ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 296 ยุ่งเกี่ยว

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 296 ยุ่งเกี่ยว

เมื่อได้ยินแบบนี้ ราชาสวรรค์ได้เปิดเปลือกตาขึ้นมา พร้อมกับหมอกไอดำที่แข็งค้างไปก่อนหน้านี้ได้เริ่มขยับเขยื้อน พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย “หึหึหึ ผู้อาวุโสฮั่นก็พูดเกินไป ในเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่ข้าส่งไปสอดแนมมนุษย์นั้น มีเพียงเฉินเฉียงเท่านั้นที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง”

“จะบอกว่าบาดแผลของท่านเกิดจากเฉินเฉียงเช่นนั้นรึ”

ราชาสวรรค์พูดออกมาอย่างไม่แยแส แต่ว่าเขาคิดอะไรอยู่นั้นก็ไม่มีใครที่จะรับรู้ได้

ฮั่นจุยเองนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของราชาสวรรค์เช่นกัน ในมุมมองของเขาแล้วนั้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เขาโชวหยางนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีใครรับรู้ แม้แต่ราชาสวรรค์เองก็ไม่เว้น

และนี่แสดงว่าเขาเองก็ไม่ได้รับรู้ว่าในวันนั้นหยานเสวี่ยเองก็อยู่ด้วยเช่นกัน

ดวงตาของฮั่นจุยนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นในตอนนี้แล้วพูดออกมา “ราชาสวรรค์ ข้ายอมรับว่าเจ้านั้นมียุทธวิธีมากมายที่เลิศล้ำ ไหนจะเรื่องที่เจ้าได้ส่งไอ้หนูขโมยอย่างเฉินเฉียงเข้าไปจนทำให้ข้านั้นได้รับความอัปยศอดสูในวันนี้อีก”

“อย่างไรก็ตาม ท่านผู้อาวุโสหลี่ ท่านจ้าวเกาะทั้งหลาย พวกท่านอาจจะยังไม่ได้รับรู้เรื่องนี้กระมัง”

“เรื่องที่ว่าไอ้หนูขโมยตัวนี่ก็คือหลิวหลางที่เป็นเพียงคนเดียวที่เข้าถึงความลับของเขตแดนจักรพรรดินั่น ซึ่งมันก็ถูกส่งเข้าไปโดยราชาสวรรค์เช่นเดียวกัน”

“ห้ะ”

เมื่อสิ้นคำกล่าวของฮั่นจุย ผู้คนมากมายยกเว้นราชาสวรรค์ต่างก็ส่งเสียงของตนออกมาในทันที

“ราชาสวรรค์ เป็นความจริงรึ”

“คนใต้อาณัติของเจ้าที่ชื่อหลิวหลางนั่นเป็นคนเดียวกับเฉินเฉียงงั้นรึ”

“ไอ้หนูขโมยที่ว่าเนี่ยนะคือผู้ที่ครอบครองความลับของเขตแดนจักรพรรดิ”

“ถูกต้อง ราชาผู้นี้ยืนยันได้” หลินไฮ่หวังได้กระโดดออกมาจากที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้ ก่อนหน้านี้ เฉินเฉียงได้ฆ่าคนใต้อาณัติที่เขาตั้งใจฟูมฟักมาอย่างดีอย่างหลิวเฟิงไป นี่ทำให้เขานั้นเจ็บแค้นฝังใจและคิดที่จะโยนความเกลียดชังของตนที่มีต่อเฉินเฉียงใส่ราชาสวรรค์ให้ได้ก่อนหน้านี้ นึกไม่ถึงว่าราชาสวรรค์นั้นกลับมีอีกสถานะหนึ่งที่แม้แต่ผู้อาวุโสหลิวก็ยังไม่อยากที่จะข้องเกี่ยวด้วยเลยด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะทำอะไรราชาสวรรค์ไม่ได้ แต่เขาก็คิดจะลงทุกอย่างไปกับเฉินเฉียงแทน

“ทุกคน ในการศึกที่จิ้งชวนนั้น ราชาผู้นี้เห็นกับตาว่าไอ้เฉินเฉียงนั่น ก็คือหลิวหลางที่เป็นคนใต้อาณัติของราชาสวรรค์”

“ทุกๆคนก็รู้ดีว่าไอ้เด็กเวรนั่นครอบครองความลับที่สูงค่าเขย่าฟ้าดินได้อยู่ พวกเราต้องไม่ปล่อยมันไปโดยง่าย”

“ไม่มีทางยอมอยู่แล้ว พวกเราต้องจับไอ้เด็กนั่นมาแล้วเค้นข้อมูลความลับของเขตแดนจักรพรรดิออกมาให้ได้ เพื่อที่เผ่าพันธุ์ของเราจะได้เข้มแข็งยิ่งขึ้น”

จ้าวเกาะทั้งหลายในตอนนี้ตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าหากเฉินเฉียงมาอยู่ตรงหน้าก็พร้อมที่จะเถือหนังออกมาเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ

เมื่อเห็นฉากนี้ ฮั่นจุยก็ลอบยินดีขึ้นมาในหัวใจ ตราบใดที่มนุษย์กลายพันธุ์นั้นเคลื่อนไหวเพื่อจัดการเฉินเฉียงได้ สิ่งที่ค้างคาในใจของเขาก็คงจะไม่เหลืออีกต่อไป

ในขณะเดียวกัน ฮั่นจุยก็ได้มองไปที่ผู้อาวุโสหลี่แล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสหลี่ ท่านคิดว่ายังไง”

ตอนที่ฮั่นจุยบอกเรื่องนี้ออกมานั้น ผู้อาวุโสหลี่กลับลอบมองท่าทีของราชาสวรรค์

ผู้อาวุโสหลี่เองนั้นก็รับรู้ถึงตัวตนของเฉินเฉียงมานานแล้วพร้อมๆกับหลินไฮ่หวัง พวกเขาถึงกับลงมือคิดปล้นชิงตัวเฉินเฉียงจากราชาสวรรค์เลยด้วยซ้ำ

แต่ในตอนนั้น ผู้อาวุโสหลี่กลับต้องพบเจอสิ่งที่ทำให้ต้องหวาดหวั่นจนฝังใจ นั่นก็เพราะราชาสวรรค์นั้นมีธงตราของฮั่นจุยอยู่ในครอบครอง นั่นทำให้เขาไม่กล้าลงมือ แถมตอนนั้นเองเขาก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเฉินเฉียงอยู่ในโลกใบเล็กของราชาสวรรค์อยู่รึเปล่า

แต่ในครั้งนี้แตกต่างออกไป

จากคำพูดของฮั่นจุยนี้ทำให้เขาได้รับรู้แล้วว่าเฉินเฉียงไม่ได้อยู่กับราชาสวรรค์ และนี่จะทำให้เขาสามารถส่งคนไปจับตัวเฉินเฉียงมาได้

“ราชาสวรรค์ ในครั้งนี้เจ้าเองคงไม่อาจจะหยุดข้าให้จัดการเด็กนั่นได้อีกแล้วกระมัง อย่าได้ลืมไปว่าเจ้านั้นยังไงซะก็ยังเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์ หากเจ้าขัดขืนพวกเราในที่นี้ก็เท่ากับว่าเจ้านั้นเป็นกบฏกับเผ่าพันธุ์”

ราชาสวรรค์เมื่อได้ยินก็ยักไหล่ใส่ไปทีหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “ผู้อาวุโสหลี่ ดูสิ่งที่ท่านพูดเข้าสิ ท่านเองก็เป็นถึงผู้อาวุโสสูงเลยนะ ตราบใดที่ท่านพูด พวกเราเหล่าจ้าวเกาะมีหรือที่จะไม่รับฟัง”

“และนี่ก็เป็นเพียงการจับตัวเฉินเฉียงเพียงเท่านั้น”

“มันก็เหมือนเคยล่ะนะ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี” เมื่อผู้อาวุโสหลี่ได้ยิน ในที่สุดเขาก็รู้สึกโล่งใจ ตราบใดที่ราชาสวรรค์นั้นไม่มีข้อโต้แย้ง เขาเองก็จะได้ลงมือได้อย่างเต็มที่สักที

“ทุกคนจงฟัง เมื่อพวกเจ้ากลับไปแล้วจงส่งคนที่ฝีมือดีที่สุดของพวกเจ้าไปจับตัวไอ้มนุษย์เฉินเฉียงผู้นั้น”

“ใครก็ตามที่จับเฉินเฉียงได้ ผู้อาวุโสผู้นี้จะมีรางวัลให้ผู้นั้นอย่างงาม”

“และตราบใดที่พวกเราจับตัวเฉินเฉียงมันได้ มนุษย์กลายพันธุ์ของพวกเรานั้นจะอยู่เหนืออีกสองเผ่าพันธุ์อย่างแน่นอน”

“รับคำสั่ง”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว ทุกคนก็ได้ตอบรับคำสั่งนี้ออกมาอย่างพร้อมเพรียงด้วยความตื่นเต้นยินดี พวกเขาทำราวกับว่าอยากจะหายไปจากตรงนี้เสียเดี๋ยวนี้และรีบส่งคนไปจับเฉินเฉียงให้ได้โดยไว

อย่างไรก็ตาม เป็นตอนนี้ที่ราชาสวรรค์ได้พูดออกมา “โปรดหยุดก่อน”

เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้อาวุโสหลี่ได้ขมวดคิ้วแน่นก่อนที่จะถามออกมา “ราชาสวรรค์ เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกัน อย่าบอกนะว่าเจ้านั้นต้องการคืนคำ”

“ถึงแม้เรื่องนี้ควรจะปล่อยให้เป็นหน้าที่เจ้าเพราะว่าเฉินเฉียงนั้นเป็นคนใต้อาณัติของเจ้าก็ตาม”

“แต่เป็นเพราะท่าทางกระด้างกระเดื่องของเจ้าก่อนหน้านี้ ทำให้ข้านั้นทำได้เพียงส่งมอบภารกิจนี้ให้คนอื่นเพียงเท่านั้น ข้าเพียงหวังว่าเจ้านั้นไม่คิดจะขัดขวางอีก”

“หากเจ้าต้องการคิดที่จะขัดขวาง ไม่ว่าผู้หนุนหลังเจ้าจะทรงพลังขนาดไหน แต่เพื่ออนาคตของเผ่าพันธุ์แล้ว ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงหักหาญกับเจ้าเพียงเท่านั้น”

ด้วยคำพูดนี้ นอกจากเขาและหลินไฮ่หวังแล้ว ทุกคนนั้นไม่มีใครรู้ว่าราชาสวรรค์นั้นมีสถานะอื่นอีก

และมันเป็นสถานะที่แม้แต่หลินไฮ่หวังที่คอยขัดแข้งขัดขาราชาสวรรค์มาโดยตลอดก็ยังไม่อยากที่จะยุ่งเกี่ยว แม้แต่บอกกล่าวว่าผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใคร เขาก็ยังไม่แม้แต่จะพูดถึง

อย่างไรก็ตาม คำพูดของผู้อาวุโสหลี่นั้นกลับทำให้จ้าวเกาะและคนในสมาคมคนอื่นต่างก็นึกสงสัยขึ้นมาในทันที

เบื้องหลัง….ที่ทรงพลัง

หมายความว่าราชาสวรรค์ยังมีสถานะอื่นอยู่อีกงั้นเหรอ แถมยังทรงพลังมากเสียอีก

ไม่แปลกใจเลยจริงๆที่แม้แต่ผู้อาวุโสหลี่ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังมีท่าทีเกรงใจราชาสวรรค์

ภายใต้การสงสัยของทุกคนนี้ ราชาสวรรค์แต่เหยียดกายบิดขี้เกียจก่อนที่จะพูดออกมาช้าๆ “ไอ๊หยา….คนเช่นข้าคงยากที่จะทำความดีเสียกระมัง”

“ราชาผู้นี้เพียงแค่ต้องการสร้างความดีทิ้งไว้เพียงเท่านั้น กลัวว่าการตัดสินใจที่ไม่ยั้งคิดของท่านจะนำพาเผ่าพันธุ์ของพวกเราให้วอดวายเพียงเท่านั้น แต่เมื่อท่านผู้อาวุโสหลี่คิดว่าความพยายามในการทำดีของข้านั้นไร้ค่า ค่าเองก็คงไม่มีอะไรจะพูดอีก”

“เพียงแต่หากเผ่าพันธุ์นั้นได้มลายสิ้น ก็อย่ามาโทษว่าเป็นราชาผู้นี้ไม่ได้บอกกล่าวท่านก็แล้วกัน”

เมื่อพูดจบ ราชาสวรรค์ก็ได้หมุนตัวและเตรียมที่จะจากไป

เมื่อเห็นท่าทางนี้แล้ว ใบหน้าของผู้อาวุโสหลี่ก็ได้กระตุกยับ และรีบตะโกนออกมา “ช้าก่อน”

“โอ้ ท่านผู้อาวุโสหลี่มีสิ่งใดจะกล่าวสั่งสอนงั้นหรือ” ราชาสวรรค์ได้หันมาขานรับ ก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าเข้าใจว่าท่านนั้นกลัวว่าราชาผู้นี้จะแจ้งเตือนเฉินเฉียงใช่หรือไม่”

“เรื่องนี้ง่ายมาก”

“ท่านเพียงแค่ส่งราชาผู้นี้ไปกักตัวไว้ในที่พักจนกว่าจะจับตัวเฉินเฉียงได้ก็พอ”

“ส่วนเรื่องที่ว่าท่านจะจับหรือจะฆ่าเฉินเฉียงนั้น ก็แล้วแต่พวกท่าน ราชาผู้นี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวและไม่ย่างก้าวแต่ที่กักตัวแม้แต่น้อย”

เมื่อได้เห็นท่าทางและคำพูดที่สงบนิ่งของราชาสวรรค์แล้ว นี่ทำให้ผู้อาวุโสหลี่ถึงกับต้องร้อนรนเสียยิ่งกว่าเดิม

ยังมีสิ่งใดที่เขาไม่รู้อยู่อีกกัน

ที่ข้างๆกันนั้น ฮั่นจุยได้พูดออกมาอย่างยุยง “ผู้อาวุโสหลี่ เรื่องนี้สำคัญนัก พวกเราควรรีบจะตัดสินใจ”

“ไม่อย่างนั้น หากว่าสัตว์ประหลาดและพวกมนุษย์รู้ที่อยู่ของเฉินเฉียงล่ะก็ พวกมันต้องฉกฉิงโอกาสของพวกเรา และนั่นจะทำให้เราตกสู่ที่นั่งลำบากในที่สุด”

และเมื่อผู้อาวุโสหลี่ได้เห็นท่าทางที่เร่งรีบของฮั่นจุย และราชาสวรรค์ที่ได้ยินก็ยิ่งผ่อนคลายนี้ ผู้อาวุโสหลี่ก็ยิ่งรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุด ผู้อาวุโสหลี่ก็ได้ยกมือขึ้นเพื่อห้ามปรามเสียงกดดันของผู้คน ก่อนที่จะเดินไปหาราชาสวรรค์อย่างช้าๆแล้วพูดออกมา “ราชาสวรรค์ ที่ข้าพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เลวร้ายเมื่อครู่ ข้าขอให้เจ้าอย่าได้ขุ่นเคืองกับการกระทำของข้า”

“ข้าอยากรู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดออกมาก่อนหน้านี้หมายความว่ายังไงกัน”

“ทำไมการที่พวกเราไปจับตัวเฉินเฉียงถึงทำให้เผ่าพันธุ์ของเราต้องวอดวาย”

“แน่นอนว่าทุกคนในที่นี้รู้ว่าเฉินเฉียงนั้นเป็นนักรบที่เจ้าชื่นชอบมากที่สุด อย่าได้เป็นกังวลในเรื่องนี้ เป้าหมายของพวกเราเพียงแค่ต้องการรับรู้ในสิ่งที่เขาพบเจอเพียงเท่านั้น”

ราชาสวรรค์ในตอนนี้ได้เห็นท่าทีที่นิ่งสงบของผู้อาวุโสหลี่ก็หยักไหลขึ้นมาอีกทีหนึ่งแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสหลี่ ดูเหมือนท่านอยากจะให้ราชาผู้นี้อธิบายออกมาจริงๆสินะ”

“ย่อมเป็นเช่นนั้น ราชาสวรรค์ ยังไงซะพวกเราก็ยังเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน พวกเราต่างก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ ถึงแม้พวกเราจะมีความขัดแย้งไปบ้าง แต่ทั้งหมดแล้วก็เพื่อทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเราพัฒนาขึ้นไปเพียงเท่านั้น หรือเจ้าไม่คิดเช่นนั้น”

ราชาสวรรค์เมื่อได้ยินก็พยักหน้ารับ “ก็ได้ ในเมื่อท่านพูดออกมาถึงขนาดนี้แล้ว ราชาผู้นี้ก็จะเห็นแก่หน้าเผ่าพันธุ์ของเราและจะอธิบายให้ท่านเข้าใจอย่างกระจ่างชัด”

จ้าวเกาะทุกคนในตอนนี้เมื่อได้ยินและเห็นการกระทำและคำพูดของราชาสวรรค์ก็ราวกับจะจับอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

และหลังจากพูดจบ ราชาสวรรค์ได้หันไปมองฮั่นจุย ถึงแม้รอบตัวของราชาสวรรค์จะเต็มไปด้วยหมอกไอดำ แต่ฮั่นจุยก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกจนต้องเสียวสันหลังและขนลุกชัน

นี่ราชาสวรรค์ไม่ใช่แค่ราชาเหนือมนุษย์ธรรมดารึไงกัน

ทำไมผู้อาวุโสหลี่ถึงได้มองเขาอย่างแตกต่างจนราวกับจะเกรงกลัวเลยด้วยซ้ำ

ฮั่นจุยแม้จะไม่เข้าใจ แต่เขาก็อยากรู้จริงๆว่าราชาสวรรค์จะบอกเล่าสิ่งใดเพื่อช่วยเฉินเฉียงกันแน่

ส่วนเหล่าราชามนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นและจ้าวเกาะทั้งหลายนั้น ถึงแม้พวกเขาอยากจะรีบกลับไปที่มั่นของตนและรีบส่งคนออกไปขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อได้ยินคำพูดของราชาสวรรค์ที่ทำท่าทางราวกับเป็นความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์แบบนี้แล้ว พวกเขาก็ทำได้เพียงสับสนและจ้องมองไปยังราชาสวรรค์อย่างไม่กะพริบตา

“ฮั่นจุย เจ้าบอกว่าเจ้าทรยศเผ่าพันธุ์และเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์ของข้า ไม่ทราบว่าเจ้านั้นได้ฝังแผ่นแก่นพลังงานลงไปรึยัง”

เมื่อสิ้นคำพูดของราชาสวรรค์แล้ว ก่อนที่ราชาสวรรค์จะได้พูดอะไรออกมา ผู้อาวุโสหลิวเป็นผู้ออกมาตอบแทน “ราชาสวรรค์ เนื่องจากสิ่งที่ข้าได้พบเป็นเรื่องเร่งด่วน ข้าจึงยังไม่ได้ฝังแผ่นแก่นพลังงานในหัวของผู้อาวุโสฮั่น”

“ด้วยการที่ตอนได้พบเจอผู้อาวุโสฮั่นนั้น เขาได้บอกเล่าเรื่องมากมายที่มันสำคัญมาก ข้าจึงวางแผนไว้ว่าหลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้วถึงจะฝังแผ่นแก่นพลังงานในร่างของเขาทีหลัง”

“เข้าใจล่ะ” ราชาสวรรค์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว”

ฮั่นจุยนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของราชาสวรรค์ที่เหมือนกำลังพุ่งเป้ามาที่ตน เขาก็ได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ “ราชาสวรรค์ เจ้าหมายความว่ายังไง เจ้าเข้าใจสิ่งใดเกี่ยวกับข้า”

“เหอเหอเหอ ข้าเข้าใจสิ่งใดเกี่ยวกับเจ้ารึ” ราชาสวรรค์สบถออกมา

“ทุกคนในที่นี่ต่างก็รู้กันดีว่าใครก็ตามที่ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับกึ่งราชาและมีแผ่นแก่นพลังงานในหัว แผ่นแก่นพลังงานเหล่านี้จะคงอยู่ตลอดไป และมันเปรียบได้ดั่งหลักฐานยืนยันในความจงรักภักดีกับเผ่าพันธุ์เรา แต่ก็อีกล่ะนะ เอาจริงๆมันก็ไม่ได้ส่งผลต่อตัวตนของคนคนนั้นสักเท่าไหร่นัก”

“แต่ฮั่นจุยผู้นี้เข้ามาหาพวกเราโดยไม่แม้แต่ฝังแผ่นแก่นพลังงานเอาไว้แต่กลับมายุยงให้ผู้อาวุโสหลี่จับกุมตัวเฉินเฉียงเพียงเท่านั้น”

“ราชาสวรรค์ เจ้าพร่ำพ่นสิ่งใดออกมากัน เจ้าพูดจาไร้สาระชัดๆ”

“นี่มันเป็นเพราะข้า ฮั่นจุยผู้นี้ได้รับความอยุติธรรมยามที่อยู่ในเผ่าพันธุ์ ข้าจึงคิดจะทำให้พวกมันวอดวายก็เพียงเท่านั้น”

ผู้อาวุโสหลี่เองก็ได้ช่วยพูดในทันที “ราชาสวรรค์ ข้าขอพูดตามตรงแล้วกัน ข้อมูลที่ผู้อาวุโสฮั่นบอกพวกเรานั้นเป็นข้อมูลล่าสุดของกองกำลังมนุษย์เลยนะ และข้าเองก็ได้ส่งคนไปยืนยันแล้ว ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด”

“นี่จึงทำให้ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสฮั่นนั้นต้องการสวามิภักดิ์เข้าร่วมกับพวกเราเพียงเท่านั้น ไม่มีเบื้องหลังแต่อย่างใด”

“โอ้….มันจะเป็นเช่นนั้นจริงน่ะหรือ ฮี่ฮี่ฮี่ ถ้าเช่นนั้นราชาผู้นี้มีคำถามที่จะขอถามกับฮั่นจุยสักเล็กน้อย ท่านคิดว่าเป็นเช่นไร”

เป็นตอนนี้ที่ราชาสวรรค์ได้เดินตรงไปยังเบื้องหน้าฮั่นจุยก่อนที่จะถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งลึก “ฮั่นจุย หากข้าเข้าใจไม่ผิด ที่เจ้านั้นคิดคดทรยศต่อเผ่าพันธุ์นั้นเป็นตอนที่เจ้ากำลังจะจัดงานแต่งงานในพื้นที่ของสภาสูงใช่หรือไม่”

“ไร้สาระ” ฮั่นจุยได้ตอบออกมาอย่างไม่ตรงคำถามเพราะไม่ต้องการจะพูดถึงมันอีก แต่คำถามของราชาสวรรค์ที่ถามออกมาต่อหน้าทุกคนนี้ได้ทำให้สีหน้าของเขามืดครึ้มในทันที “องครักษ์หยานของเจ้าก็อยู่ที่นั่นในวันนั้น นางก็น่าจะบอกเจ้าไปหมดแล้วไม่ใช่รึไง แล้วทำไมเจ้าถึงยังพูดพร่ำออกมาอีก”

“ฮี่ฮี่ฮี่อ ก็จริง ข้านั้นได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากองครักษ์หยานเรียบร้อยแล้ว”

เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดระหว่างราชาสวรรค์และฮั่นจุยนี้ต่างก็ตกตะลึงกันไปทั่ว

พวกเขาต่างก็ไม่คิดว่าราชาสวรรค์จะส่งคนของตนเข้าไปได้ถึงเขาโชวหยาง นี่ทำให้ทุกคนนั้นอดที่จะยอมรับฝืมือของราชาสวรรค์เสียมิได้

แม้แต่ผู้อาวุโสหลี่เองก็ยังอดไม่ได้ที่จะส่งคำชมออกมา

“ราชาสวรรค์ เจ้าทำได้ดีมาก”

“แต่ให้พวกสภาสูงรู้ว่าพวกเราส่งคนเข้าไป พวกมันก็ยังต้องไว้หน้า รีบบอกมา เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เมื่อพูดจบ ผู้อาวุโสหลี่และราชามนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นต่างก็นิ่งเงียบเพื่อสดับรับฟังคำพูดของราชาสวรรค์

“เรื่องราวเป็นเช่นนี้ผู้อาวุโสหลี่”

“เหตุผลที่ข้าส่งองครักษ์หยานไปที่เขาโชวหยางในครั้งนี้เป็นเพียงการปกป้องเฉินเฉียงไว้เพียงเท่านั้น”

“เพราะต่อให้ตัวไอ้เด็กนี่จะมีค่าขนาดไหน เขาก็ยังไปไม่ถึงระดับกึ่งราชาเลยด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับผู้คนที่ไปยังเขาโชวหยางในครั้งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ราชาผู้นี้จึงกลัวว่าเด็กนี่จะตกอยู่ในอันตราย”

“แต่ข้าก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าไอ้คนที่ฮั่นจุยผู้นี้จะแต่งงานด้วยนั้นเป็นคนรักของไอ้เด็กนี่ และเมื่อรับรู้เช่นนี้ ข้าก็ไม่แปลกใจที่เฉินเฉียงจะอาละวาด”

เมื่อทุกคนได้ยินต่างก็หันไปมองฮั่นจุยอย่างเป็นตาเดียว

พวกเขานั้นต่างก็นึกเป็นเสียงเดียวกันก็คือ วัวแก่ที่คิดกินหญ้าอ่อน แถมยังเป็นหญ้าที่มีเจ้าของแล้วเสียอีก

เมื่อฮั่นจุยได้ยินแบบนี้แล้วก็เดือดดาลขึ้นมาในทันที

เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นความอัปยศที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว แต่มันกลับถูกราชาสวรรค์ป่าวประกาศออกมาอย่างโต้งๆราวกับต้องการจะย้ำแผลที่ยังไม่หยุดเลือดไหล มีหรือที่เขาจะยอมอยู่เฉย

“ราชาสวรรค์ รน หา ที่ ตาย นัก”

ฮั่นจุยได้ระเบิดอารมณ์พร้อมส่งฝ่ามือพุ่งตรงไปยังราชาสวรรค์

แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะถูกยั้งไว้โดยผู้อาวุโสหลี่

ราชาสวรรค์ที่แต่เดิมก็ไม่ได้คิดจะหลบหลีกการโจมตีของฮั่นจุยอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสหลี่หยุดฮั่นจุยกับมือ เขาก็ได้เดินเข้าประชิดฮั่นจุยยิ่งกว่าเดิม

“โฮ่ ฮั่นจุย เจ้าที่ยังไม่แม้แต่จะฝังแผ่นแก่นพลังงานยังมีหน้ามาโจมตีข้าต่อหน้าผู้อาวุโสสูงแห่งสมาคมผู้นำมนุษย์กลายพันธุ์ของข้าอีกเนี่ยนะ”

“มาสิวะ มา แน่จริงก็เข้ามา ราชาผู้นี้อยากจะรู้จริงๆว่าเจ้ามีกึ๋นที่จะข้าฆ่าที่ตรงนี้เฉกเช่นดังปากของเจ้าว่า หรือเป็นเพียงแค่ลูกโสเภณีที่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดเพียงเท่านั้น”

คำพูดของราชาสวรรค์นี้ทำให้ฮั่นจุยโกรธแค้นจนราวกับผีกองกอยที่กระโดดไปมาอย่างโหดร้าย เขานั้นอยากจะฉีกกระชากร่างของราชาสวรรค์เสียตรงนี้เลยจริงๆ

“ผู้อาวุโสหลี่ นี่หมายความว่ายังไงกัน ท่านจะปล่อยให้ราชาสวรรค์กดขี่ข้าต่อหน้าผู้คนโดยไม่ให้ข้าทำอะไรเลยอย่างนั้นรึไง หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้า ฮั่นจุยผู้นี้ไปเข้าร่วมกับพวกสัตว์ประหลาดจะดีกว่า”

ผู้อาวุโสฮั่นทำท่าอย่างช่วยไม่ได้ออกมา หากเป็นราชามนุษย์กลายพันธุ์คนอื่น เขาก็คงจะไม่หยุดยั้งฮั่นจุย แถมจะเข้าผสมโรงด้วยซ้ำ

แต่ราชาสวรรค์นั้นต่างออกไป

นั่นก็เพราะเขาเป็นคนของฮุยตู๋

หากราชาสวรรค์ตกตายด้วยวิธีนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าฮุยตู๋นั้นจะเคลื่อนไหวจนกวาดล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์ลงได้อย่างราบคาบในวันเดียว

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท