางของเว่ยหยวนตี้ในตอนนี้แล้ว จิตใจของเฉินเฉียงแทบจะระเบิดออกในทันที

หลังที่เว่ยหยวนตี้ได้ยินคำพูดของหยานเสวี่ยแล้ว ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปราวกับตื่นตระหนกในอะไรบางอย่าง มือที่สั่นเทิ้มของเขาชี้ไปที่หยานเสวี่ยแล้วพูดมาอย่างสั่นเครือออกมา “เจ้า เจ้าโกหก”

“พี่เทียนเว่ยนั้นเป็นพี่น้องอันดีกับข้า แล้ว…แล้วข้า….ข้าจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง”

“เมื่อยี่สิบสามปีก่อนมีมนุษย์กลายพันธุ์มาก่อสงครามที่ในเขตกันหนันของข้าจริง เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่ว ลองไปถามคนในตึกจอมพลเหมันต์จันทราได้ ทุกคนต่างกันรับรู้ในเรื่องนี้”

“และพี่เทียนเว่ยนั้นในตอนนั้นยังเป็นนายพลอยู่ที่นั่น กระนั้น ระดับการบ่มเพาะของเขาก็เป็นสองลองเพียงข้า ในฐานะที่เป็นผู้การของที่นั่นแล้ว แล้วข้าจะไปทำลายกำแพงป้องกันที่ดีเลิศ…ไม่ แล้วข้าจะไปทำลายพี่น้องของตนเองได้ยังไง”

“แล้วก็ เจ้า เรื่องมันเกิดเมื่อยี่สิบสามปีก่อนแล้วเจ้าที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวข้าไม่ใช่รึไง ในตอนนั้นเจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำล่ะมั้ง แล้วเจ้าจะไปรู้เรื่องนี้ดีได้ยังไง”

“หึหึหึ เว่ยหยวนตี้ เจ้าก็อาจจะพูดถูกนะ เพราะเรื่องในตอนนั้น แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่เกิดเลยละมั้ง ” หยานเสวี่ยสบถออกมาเล็กน้อยแล้วได้พูดต่อ “แต่ก็นั่นแหละ อย่างที่เขาว่ากันว่า หากไม่ทำ คนอื่นก็ไม่ได้รับรู้”

“ในวันนั้น นอกจากเฉินเทียนเว่ยที่ได้ปกป้องเจ้าแล้ว เจ้านั้นยังมีองครักษ์ประจำตัวอยู่อีกคนที่ชื่อหลี่ปิง พวกเจ้าอยู่ในถ้ำที่อยู่ใกล้ผาแถวๆตึกเหมันต์จันทรา แล้วเจ้าคิดว่ากับสถานที่แห่งนั้นจะมีเพียงเจ้าสามคนที่ได้รับรู้เรื่องราวรึยังไง”

เมื่อหยานเสวี่ยเอ่ยอธิบายประหนึ่งดั่งจะพูดถึงถ้ำที่อยู่ที่ผาคนแก่ เฉินเฉียงที่ยังคงสังเกตท่าทางของเว่ยหยวนตี้อยู่นั้นก็ได้เห็นอย่างชัดเจนหน้าว่าสีหน้าของเว่ยหยวนตี้ซีดลงไปในทันที

“แก แก แกรู้จักผาคนแก่ได้ยังไง”

ไม่เพียงแค่เฉินเฉียง แม้แต่เว่ยฉิงเชินที่ได้ยินคำพูดและท่าทางของพ่อเธอนั้นก็อยากจะทรุดลงไปเสียตรงนี้

ก่อนหน้านี้ เธอนั้นไม่เชื่อคำพูดของหยานเสวี่ยที่ว่าพ่อของเธอนั้นจะฆ่าพี่น้องอันดีอย่างเฉินเทียนเว่ยได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม

แต่มาในตอนนี้ เธอแทบจะเชื่อจนหมดใจ

ทำไมพ่อของเธอถึงได้กลายเป็นศัตรูของพี่ใหญ่เฉินเฉียงไปได้กัน

เมื่อนึกมาถึงจุดนี้ เว่ยฉิงเชินนั้นไม่กล้าคิดต่อแม้แต่น้อย เธอลอบมองไปที่เฉินเฉียงที่อยู่ข้างๆ เธอนั้นยังเห็นเฉินเฉียงยังมีสีหน้าที่ปกติ แต่ก็ไม่ได้สังเกตว่าเขานั้นในขณะที่มองไปที่พ่อของตนอยู่นี้ เขาได้กำหมัดแน่นจนเลือดไหลออกมา

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง…” เว่ยฉิงเชินได้พูดออกมาเบาๆพลางใช้แขนของตนโอบกอดเฉินเฉียงเอาไว้

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงไม่ได้ตอบสนองแต่อย่างใด เขาทำเพียงรับฟังบทสนทนาระหว่างหยานเสวี่ยและเว่ยหยวนตี้อยู่เงียบๆเพียงเท่านั้น

“อะไร เว่ยหยวนตี้ เจ้ากลัวงั้นรึ” เมื่อเห็นเว่ยหยวนตี้แสดงท่าทางออกมาราวกับหมดคำจะเถียง หยานเสวี่ยก็ได้สบถออกมาแล้วพูดต่อ “ในวันนั้น ที่ผาคนแก่ เจ้าคิดว่ามีเพียงพวกเจ้าสามคนสินะที่รับรู้ในเรื่องนี้ แต่เจ้านั้นคงจะไม่คิดเหมือนกันว่าฟ้านั้นยังมีตาอยู่”

“ในตอนนั้น ผู้ที่ตามเจ้าไปเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่อยู่ในระดับกึ่งราชาอย่างน้อยๆก็ห้าคนที่รอหาโอกาสที่จะปลิดชีพผู้การแห่งเมืองเหมันต์จันทราเช่นเจ้าในตอนนั้น”

“พวกเจ้านั้นได้บาดเจ็บสาหัสกัน หากพวกเจ้าโดนมนุษย์กลายพันธุ์พวกนั้นพบเจอ พวกเจ้าสามคนต้องตกตายจนหมดสิ้น”

“แต่ในสถานการณ์นั้นเอง หากเจ้าทั้งสามร่วมมือกัน พวกเจ้าก็ยังพอจะหาทางออกจากเรื่องนี้ได้บ้าง แต่ในตอนนั้น เจ้าน่ะ ได้ทำอะไรลงไปกัน”

“เว่ยหยวนตี้ เจ้านั้นกล้าพูดออกมารึเปล่าต่อหน้านักรบผู้ทรงเกียรติของเผ่าพันธุ์รึเปล่าว่าเจ้านั้นได้ทำอะไรลงไป”

“บอกสิว่าในตอนนั้นเจ้าทำอะไรลงไปกันแน่”

คำถามสุดท้ายนี้ได้ราวกับค้อนที่ทุบเข้าไปกลางใจของเว่ยหยวนตี้ ทำให้เขานั้นตกอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ด้วยท่าทางนี้เองทำให้ทุกคนนั้นต่างก็จับจ้องไปที่เว่ยหยวนตี้กันหมดและรอเขาพูดออกมา

แต่หลังจากผ่านไปนาน เว่ยหยวนตี้ก็ยังไม่มีท่าทีจะพูดออกมา

“หยานเสวี่ย บอกข้ามา เว่ยหยวนตี้มันทำสิ่งใดลงไป”

หลังจากผ่านไปนาน เฉินเฉียงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่กระด้างกระเดื่องอย่างที่สุด

“……ข้าไม่รู้”

“ห้ะ เจ้าไม่รู้งั้นรึ” เฉินเฉียงหันไปมองหยานเสวี่ยด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด

“เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ” หยานเสวี่ยที่เห็นใบหน้าที่เยียบเย็นนี้ได้ก้มหน้าก้มตาในทันทีแล้วพูดออกมา “คนที่บอกข้ามานั้นได้บอกว่าเจ้าต้องหาความจริงในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

“แต่คนคนนั้นฝากมาให้ข้าบอกเจ้าในบางสิ่ง”

“ผู้คนที่ชั่วร้ายลึกถึงสันดานนั้น ต่อให้รับรู้ในสิ่งที่กระทำว่ามันผิด แต่คนเหล่านั้นก็ยังจะทำอยู่ดี”

“และเมื่อคนเหล่านี้กระทำผิด ล้วนแล้วแต่สามารถยกเหตุผลร้อยแปดมาส่งเสริมให้กับสิ่งที่พวกมันกระทำนั้นเป็นไปด้วยความชอบธรรม และนี่ยิ่งทำให้พวกมันเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ คนเช่นนี้สมควรที่จะกำจัดให้หมดสิ้น”

“เฉินเฉียง แม้เจ้านั้นคิดจะสืบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเองก็ตาม แต่ข้าจะขอแนะนำอย่างหนึ่งว่าทำไมเจ้าไม่ถามเว่ยหยวนตี้มันไปล่ะว่าหลังจากพ่อเจ้าตกตายไป ทำไมซุนต้าฮู่ต้องพาเจ้าหนีจากการไล่ล่าของผู้คน ใครกันที่เป็นคนสั่งฆ่าซุนต้าฮู่”

เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็รู้สึกตกตะลึงไม่น้อย

ทำไมเขาไม่เคยคิดมาก่อนกัน

หลังจากซุนต้าฮู่ตาย ผู้บัญชาการหลินเว่ยได้บอกเขาไว้ว่า ซุนต้าฮู่นั้นที่มาอยู่ที่อาณานิคมเขาหมางนั้นเป็นเพราะถูกคนไล่ล่ามาจนจุดลมปราณแตกซ่าน

แต่ถ้าพูดกันตามความน่าจะเป็นแล้ว ซุนต้าฮู่เป็นองครักษ์ของเฉินเทียนเว่ย เขาเองก็สมควรจะอยู่ในตึกจอมพลเหมันต์จันทราหลังจากนั้น แล้วเขาจะได้รับอันตรายไปได้ยังไง

แต่ในตอนนั้นเป็นเฉินเฉียงที่พึ่งจะลืมตาดูโลก เป็นไปได้ว่ามีคนต้องการที่จะถอนรากถอนโคนก่อนที่เขาจะสร้างปัญหา

เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงได้หันหน้าไปมองที่เว่ยหยวนตี้ด้วยท่าทางที่เย็นยะเยียบ

“ไม่นะ ไม่ใช่ข้า หลานชายเฉินเฉียง ข้าไม่มีวันออกคำสั่งแบบนั้นมาก่อน เรื่องของซุนต้าฮู่ไม่เกี่ยวกับข้า”

เมื่อเห็นเฉิเนฉียงจ้องมองมาที่ตน เว่ยหยวนตี้รีบปฏิเสธออกมาโดยไม่แม้แต่ต้องเอ่ยถาม พลางสะบัดมือปฏิเสธไปมาอย่างร้อนรน

“อย่ามาเรียกข้าว่าหลานชาย เว่ยหยวนตี้ เจ้าบอกว่าไม่ได้ส่งคนไปสังหารปู่ซุน ถ้าอย่างนั้นแล้ว คนที่ฆ่าพ่อข้าเฉินเทียนเว่ยนั้นเป็นใครกัน”

เมื่อได้ยินสิ่งที่หยานเสวี่ยพูดกับเฉินเฉียงพูดออกมานั้นทำให้เว่ยหยวนตี้รับรู้ได้ว่าสิ่งที่หยานเสวี่ยรู้มานั้นเป็นการรู้มาจากคนอื่น นี่ทำให้เว่ยหยวนตี้นั้นตั้งมั่นว่าไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เขาจะไม่มีทางจะบอกออกมาว่าการตายของเฉินเทียนเว่ยนั้นเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงนั้นไม่เชื่อคำพูดของเว่ยหยวนตี้แต่อย่างใด

จากท่าทางของเว่ยหยวนตี้ในตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะมองยังไง เฉินเฉียงก็มั่นใจได้ว่าการตายของเฉินเทียนเว่ยนั้นไม่เพียงจะเกี่ยวข้องกับเว่ยหยวนตี้ แต่ต้องเป็นเว่ยหยวนตี้ลงมือเองแน่ๆ

แต่ด้วยการที่หยานเสวี่ยพูดออกมาได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขานั้นจะยืนยันความคิดในใจของเขาในตอนนี้

และเมื่อดูกับท่าทางของหยานเสวี่ยแล้ว เขารู้ได้เลยว่าคนที่บอกข้อมูลนี้กับนางคือราชาสวรรค์

แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมราชาสวรรค์ไม่ยอมบอกเรื่องนี้ออกมาให้หมด

“เว่ย หยวน ตี้”

เฉินเฉียงได้เดินตรงไปหาเว่ยหยวนตี้พลางชี้นิ้วใส่และตะคอกออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “หากในวันนี้เจ้าไม่บอกความจริงออกมา ข้า เฉินเฉียงผู้นี้จะบั่นคอเจ้าเสียตรงนี้”

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง อย่า”

เว่ยฉิงเชินในตอนนี้รีบเข้ามายืนขวางหน้าเฉินเฉียงเอาไว้ พร้อมน้ำตาที่ร่วงหล่นจากใบหน้าอย่างไม่ขาดสายพลางก้มหน้าก้มตาหยุดเฉินเฉียงเอาไว้อย่างไม่กล้าที่จะมองหน้า

เป็นตอนนี้ที่เธอรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างที่สุด

เธอนั้นเมื่อฟังคำพูดของหยานเสวี่ยและท่าทางของพ่อของเธอแล้ว เธอรู้ได้ในทันทีว่าพ่อของเธอ ได้เล่นละครตบตาผู้คนมาได้อย่างแนบเนียน เป็นเวลากว่ายี่สิบกว่าปี

แต่กระนั้น เธอเองก็ยังยอมให้เฉินเฉียงลงมือไม่ได้อยู่ดี

แต่ให้สิ่งที่หยานเสวี่ยพูดออกมาที่ว่าพ่อของเธอนั้นได้ฆ่าเฉินเทียนเว่ยไปเป็นความจริง

ยังไงซะ เว่ยหยวนตี้ก็เป็นพ่อของเธอ แล้วเธอจะปล่อยให้เฉินเฉียงฆ่าพ่อของเธอไปได้ยังไงกัน

เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นท่าทางที่เศร้าสร้อยของเว่ยฉิงเชินแล้ว เขาก็เริ่มกลับมารู้สึกตัวและใจอ่อนลงไปบ้าง

แต่ในเมื่อเรื่องนี้คือความแค้นของพ่อที่ได้ตกตายไป แล้วเขาจะปล่อยให้เว่ยหยวนตี้ลอยนวลไปเพียงเพราะสานสัมพันธุ์ที่เขามีต่อเว่ยฉิงเชินเนี่ยนะ

“ฉิงเชิน ถอยไป”

เว่ยฉิงเชินส่ายหน้าไปมาอย่างไม่หยุดยั้งพลางกัดฟันฝืนพูดออกมา “พี่ใหญ่เฉินเฉียง เขา ยังไงเขาก็เป็นพ่อของข้า”

“พอแล้ว”

ในตอนนี้ ผู้ที่พูดออกมาคือผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ หลิวฉิง เขานั้นได้นิ่งเงียบไปนานและในที่สุดก็ได้พูดออกมา “เฉินเฉียง ตาแก่คนนี้เข้าใจความรู้สึกของเจ้าดีว่าเจ้านั้นอยากจะรีบแก้แค้นให้กับพ่อของเจ้าที่ได้ตกตายไป”

“แต่เจ้าเองนั้นก็เพียงได้ยินคำพูดของสาวน้อยที่จำคำของคนอื่นมาพูดเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีหลักฐานหรือพยานมาร่วมประกอบ”

“แถม ผู้การเว่ยนั้นยังยืนกรานปฏิเสธอีก”

“ถึงแม้เรื่องจะมาจนถึงป่านนี้แล้ว แต่ข้าว่าก็คงจะไม่สายที่จะสืบหาความจริงก่อนกระมัง”

“แต่….ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ข้าคิดว่าเรื่องนี้คงจะไม่มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูเว่ยกับเจ้าหรอกนะ”

“อย่าได้ลืมไปว่า เจ้าในตอนนี้ไม่อาจจะทะลวงข้ามขั้นได้เพราะแก่นสายเลือดเผาไหม้ไป ทำได้เพียงร่วมหอกับคุณหนูเว่ยเพียงเท่านั้น”

“แต่จะเลือกสิ่งใดนั้น ตาแก่คนนี้คงปล่อยให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจเอง”

“จริงด้วยค่ำ พี่ใหญ่เฉินเฉียง ใครจะไปรู้ เป็นไปได้ว่าหากเราอยู่ด้วยกันไปแล้ว ท่านอาจจะบรรลุข้ามขั้นได้ขึ้นมาก็ได้ พี่ใหญ่เฉินเฉียง เรามาแต่งงานกันในวันนี้กันเถอะค่ะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหลิวฉิงแล้ว ฉิงเชินได้คว้าฟางเส้นสุดท้ายนี้เอาไว้ พลางกอดแขนของเฉินเฉียงและพูดออกมาพร้อมน้ำตาที่ไหลริน

เธอนั้นคิดว่าหากสามารถสลายหัวใจที่เกลียดชังภายในใจของเฉินเฉียงได้ด้วยวิธีการนี้ เธอย่อมยินดีที่จะถวายตัว

เมื่อฉิงเชินได้แสดงออกมาด้วยท่าทางเช่นในตอนนี้ เฉินเฉียงยิ่งรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าเดิม

เขาเองไม่ใช่ว่าจะไม่อยากร่วมหอลงโรงไปพร้อมกับเว่ยฉิงเชิน

แต่คนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่ฆ่าเฉินเทียนเว่ยในตอนนี้นั้นกลับเป็นเว่ยหยวนตี้

เขาย่อมยึดถือในสิ่งนี้มากกว่า

หลังจากแกะมือของเว่ยฉิงเชินออกได้แล้ว เฉินเฉียงก็ได้พูดออกมาอย่างเย็นชา “ข้าต้องขอโทษด้วย ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ต่อให้ข้าไม่อาจจะทะลวงขั้นได้จริง แต่ข้าก็ไม่คิดจะใช้เว่ยฉิงเชินเป็นเครื่องมือในการแก้ไขในเรื่องนี้ และข้าก็ไม่อาจจะละเลยความแค้นของพ่อข้าได้”

“เว่ยหยวนตี้ จงจำให้ได้”

“ในวันนี้ ข้า เฉินเฉียงผู้นี้จะปล่อยแกไปเพราะข้านั้นไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะบั่นคอของเจ้า”

“แต่ข้าก็ยังเชื่อว่าฟ้านั้นมีตา คอยมองการกระทำของผู้คนอยู่ในระยะสามฟุต”

“วันใดก็ตามที่ข้าพิสูจน์ได้ว่าแกคือคนที่ฆ่าพ่อข้า แต่ให้เจ้าหนีไปสุดขอบโลก ข้า เฉินเฉียงผู้นี้ก็จะตามไปบั่นคอของเจ้า”

“เฉินเฉียง อย่าให้มันมากนัก”

เสียงของหลิวฉิงได้ดังขึ้นมา พร้อมกับคลื่นพลังที่รุนแรงได้พัดโหมกระหน่ำใส่ร่างของเขาทำให้เฉินเฉียงรู้สึกราวกับเป็นใบไม้ที่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่ไม่อาจขยับไปไหนได้

แต่เพียงไม่นาน ความรู้สึกในตอนนี้ได้หายไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อรู้สึกว่ามีคลื่นพลังหนึ่งได้พัดผ่านส่วนทางกับการล่องลอยของเขาไป เขาก็ได้พบว่าในตอนนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋ ฮูเตี๋ยน ได้มายืนตรงหน้าเขาแล้วหันไปพูดกับหลิวฉิง “พี่หลิวฉิง ตาแก่ฮู่ผู้นี้ก็ไม่ว่าหรอกนะหากเจ้าจะทำหน้าตาบูดบึ้งหรือเหี้ยมเกรียมแบบนั้น แต่หากเจ้าต้องการจะทำร้ายเฉินเฉียงต่อหน้าข้านี่ก็คงต้องลองดูกันไป”

และนี่ทำให้หลิวฉิงนั้นนึกขึ้นมาได้ว่า เฉินเฉียงนั้นแม้จะเป็นผู้น้อยที่อยู่ในเผ่าพันธุ์ แต่เขาก็เป็นศิษย์ของฮูเตี๋ยน

“ผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยน ในเมื่อเฉินเฉียงเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาเองก็ควรจะศิษย์ของข้าผู้นี้ในฐานะที่ข้าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าพันธุ์มากกว่าไม่ใช่รึ”

ถึงแม้คำพูดของหลิวฉิงจะดูแข็งกร้าว แต่น้ำเสียงของเขานั้นกลับหาใช่เช่นนั้นไม่

แต่จะเป็นแบบนั้นก็ไม่ได้แปลกแต่อย่างใด เพราะถึงแม้จะอยู่กลางศูนย์กลางเผ่าพันธุ์อย่างเขาโชวหยาง หลิวฉิงก็ไม่กล้าที่จะหาเรื่องกับฮูเตี๋ยนแต่อย่างใด

นั่นก็เพราะ กับองค์การที่ทรงพลังชนิดที่ยากจะหยั่งแบบฮูเตี๋ยนนี้ แม้แต่สามเผ่าพันธุ์ร่วมมือกันก็ไม่สามารถต่อกรได้แม้แต่น้อย

ฮุยตู๋ทรงพลังได้ถึงขั้นนั้นเลยทีเดียว

ฮูเตี๋ยนเชิดหน้ามองหลิวฉิงก่อนที่จะไม่แยแสแล้วหันไปถามกับเฉินเฉียงแทน “เฉินเฉียง เจ้าจะเอายังไงล่ะ เจ้าต้องการให้ตาแก่คนนี้จัดการเรื่องของเว่ยหยวนตี้ให้รึเปล่า”

เฉินเฉียงส่ายหน้าไปมา “เรื่องนี้ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้เพียงเท่านั้น”

“ก็ดี ถ้าอย่างนั้นก็ตามข้ามา”

เมื่อพูดจบ ฮูเตี๋ยนได้จับไปที่ไหล่ของเฉินเฉียงและหยานเสวี่ย ก่อนที่จะทะยานขึ้นฟ้าและหายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตาจากเขาโชวหยาง

เมื่อจับความรู้สึกของฮูเตี๋ยนไม่ได้แล้ว หลิวฉิงก็ได้หันไปมองเว่ยหยวนตี้แล้วพูดออกมา

“ผู้การเว่ย การตายของพ่อของเฉินเฉียงนั้นเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่”

เป็นเพียงหลังจากเฉินเฉียงจากไปแล้ว เว่ยหยวนตี้ก็ได้โล่งใจขึ้นมาได้ และเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวฉิงนี้ทำให้เขารีบตอบกลับที่เคารพยิ่ง “รายงานทำผู้อาวุโส เรื่องนี้ข้าไม่ผิด”

“มันเป็นเพียงเรื่องของการที่ผู้ใต้บังคับบัญชาปกป้องผู้ที่อยู่เหนือกว่าเพียงเท่านั้น ยังไม่รวมถึงความโกลาหลที่เกิดขึ้นนั่นอีก แม้ข้าเองจะอยู่ในเหตุการณ์ก็ยังยากที่จะอธิบายออกมา นี่จึงทำให้ข้านั้นไม่อาจจะอธิบายได้อย่างกระจ่างชัด”

“แต่ยังไงซะ ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้เชื่อว่าเมื่อใดก็ตามที่หลานชายเฉินเฉียงสืบสวนความจริงได้อย่างกระจ่างชัด เมื่อถึงเวลานั้นที่เขารู้ว่าข้านั้นบริสุทธิ์ เขาจะกลับมาและล้างมลทินให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้”

“ท่านพ่อ ท่านพูดจริงเหรอ” เมื่อเว่ยฉิงเชินได้ยินคำนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับมีดอกกุหลาบเบ่งบานขึ้นในใจ

นั่นก็เพราะเธอนั้นไม่ต้องการให้การตายของเฉินเทียนเว่ยนั้นเกี่ยวข้องกับพ่อของเธออย่างที่สุด หากว่าเป็นอย่างนั้นจริง เธอเองก็คงจะหมดหวังที่จะได้อยู่กับเฉินเฉียงเป็นแน่

“ยัยเด็กโง่ นี่เจ้าคิดว่าพ่อเป็นไอ้ตัวโกหกรึไงกัน เชื่อข้า เจ้ากับเฉินเฉียงจะได้ลงเอยกันได้ในสักวันหนึ่ง”

หลิวฉิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนที่จะพูดต่อ “อื้มมมม ผู้การเว่ย หากเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ก็ดีแล้ว ข้าเชื่อว่าไอ้เด็กเวรนั่นจะรับรู้เรื่องนี้ได้ในสักวันหนึ่ง”

เมื่อพูดจบ หลิวฉิงได้หันไปยิ้มให้กับเว่ยฉิงเชิน

“คุณหนูฉิงเชิน ถึงแม้เรื่องราวมากมายจะเกิดขึ้น จนเจ้าไม่ได้ในสิ่งที่หวังก็ตาม แต่ข้าก็ยังหวังว่าให้พวกเจ้าได้ครองคู่กันอยู่นา”

“เพราะยังไงซะ เจ้าเองก็เป็นอัจฉริยะผู้เลิศล้ำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ข้าต้องทำทุกทางเพื่อให้เผ่าพันธุ์ของเรานั้นรุ่งโรจน์”

“ไอ้เรื่องก่อนหน้านี้ ถ้าจะให้พูดไปแล้ว ความผิดทั้งหมดนั่นล้วนเริ่มมาจากไอ้ตัวเลวระยำฮั่นจุยนั่นผู้เดียว”

“แต่ไม่ต้องกังวลไป เรื่องในวันนี้ในที่สุดมันก็ผ่านไปแล้ว แล้วก็ ข้าคิดว่าจะรับเจ้าเข้ามาเป็นศิษย์ของข้าเพื่อที่ข้าจะได้ชี้แนะการบ่มเพาะให้เจ้าด้วยตัวเอง”

“และด้วยการที่นี่เองก็อยู่ใกล้กับตึกจอมพลภาคกลางอยู่แล้ว เอาเป็นว่าเจ้านั้นไปหาพ่อของเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้ก็แล้วกัน”

“จริงเหรอ ฉิงเชิน รีบทำความเคารพและขอบคุณท่านผู้อาวุโสสูงสุดเร็วเข้า” เว่ยหยวนตี้เมื่อได้ยินก็แสดงออกมาอย่างมีความสุขอย่างที่สุด

เขาไม่คิดมาก่อนว่าฉิงเชินนั้นจะได้รับเกียรติสูงสุดของเผ่าพันธุ์อย่างการได้เป็นศิษย์โดยตรงของผู้อาวุโสสูงสุดแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่เหนือล้ำกว่าตอนเป็นศิษย์ของฮั่นจุยมากนัก

สำหรับแขกเหรื่อในตอนนี้ ทุกคนรู้สึกราวกับกำลังอยู่ในรถไฟตีลังกา แต่เดิม ทุกคนต่างก็คิดว่าการที่เว่ยหยวนตี้มาถึงจุดนี้ได้ช่างหน้าตลกจนขำไม่ออก แต่นึกไม่ถึงว่า สุดท้ายแล้ว เขาก็ ยังเป็นใหญ่เป็นโตด้วยการที่มีลูกสาวดีๆที่ได้รับการดูแลจากผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าพันธุ์จากหลิวฉิงแบบนี้

“ยินดีด้วยครับท่านผู้อาวุโสสูงสุดที่สามารถมีศิษย์ดีๆแบบนี้ได้”

“ขอแสดงความยินดีกับท่านเว่ย…”

….

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท