ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 294 เตรียมงานแต่ง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 294 เตรียมงานแต่ง

ประเด็นคือ เว่ยหยวนตี้นั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเฉินเทียนเว่ยจริงๆรึเปล่า

เป็นไปได้ว่ากับเรื่องนี้คงมีเพียงเว่ยฉิงเชินเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เชื่อถือพ่อของตน

ทุกๆคนต่างก็เห็นอย่างแจ่มแจ้งถึงท่าทางที่แสดงออกมาของเว่ยหยวนตี้ ในขณะที่พูดคุยอยู่กับหยานเสวี่ย

ถึงแม้ปากของเขาจะปฏิเสธ แต่ท่าทางของเขานั้นไม่อาจรอดพ้นสายตาของผู้คนที่มีใจรักในการรับฟังเรื่องของผู้คน

ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าผู้คนที่ว่าคือผู้นำของนักรบทั่วทั้งภาคกลาง มีหรือที่พวกเขาจะไม่เคยพบเจอท่าทางแบบนี้มาก่อน

ถึงแม้ทุกคนนั้นจะคิดไม่ถึงว่าหยานเสวี่ยนั้นเป็นเพียงแค่คนเล่าเรื่อง แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเรื่องที่เธอพูดออกมานั้นเป็นเรื่องลวงแต่อย่างใด

นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าพันธุ์อย่างหลิวฉิงเลย

แต่….ต่อให้เว่ยหยวนตี้นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเฉินเทียนเว่ยแล้วยังไงล่ะ

ต่อให้เว่ยหยวนตี้เป็นคนลงมือฆ่าเฉินเทียนเว่ยเองก็เท่านั้น

สิ่งที่สำคัญที่สุดในเรื่องนี้ไม่ใช่เว่ยหยวนตี้ แต่เป็นเว่ยฉิงเชิน

เพื่อเห็นแก่เว่ยหยวนตี้แล้ว เว่ยฉิงเชินถึงกับยอมสละความสุขชั่วทั้งชีวิตของตนแต่งกับชายแก่อย่างฮั่นจุยเลยนะ

แม้กระทั่งพ่อของตนทำกับตนถึงขนาดนี้แล้ว เว่ยฉิงเชินก็ยังช่วยเหลือเขาต่อหน้าของเฉินเฉียง กับเธอผู้นี้นั้น พวกเขาก็ยังนึกไม่ออกว่าจะนำพาเผ่าพันธุ์ไปในทิศทางไหนเลย

แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เว่ยฉิงเชินนั้นก็ยังถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะของเผ่าพันธุ์เหนือกว่าผู้ใด

และนี่ก็ทำให้พวกเขานั้นอดจะสงสัยไม่ได้ว่า ที่เว่ยหยวนตี้พยายามยัดเยียดลูกสาวของตนให้นั้นเป็นเพราะเพื่อให้ตนเองได้รับผลประโยชน์สูงสุดเพียงเท่านั้น

หากเป็นเช่นนั้นจริง เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คงได้โกลาหลเสียยิ่งกว่าเดิม

จากก่อนหน้านี้ ฮั่นจุยที่เป็นสุดยอดนักรบของเผ่าพันธุ์ กับคิดคดทรยศต่อเผ่าพันธุ์ต่อหน้าผู้คน

แล้วมาในตอนนี้ เฉินเฉียง ผู้ซึ่งสร้างผลงานจนเรียกได้ว่านักรบผู้หาญกล้าแห่งเผ่าพันธุ์ กลับต้องแตกหักกับหนึ่งในผู้นำของเผ่าพันธุ์อย่างเว่ยหยวนตี้เพื่อแก้แค้นให้กับพ่อของตน

แต่การจะลงโทษผู้การร่วมของตึกจอมพลภาคกลางอีกครั้งนี่ก็แทบจะไม่ได้ต่างไปจากการโดนโจรปล้นหลังจากบ้านไฟไหม้เลยไม่ใช่รึไงกัน

นั่นก็เพราะก่อนหน้านี้ ไอ้ตัวระยำจ้าวลี่เองเพียงเพื่อที่จะเอาใจหั่นจุย ถึงกับยอมส่งนักรบผู้กล้าของเผ่าพันธุ์ไปให้มนุษย์กลายพันธุ์สังหารเล่นเสียอย่างนั้น

มันผู้นี้ไม่เคยคิดถึงผลที่ตามมาเลยสินะ

แล้วยังนี้นักรบแห่งเผ่าพันธุ์จะสู้ไปเพื่อสิ่งใดกัน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าพันธุ์อย่างหลิวฉิงนั้นทำได้เพียงมองภาพใหญ่ไว้ก่อน จึงปล่อยให้เว่ยหยวนตี้สะสางปัญหาในตึกจอมพลภาคกลางให้เกิดเสถียรภาพมากขึ้นในฐานะผู้การร่วมต่อไป

และเมื่อเรื่องของเว่ยหยวนตี้อยู่ตัวแล้ว อัจฉริยะแห่งเผ่าพันธุ์อย่างเว่ยฉิงเชินนั้นก็ย่อมจะไม่รอดพ้นการควบคุมของพวกเขา

ส่วนเรื่องของเฉินเฉียงนั้น ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเว่ยฉิงเชินนั้นมีความสัมพันธ์กับเฉินเฉียงที่ลึกซึ้งมากมายขนาดไหน

หลังจากนี้ไป ทุกคนหวังได้เพียงว่าเว่ยฉิงเชินนั้นจะใช้สายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของตน ในการสลายปมในใจของเฉินเฉียงให้เข้าร่วมกับสภาสูงภาคกลางให้ได้

และเมื่อถึงเวลานั้น ความลับของเขตแดนจักรพรรดิที่คงอยู่กับเฉินเฉียง ก็จะไม่พ้นมือของผู้อาวุโสสูงสุดอย่างแน่นอน

นั่นก็เพราะ เพื่อการนี้ หลิวฉิงถึงกับประกาศออกมาต่อผู้คนว่าเว่ยฉิงเชินจะเป็นศิษย์ของเขา นี่ย่อมทำให้เว่ยหยวนตี้ได้หน้าไปด้วย

“ท่านผู้อาวุโสที่หนึ่ง ศิษย์มีเรื่องที่จะต้องจัดการอยู่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าศิษย์จะขอออกไปจากเขาช่วงเวลาหนึ่ง”

“โอ้ เจ้าจะลงเขาไปรึ ฉิงเชิน เจ้าในตอนนี้เป็นนักรบระดับราชาขุนพลแล้ว ตราบใดที่เจ้าไม่เผลอไผลย่อมไม่ตกอยู่ในอันตรายโดยง่าย”

“แต่ถึงจะอย่างนั้น เจ้าจงนำสิ่งนี้ไปด้วย เมื่อใดก็ตามที่ได้พานพบอันตราย จงทำลายลูกบอลนี่ซะ แล้วข้าจะไปหาเจ้าเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้”

เมื่อพูดจบ หลิวฉิงกำได้นำบอลคริสตัลที่มีขนาดพอๆกับลูกตาวัววางในมือของฉิงเชิน

การออกไปในครั้งนี้ หลิวเฉิงย่อมรู้ดีว่าไม่มากก็น้อยต้องเกี่ยวข้องกับเฉินเฉียง

นี่ย่อมทำให้หลิวฉิงไม่คิดปฏิเสธ กลับกัน เขายินดียิ่งหากมันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ

หากว่าฉิงเชินสามารถสลายความแค้นในใจของเฉินเฉียงได้ นั่นย่อมดีที่สุดสำหรับหลิวฉิง

“ขอบคุณค่ะ ท่านอาจารย์”

เว่ยฉิงเชินได้รับบอลคริสตัลมา ก่อนที่จะกล่าวลาหลิวฉิงและเว่ยหยวนตี้อีกครั้ง แล้วรีบออกจากเขาโชวหยางไปในทันที

ถึงแม้ว่าฉิงเชินในตอนนี้จะไม่มีวิธีการติดต่อเฉินเฉียงได้ แต่ว่าเธอนั้นยังสามารถติดต่อจางหยวนและพวกได้อยู่ และได้รับรู้ว่า ทุกคนในตอนนี้กำลังอยู่ที่อาณานิคมเขาหมาง

นี่ทำให้เธอเชื่อว่าหลังจากเฉินเฉียงออกจากเขาโชวหยางไปแล้ว จะดีจะร้าย ยังไงซะเขาก็ต้องกลับไปที่เขาหมางเพื่อหาจางหยวนและคนอื่นๆ นี่จึงทำให้เธอนั้นรีบตรงไปยังเขาโชวหยางในทันที

แต่เว่ยฉิงเชินได้หลงลืมไปว่า ตอนที่เฉินเฉียงจากไปนั้น เขาได้ไปกับผู้อาวุโสสูงสุดของฮุยตู๋ หรือก็คือฮูเตี๋ยน ไม่สิ ต้องบอกว่าเขานั้นถูกพาตัวไปมากกว่า

ไม่นานหลังจากฮูเตี๋ยนได้พาเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยออกจากเขาโชวหยางไป เขาได้พาทั้งคู่มาหยุดอยู่ที่กลางป่าเขาแห่งหนึ่ง

“เฉินเฉียง ทำไมเจ้าไม่ไปกับข้าซะล่ะ ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานีของข้า”

เมื่อทั้งสามได้หยุดการเดินทาง ฮูเตี๋ยนได้ถามออกมาในทันที

“ผู้อาวุโสฮูเตี๋ยน ข้าต้องขอบคุณที่ท่านได้มาช่วยหยานเสวี่ยและข้าในวันนี้”

“น้ำใจของท่านในครั้งนี้ ผู้น้อยจะตอบแทนให้ได้ในสักวันหนึ่ง”

“อย่างไรก็ตาม ผู้น้อยยังไม่เข้าใจสิ่งหนึ่ง ผู้น้อยเป็นเพียงนายพลวิญญาณผู้ต่ำต้อยเพียงเท่านั้น ทำไมท่านถึงต้องไปที่นั่นเพื่อช่วยเหลือผู้น้อยกัน”

“เหอเหอเหอ เฉินเฉียงเอ๋ย ข้าผู้นี้คิดว่าตัวเจ้านั้นคงจะรู้คำตอบของคำถามนี้อยู่แล้วเสียกระมัง ก็อย่างที่เจ้าพูดมา ตัวเจ้านั้นเป็นเพียงนายพลวิญญาณผู้ต้อยต่ำ เจ้ามีสิ่งใดที่ทำให้ข้าช่วยเจ้าได้โดยไม่ลังเล ยอมแม้กระทั่งนำคนของข้ากว่าห้าร้อยมาข่มขู่เผ่าพันธุ์ของเจ้าได้ ตาแก่คนนี้เองรู้ดีว่าตัวเจ้าย่อมที่จะไม่เข้าใจ”

“ท่านผู้อาวุโส ท่านหมายถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเขตแดนจักรพรรดิเช่นนั้นรึ”

ฮูเตี๋ยนพยักหน้ารับ “ถูกต้อง”

“เขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้อยู่ในการดูแลของพวกข้าฮุยตู๋ แต่กระนั้น การที่ฮุยตู๋ยินยอมให้สามเผ่าพันธุ์นั้นเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ในทุกสิบปี นี่ถือได้ว่าเป็นหยิบยื่นผลประโยชน์ให้ทั้งสามเผ่าพันธุ์ต้องเคารพยำเกรงมาเป็นเวลากว่าหลายร้อยปีแล้ว”

“ส่วนเหตุผลนั้น เจ้าเองก็คงจะรู้ดี”

“ถึงแม้ว่าเขตแดนจักรพรรดิจะถูกดูแลโดยฮุยตู๋ของข้า แต่ในความจริงนั้น แม้แต่พวกข้าเองก็ยังไม่อาจได้รับรู้ถึงความลับที่อยู่ในเบื้องหลังของเขตแดนแต่อย่างใด”

“นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่พวกของข้า อนุญาตให้อัจฉริยะของทั้งสามเผ่าพันธุ์เข้าไปที่นั่นได้ในทุกสิบปี หนึ่งคือพวกเราต้องการให้อัจฉริยะเหล่านั้นเป็นผู้นำทรัพยากรออกมาใช้ อีกหนึ่งคือการยืมมือเพื่อคลี่คลายความลับของเขตแดน”

“แต่น่าเสียดาย ในช่วงสี่ร้อยปีที่ผ่านมา ไม่มีใครเลยสักคนเดียวที่เข้าถึงข้ามลับของเขตแดนได้”

“จนมาถึงตอนนี้ การเปิดเขตแดนครั้งล่าสุดนี่ทำให้พวกเราได้ค้นพบอัจฉริยะผู้อยู่เหนือผู้คน หรือก็คือเจ้า เฉินเฉียง”

“แต่อย่าได้กังวลไป ตาแก่คนนี้ก็ไม่ได้คิดจะบังคับเจ้าอยู่แล้ว กลับกัน ในตอนที่เจ้าออกมาจากเขตแดนนั่น พวกของข้ายังคิดที่จะตามไปกล่อมเจ้าให้มาเยือนยังจุดที่ตั้งของพวกเราเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าว่าจะเป็นการดีกว่าหากเจ้าไปยังฮุยตู๋ของข้าก่อนเป็นอันดับแรก”

“นั่นก็เพราะ ถึงแม้ว่าพวกข้าไม่ได้คิดจะบังคับเจ้า แต่กับทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้น คงไม่คิดเช่นข้าอย่างแน่นอน”

“นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น พวกข้าก็ได้ส่งคนไปลอบคอยคุ้มครองเจ้า”

“แน่นอนว่าหากเป็นไปได้ ตาแก่ผู้นี้ก็อยากจะขอให้เจ้ากลับไปยังฮุยตู่กับข้า เพื่อบอกเล่าสิ่งที่เจ้าได้พานพบในเขตแดนนั่นแล”

“แต่ก็อย่างที่บอก หากเจ้าไม่ความคิดจะไปที่นั่นกับข้าผู้นี้ ข้าผู้นี้ก็จะไม่บังคับแต่อย่างใด”

ผู้อาวุโสได้พูดออกมาตรงๆโดยไม่มีท่าทางข่มขู่แต่อย่างใด นี่ทำให้เฉินเฉียงรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างมาก

นั่นก็เพราะ ด้วยความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋ผู้นี้ หากต้องการจะใช้กำลังพาเขากลับไปจริง เขาจะเอาสิ่งใดไปต้านทาน

หลังจากก้มหัวคิดไปเล็กน้อย เฉินเฉียงก็ได้พูดออกมาอย่างหนักแน่น “ท่านผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยน ข้าน้อยขอกล่าวตามตรงเลยแล้วกันว่าสิ่งที่ข้าได้พานพบในเขตแดนลับที่อยู่ในเขตแดนจักรพรรดินั้น แม้กระทั่งมาถึงตอนนี้แล้ว ข้าเองก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจกับมันได้เลยสักนิด”

“แต่กับเรื่องนี้ ท่านอย่าได้กังวล”

“เมื่อใดก็ตามที่ผู้น้อย สามารถตีความในสิ่งที่พบเจอมาได้ ผู้น้อยนั้นย่อมมาหาท่านเพื่อบอกเล่าเรื่องราวอย่างแน่นอน”

“แต่ก่อนหน้านั้น ผู้น้อยเองยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ”

“ก่อนที่ผู้น้อยจะคลี่คลายปมปัญหาส่วนตัวได้ ผู้น้อยย่อมไม่มีอารมณ์ในการคลี่คลายสิ่งที่ได้พบเจอในเขตแดนจักรพรรดิได้อย่างแน่นอน”

“ดังนั้น ท่านผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยน โปรดให้อภัยกับความเอาแต่ใจของผู้น้อยด้วยเถิด”

คำพูดของท่าทางของเฉินเฉียงนี้หนักแน่นเสียจนทำให้ฮูเตี๋ยนทำได้เพียงลอบยินยอมแต่โดยดี

“เฉินเฉียง เจ้านั้นต้องการสืบหาเรื่องราวของพ่อของเจ้าใช่รึเปล่า เฮ้ออออ เอาหล่ะ เอาหล่ะ ข้าเข้าใจเจ้าดี”

“ก็ได้ ตาแก่คนนี้จะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ ยามใดก็ตามเมื่อเจ้าคิดดีแล้วว่าอยากจะมาที่นี่ หรือจะแค่เข้ามาบอกเล่าเรื่องราวให้ตาแก่ผู้นี้รับฟังก็ตาม ตาแก่ผู้นี้ก็ยินดีต้อนรับเจ้าตลอดเวลา”

หลังจากพูดจบ ฮูเตี๋ยนก็ได้ให้สัญญาณเชื่อมต่อกับกำไรสื่อสารของเฉินเฉียง หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วจากไป

หลังจากฮูเตี๋ยนได้จากไปได้สักพัก เฉินเฉียงก็ได้เก็กหน้าแล้วหันไปหาหยานเสวี่ยแล้วถามออกมา “หยานเสวี่ย เรื่องคนที่ฆ่าพ่อของข้านั้น เจ้าไม่รู้ไปถึงความจริงจริงน่ะเหรอ”

หยานเสวี่ยในตอนนี้ก็ได้เบือนหน้าด้วยหลบสายตาที่แหลมคมของเฉินเฉียงแล้วพูดออกมาอย่างช้าๆ “อย่างที่ข้าบอก พ่อของเจ้านั้นถูกทำร้ายโดยเว่ยหยวนตี้”

“แต่ในเรื่องละเอียดนั่น….เจ้าก็ไปสืบเอาเองสิ”

“สืบเอาเอง…เหรอ” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของเฉินเฉียงก็ได้เปลี่ยนเป็นแดงกล่ำแล้วตะคอกออกมา “คนที่รู้เรื่องราวในวันนี้มีใครอยากจะบอกข้าที่ไหนกัน แม้แต่ท่านราชาสวรรค์ก็ยังไม่อยากจะเอ่ยถึง กับหลี่ปิงที่รับรู้เรื่องราวนั่นก็ได้ตกตายไปแล้ว แล้วกับไอ้ชั่วเช่นเว่ยหยวนตี้นั่นมันจะกล้าปริปากบอกออกมาได้ยังไงกัน นี่เจ้าคิดในสิ่งที่เจ้าพูดออกมาบ้างรึเปล่าเนี่ย ห้ะ”

“มีคนที่ยังคงรับรู้เรื่องนี้เพียงน้อยนิด แล้วเจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าให้ข้าไปสืบหาด้วยตนเองอีกเนี่ยนะ”

เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินเฉียงที่อยู่ในโหมดคลุ้มคลั่งนี้ แม้แต่ราชาเหนือมนุษย์อย่างหยานเสวี่ยก็ยังต้องตื่นตระหนัก

“เฉิน….เฉียง ไม่ใช่ว่าข้า…ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะบอกเจ้า แต่ข้าเองก็ได้รับฟังมาเพียงเท่านี้”

“เอาอย่างนี้ดีรึเปล่า ข้าจะติดต่อไปหาท่านราชาสวรรค์เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้ หากท่านไม่ยอมบอก ข้าจะไปช่วยเจ้าขอร้องท่านราชาสวรรค์ให้บอกเล่าเรื่องราวของพ่อของเจ้าที่เกิดขึ้นในปีนี้ เจ้าคิดว่ายังไง”

เมื่อพูดจบ หยานเสวี่ยรีบส่งข้อความไปหาราชาสวรรค์ในทันที

แต่หลังจากผ่านไปสักพัก หยานเสวี่ยก็พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าขอโทษ เฉินเฉียง ท่านราชาน่าจะกำลังยุ่งอยู่จึงไม่อาจตอบข้อความของข้าได้”

“ไม่มีทาง”

เฉินเฉียงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไปที่เกาะเทียนลี่กัน”

ในครั้งนี้ ความเร็วที่เฉินเฉียงใช้นั้นเรียกได้ว่าทิ้งห่างจากหยานเสวี่ยไปไกลจนทำให้เธอนั้นไม่อาจตามเขาได้ทัน นี่ทำให้เพียงแค่สองวัน เฉินเฉียงก็ได้ลอยตัวอยู่เหนือเกาะเทียนลี่แล้ว

และเป็นไปดังที่หยานเสวี่ยว่าไว้ บนเกาะเทียนลี่ในตอนนี้ไม่มีร่องรอยของราชาสวรรค์แต่อย่างใด

หลังจากรอคอยไปสิบวัน ราชาสวรรค์ก็ยังไม่ปรากฏ

แต่ในช่วงสิบวันมานี้ เฉินเฉียงเริ่มสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว

แล้วเขานั้นจะยังควรที่จะคอยราชาสวรรค์ต่อไปอยู่อีกรึเปล่า

ก่อนหน้านี้ราชาสวรรค์ไม่ยอมบอกเขา แล้วมาตอนนี้ เขาจะยอมบอกอย่างงั้นเหรอ

เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงจึงคิดที่จะกลับไปยังเขาหมาง เพราะไม่ว่าจะยังไงก็ตาม จางหยวนและพวกยังรอเขาอยู่

เมื่อเห็นว่าหยานเสวี่ยทำท่าจะตามเขาไปอีก เฉินเฉียงก็ได้พูดออกมาด้วยท่าทางเย็นชา “หยานเสวี่ย นับแต่นี้เจ้าก็อย่าตามข้าไปเลยจะดีกว่า”

“ต่อให้ข้าผู้นี้ต้องตกตาย ข้าก็ไม่ยากจะถูกปกป้องโดยราชาสวรรค์และเจ้าอีก”

“นอกเสียจากราชาสวรรค์จะยอมบอกข้าถึงความจริงนั่น ข้าเองก็ไม่อยากที่จะพบเจอเขาอีก”

เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้บินออกจากเกาะเทียนลี่ไปคนเดียว

ห้าวันต่อมา เฉินเฉีงได้ไปปรากฏตัวที่อาณานิคมเขาหมาง และได้พบว่าเว่ยฉิงเชินได้มารอเขาอยู่ก่อนแล้วถึงเจ็ดวัน

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง ท่านกลับมาแล้ว”

เมื่อได้เห็นเฉินเฉียงอยู่แต่ไกล เว่ยฉิงเชินก็รีบเข้ามาหาเขา พลางคล้องแขนและวางคางของตนลงพลางมองไปที่เฉินเฉียงอย่างเปี่ยมสุข

“ฉิงเชิน เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

เฉินเฉียงประหลาดใจที่เห็นฉิงเชินที่นี่จนต้องถามออกมา

เว่ยฉิงเชินนั้นทำราวกับเรื่องของเขาและเว่ยหยวนตี้นั้นไม่ได้ส่งผลอะไรกับเธอเลยแม้แต่น้อย

ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่า หากไม่มีคำพูดของหยานเสวี่ยในตอนนั้น เขาและเว่ยฉิงเชินก็คงร่วมหอกันไปแล้วอีก

กระนั้นแล้ว รอยยิ้มของฉิงเชินในตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป และเมื่อเขาหันไปอีกทาง เขาก็พบจางหยวนและคนอื่นๆในกองกำลังเทียนเว่ยกำลังพุ่งตรงมาหา

“กัปตัน คุณหนูฉิงเชินมารอท่านตั้งแต่เจ็ดวันก่อนแล้วนา”

จางหยวนเป็นฝ่ายเปิดประเด็นในทันที ก่อนที่จะก้าวขึ้นหน้าและพูดต่ออย่างตื่นเต้นยินดี “ข้าได้รับฟังเรื่องราวจากคุณหนูเว่ยแล้วว่าในตอนนี้กองกำลังเทียนเว่ยของพวกเรานั้นพ้นมลทินเรียบร้อยแล้ว และไม่ต้องหลบซ่อนตัวอีกต่อไป….ใช่รึเปล่า”

เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่ค่อยจะมั่นใจของบรรดาพี่ชาย(และพี่สาว?)ของตนแล้วนั้น เฉินเฉียงกลับรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ก่อนที่จะยิ้มและพยักหน้ารับ “ถูกต้อง พี่ชายทั้งหลาย ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสภาสูงภาคกลางนั้นได้ล้างมลทินให้กับพวกเราแล้ว แม้แต่ไอ้ตัวระยำอย่างจ้าวลี่และฮั่นจุยนั่นก็ยังได้รับโทษทัณฑ์”

“สุดยอดดดดด”

กัวเหลียงได้วิ่งเข้าไปข้างๆเฉินเฉียง ก่อนที่จะวางมือลงบนบ่าของเขาแล้วพูดออกมา “ก่อนหน้านี้คุณหนูฉิงเชินนั้นได้บอกพวกเราแล้วว่าไอ้ตัวตัณหากลับฮั่นจุยนั่นเกือบจะได้แต่งงานกับนางแล้ว จนได้เจ้าช่วย ทำให้นางรอดพ้น เมื่อมันโดนพิพากษาโทษก็ได้ประกาศตนทรยศต่อเผ่าพันธุ์ในทันที มันสมควรแล้วที่ได้รับผลที่มันได้ทำเอาไว้”

“พูดก็พูดเถอะน้า ศิษย์น้องเอ๋ย ข้าคิดว่าไม่มีใครคู่ควรกับสาวงามอย่างคุณหนูฉิงเชินได้เท่าเจ้าอีกแล้วนา….”

“ไอ้ศิษย์พี่กัว นี่ท่านพูดอะไรออกมาเนี่ย”

“ถูกต้อง กัปตัน ท่านเองคงยังไม่รู้ ในช่วงสองวันมานี้ คุณหนูฉิงเชินนั้นได้ตระเตรียมห้องหอของท่านเอาไว้อย่างสวยงาม เฝ้ารอท่านกลับมาเลยนา”

“ฮี่ฮี่ฮี่ กัปตัน พวกเราเองก็รู้จักกันมานานแล้วนา พวกเราไม่เคยเห็นคุณหนูนั้นอยากจะแต่งงานกับใครขนาดนี้มาก่อน ถึงขั้นที่ว่าจัดเตรียมห้องหอด้วยตัวเองขนาดนี้เลยนะ กัปตันของพวกเรานั้นมีบุญญาวาสนาดีนัก พวกเราเองก็ได้เตรียมเหล้ามงคลไว้จัดงานมาให้ท่านตั้งแต่วันแรกที่รู้เรื่องแล้วเลย”

เมื่อได้ยินจางหยวนและพวกได้กล่าวถึงเรื่องที่เว่ยฉิงเชินได้ทำในช่วงไม่กี่วันมานี้ให้เขาได้รับฟัง เฉินเฉียงถึงกับประหลาดใจในทันที

ยิ่งนึกถึงว่าเว่ยฉิงเชินนั้นยังคงตั้งมั่นในเรื่องนี้แม้ว่าเขาจะทิ้งเธอออกมาจากเขาโชวหมางเฉยๆเลยด้วยซ้ำ นี่ยิ่งทำให้เฉินเฉียงนั้นยากที่จะเอ่ย

“ไปกันเถือะกัปตัน พวกเราลองไปดูห้องใหม่ของท่านกัน หากว่าท่านไม่พอใจ พวกเราจะได้รีบปรับปรุงมันซะ”

“ถึงแม้ท่านไม่รีบ แต่คุณหนูฉิงเชินนั้นกลับรีบนักหนา”

คำพูดของหลิวไฮ่นี้ทำให้เฉินเฉียงถึงกับต้องหน้าแดงในทันที เธอได้กอดของเฉินเฉียงแน่นก่อนที่จะฝังหน้าที่แดงระเรื่อลงไปเพื่อบดบัง

เฉินเฉียงก็อดที่จะยิ้มไม่ได้เหมือนกันก่อนจะพูดออกมา “เอาล่ะ พาข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน”

ภายในอาณานิคมเขาหมางในตอนนี้ นอกจากเว่ยฉิงเชิน จางหยวนและหลิงเว่ยแล้ว เหล่าสาวๆของอาณานิคมกำลังวุ่นวายกันอยู่

งานแต่งของเฉินเฉียงและเว่ยฉิงเชินนี้สมควรจะใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเขาหมางเลยก็ว่าได้

ในช่วงที่ผ่านมานี้ คนแรกที่สร้างผลงานได้อย่างดีเยี่ยมให้กับอาณานิคมเขาหมางนี้ก็คือเฉินเฉียง

ไม่เพียงเท่านั้น เขาในตอนนี้ยังกลายเป็นผู้ทรงพลังสำหรับพวกเขา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อาจจะก้าวขึ้นได้สูงกว่าระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงแล้วก็ตาม แต่เมื่อเทียบกลับอาณานิคมแห่งนี้แล้ว เขานั้นคือผู้ทรงพลังที่สุด

ยังไม่รวมถึงการเป็นตัวตั้งตัวตีของหลิงเว่ยผู้ซึ่งเป็นผู้บัญชาการของอาณานิคมแห่งนี้อีก และนี่จึงทำให้เฉินเฉียงนั้นได้ให้ใหญ่สุดของอาณานิคมแห่งนี้ไปโดยปริยาย

เมื่อจางหยวนและพวกได้พาเฉินเฉียงและฉิงเชินไปยังพื้นที่จัดงาน หลิงเว่ยและคนอื่นๆก็ได้ออกมาต้อนรับเฉินเฉียง และหัวเราะกันดังลั่นอย่างไม่ขาดสาย

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท