ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 297 ไล่ส่ง (ฟรี)

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 297 ไล่ส่ง

ด้วยเหตุผลต่างๆเหล่านี้ ผู้อาวุโสหลี่จึงไม่มีทางเลือกทำได้เพียงหยุดฮั่นจุยพลางลอบส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปหาฮั่นจุย –น้องฮั่น เจ้าอย่าได้หุนหันไป ตัวตนของราชาสวรรค์พิเศษมากจนแม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจจะแตะต้องได้-

-หากเกิดอะไรขึ้นกับราชาสวรรค์ที่นี่ ข้าเกรงว่าเผ่าพันธุ์ของข้าก็คงจะไม่แคล้ววอดวายจากการตายของมัน-

เมื่อฮั่นจุยได้ยินก็ถึงกับต้องตกใจจนนิ่งอึ้งไป หลังจากมองไปที่ราชาสวรรค์อีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ยอมเลิกรา

กับอีแค่ราชาน้อยๆนี่จะมีตัวตนระดับใดได้อีก

อย่างไรก็ตาม ฮั่นจุยบอกได้เพียงว่าความกังวลของผู้อาวุโสหลี่นั้นเป็นของจริง

และเพื่อเป็นการรักษาหน้าของฮั่นจุยเอาไว้ ผู้อาวุโสหลี่จึงได้ก้มหน้ามองราชาสวรรค์แล้วตะคอกออกมา “ราชาสวรรค์ อย่าได้พูดในเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้อง เจ้าควรจะพูดจุดสำคัญได้แล้ว”

“โอ้……ก็ได้” ราชาสวรรค์ตบมือไปทีหนึ่งพลางยิ้มเยาะแล้วพูดออกมา “ในงานแต่งงานวันนั้น เฉินเฉียงไม่อาจทนเห็นคนรักของตนแต่งงานกับฮั่นจุยได้ จึงได้แสดงจุดยืนแข็งขืนกับการแต่งงานนี้”

“ลองคิดดูสิว่าเฉินเฉียงนั้นมีตัวตนเช่นไร ก็แค่หัวหน้ากองกำลังเล็กๆ ที่เป็นเพียงนายพลวิญญาณขั้นสูงตัวเล็กๆเพียงเท่านั้น”

“ด้วยตัวตนของเขาแล้วกลับมีคนกล้าขัดขวางงานแต่งของผู้อาวุโสสูงแห่งเผ่าพันธุ์กลางสถานที่จัดงานที่เป็นถิ่นของผู้อาวุโสอย่างเขาโชวหยางเนี่ยนะ”

“ข้านึกภาพออกได้ในทันทีเลยว่าฮั่นจุยผู้สิ่งมีศักดิ์ฐานะที่สูงล้ำกว่าเขามากนั้นจะยอมเลิกล้มงานแต่งเพื่อเห็นแก่หน้าของเด็กนั่นรึเปล่า”

“ไม่มีทางหรอกน่า”

คำพูดนี้ทำให้เหล่าราชาแห่งมนุษย์กลายพันธุ์ก็ยังต้องนึกภาพตามออกได้ในทันที และนี่ยิ่งทำให้ฮั่นจุยโกรธเกรี้ยวจนกัดฟันแน่น

เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ผู้อาวุโสหลี่เองนั้นก็ไม่อยากจะให้ราชาสวรรค์พูดต่อสักเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม ในใจเขาเองนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะอยากรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะแม้แต่ตวเขาเองก็ยังนึกไม่ออกว่าอะไรที่ทำให้ผู้อาวุโสสูงแห่งเผ่าพันธุ์ศัตรู ถึงกับยอมเป็นกบฏต่อพวกตัวเอง มันคงไม่ใช่เพียงความหึงหวงจนลงไม้ลงมือกับเด็กตัวน้อยนี่เสียอย่างเดียวกระมัง

หากเป็นอย่างนั้นจริง ด้วยตัวตนของฮั่นจุยก็ไม่ควรจะถึงกับต้องระเห็จออกจากฐานอำนาจของตัวเองแบบนี้

เมื่อได้รับฟังคำพูดของทุกคนแล้ว ราชาสวรรค์ก็พยักหน้าเชิงตอบรับ “ถูกต้อง ฮั่นจุยนั้นโกรธเกรี้ยวในทันที ในตอนนั้นเขาได้ส่งฝ่ามือของตนเล็งเป้าไปที่เฉินเฉียง อ้อ ใช่สิ มันน่าจะพอๆกับฝ่ามือที่ส่งมายังราชาผู้นี้ด้วยล่ะมั้ง”

และด้วยคำพูดนี้ก็ยิ่งทำให้ราชามนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหลายนึกภาพออกได้ยิ่งกว่าเดิมว่าฮั่นจุยผู้ซึ่งอยู่ในระดับราชาขุนพล ปล่อยฝ่ามือที่ทรงพลังออกมา อย่าว่าแต่นายพลวิญญาณตัวน้อยๆอย่างเฉินเฉียงเลย แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับราชาเองก็ยังยากจะรับมือ

“อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นนึกไม่ถึงว่าฝ่ามือของฮั่นจุยนั้นพลาดเป้าไปและโจมตีโดนไปที่บ่าของเฉินเฉียง”

“ด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นเป็นผู้ที่พิชิตบันไดสู่สรวงสวรรค์โดยอาศัยเพียงแรงกายของตนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”

“แน่นอนว่าร่างกายของเขานั้นทรงพลังเหนือกว่าคนทั่วไปมากนัก”

“กับฝ่ามือที่ไม่ได้หมายจะเอาชีวิตแบบนี้ ทำได้เพียงทำให้เขากระอักเลือดออกมาเท่านั้น”

“แต่ก็อีกนั่นแหละ ฮั่นจุยผู้นี้ก็คงจะไม่คิดว่าเลือดของเฉินเฉียงจะเป็นพิษ และในตอนนั้น เลือดของเฉินเฉียงที่อาบไปครึ่งหน้าของฮั่นจุย ก็ได้ทำให้ใบหน้าของเขาเละตุ้มเปะเฉกเช่นอย่างที่ได้เห็นกันอยู่”

“ฮั่นจุย คำพูดของข้านี้ผิดไปหรือไม่”

“ฮึ่มมมม” ฮั่นจุยคำรามลั่นและไม่พูดอะไรออกมา

ราชาสวรรค์แม้จะไม่อยู่ที่นั่น แต่ด้วยคำบอกเล่าของหยานเสวี่ยเพียงเท่านั้นกลับทำให้เขาบอกเล่าเรื่องราวได้ราวกับอยู่ที่นั่นด้วยตัวเองเลยทีเดียว

และนี่เองทำให้ผู้อาวุโสหลี่และเหล่าราชาแห่งมนุษย์กลายพันธุ์เข้าใจได้ในทันทีว่าที่ใบหน้าของฮั่นจุยเละเทะขนาดนี้ได้นั้นเป็นเพราะเฉินเฉียง นี่ทำให้ทุกคนอดจะเห็นใจเสียไม่ได้

“ราชาสวรรค์ เจ้าก็พูดมาอย่างเนื่นนานแล้วแต่ข้าผู้นี้ยังไม่เห็นถึงความเกี่ยวพันกับการสิ้นสูญของเผ่าพันธุ์ที่เจ้าว่ามาหากเราไปจับตัวเฉินเฉียงเลยแม้แต่น้อยไม่ใช่รึ”

“ต่อให้เลือดของเฉินเฉียงเป็นพิษแล้วยังไงล่ะ”

“อย่างมากพวกเราก็แค่เสียสละคนที่เข้าไปจับเพียงเท่านั้น”

ผู้อาวุโสหลี่แม้อยากจะฟังต่อแต่เมื่อเห็นท่าทางหัวร้อนของฮั่นจุยแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเปิดปากพูดออกมา

“อย่าได้รีบร้อนไปท่านผู้อาวุโสหลี่ เดี๋ยวข้าจะพูดจุดสำคัญเดี๋ยวนี้แหละ”

เมื่อพูดจบ ราชาสวรรค์ก็ได้หันไปหาฮั่นจุยแล้วพูดต่อ

“ในตอนนั้น หลังจากที่ใบหน้าของฮั่นจุยได้รับบาดเจ็บ เป็นธรรมดาที่เขาจะเลือดขึ้นหน้า….โกรธจัด และนี่จึงทำให้เขาโจมตีใส่เฉินเฉียงซ้ำด้วยพลังทั้งหมดที่มี”

“อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นไม่มีใครคาดคิดว่า ในช่วงเวลาหายนะของเฉินเฉียงนั้นจะมีบางคนที่เข้ามาแทรกแซงและเข้ามาช่วยเฉินเฉียงไปได้”

“ทุกท่าน ราชาผู้นี้เชื่อว่าราชาทุกท่านก็คงจะสนใจไม่น้อยเกี่ยวกับผู้ที่สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเจ้าเด็กนั่นให้รอดพ้นไปจากผู้อาวุโสสูงแห่งเผ่าพันธุ์อย่างฮั่นจุยไปได้”

“คงไม่ใช่ว่า….จะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งมนุษย์ หลิวฉิงนั่นหรอกนะ”

ผู้อาวุโสหลี่ที่คิดถึงความเป็นไปได้ก็ได้รีบพูดออกมา

“หลิวฉิงรึ ข้าจำได้ว่านั่นคือผู้อาวุโสที่แกร่งกล้าที่สุดในเผ่าพันธุ์มนุษย์เลยนะนั่น แต่เขาก็เก็บตัวมาเกือบสามร้อยปีแล้วไม่ใช่รึ”

“นั่นสิ หลิวฉิงเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดของพวกมนุษย์ แถมระดับการบ่มเพาะของเขาก็ยังอยู่ในระดับจอมพลขั้นสูงอีก ข้าเองก็คิดว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ยื่นมือเขามายุ่งกับฮั่นจุยได้ เป็นแบบนั้นใช่รึเปล่า”

“เป็นไปได้ว่าเฉินเฉียงนั้นอาจจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับหลิวฉิงผู้นั้น แต่จะใช่เหรอ คนหนึ่งก็แซ่หลิว อีกคนก็แซ่เฉิน”

ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นี้ ราชาแห่งมนุษย์กลายพันธุ์ทุกคนก็ได้เห็นสีหน้าที่ยากจะกล่าวของฮั่นจุยที่เปลี่ยนแปลงไป หากจะพูดชัดๆก็คือ จากโกรธสุดขั้ว เป็นความกลัวสุดที่จะหยั่ง

และเมื่อเห็นท่าทางนี้ของฮั่นจุยแล้ว อาวุโสหลี่และทุกคนต่างก็คิดว่าข้อสังเกตของตนนั้นถูกต้องแล้ว

หากเป็นอย่างนั้นจริง การลงมือของพวกเขาก็คงจะยุ่งยากเลยทีเดียว

หากหลิวฉิงรู้ว่ามนุษย์กลายพันธุ์นั้นหมายหัวเฉินเฉียงเอาไว้ เป็นไปได้ว่าหลิวฉิงจะโกรธเกรี้ยวและเปิดฉากสงครามกับมนุษย์กลายพันธ์ุ

หากมองจากจุดนี้ อย่างมากพวกเขาก็เพียงแค่ต้องคิดวางแผนการให้รัดกุมก็เพียงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสหลี่และราชาคนอื่นนั้นกลับไม่คิดว่าเพียงได้ยินทุกคนเอ่ยถึงชื่อหลิวฉิง ราชาสวรรค์กับส่ายหน้าไปมา

“ไม่ใช่ ผู้อาวุโสหลี่กล่าวผิดแล้ว”

“มันก็จริงที่ในวันนั้นหลิวฉิงได้ปรากฏตัว”

“แต่คนที่ช่วยเฉินเฉียงหาใช่หลิวฉิงไม่”

“แต่คนผู้นั้นคือฮูเตี๋ยน”

“ฮูเตี๋ยน…..ฮูเตี๋ยนไหนฟะ”

ทุกคนที่ได้ยินชื่อนี้จากปากราชาสวรรค์ต่างก็สับสนและสงสัยกันไปหมด

“คนคนนั้นก็คงเป็นราชาขุนพลของสภาสูงเผ่าพันธุ์มนุษย์งั้นเหรอ ข้าเองก็พอจะรู้มาบ้างว่านอกจากหลิวฉิงแล้วยังมีราชาขุนพลขั้นสูงคนอื่นอยู่บ้าง”

“แล้วยังไงล่ะ พวกมันมี พวกเราก็มี แถมมีมากกว่าด้วย”

“ถูกต้อง สุดยอดนักรบของพวกเราทั้งจำนวนและความแข็งแกร่งนั้นอยู่เหนือกว่าพวกมนุษย์มากนัก ต่อให้เกิดสงครามจริง พวกเรายังไงซะย่อมเหนือกว่าพวกมัน”

ท่ามกลางเสียงของเหล่าราชาแห่งมนุษย์กลายพันธุ์ที่อื้ออึงและแสดงท่าทางออกมาอย่างโอหังนี้ ผู้อาวุโสหลี่ในตอนนี้นั้นยังคงนึกคิดอะไรบางอย่าง ตัวเขานั้นรู้สึกคุ้นเคยชื่อนี้อย่างมาก แต่เขาเองนึกยังไงก็นึกไม่ออก หลังจากก้มหน้านิ่งนึกไปพักหนึ่ง เขาก็คิดที่จะเงยหน้าขึ้นมาถามราชาสวรรค์

แต่เป็นตอนนี้ที่เขาเห็นว่าหมอกไอดำของราชาสวรรค์แสดงออกมาเป็นรูปร่างหนึ่ง นี่ทำให้เขามีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างที่สุด

“ราชาสวรรค์ เจ้า….เจ้าหมายถึง….หมายถึง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋….งั้นรึ”

เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดยิ่งกว่าคนตายของผู้อาวุโสหลี่ พร้อมกับคำพูดที่ถูกเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเอ่ยนี้ นี่ทำให้ทุกคนนึกขึ้นมาได้ในที่สุด

ใช่แล้ว ชื่อของผู้นำองค์กรลึกลับแห่งโลกใบนี้อย่างฮุยตู๋ที่ถูกบันทึกเอาไว้นั่นก็คือฮูเตี๋ยนไม่ใช่รึ

ที่ทุกคนนึกถึงชื่อของฮูเตี๋ยนไม่ออกในคราแรกนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้จัก แต่เป็นเพียงเพราะว่าพวกเขาเคยรับรู้ถึงชื่อนี้จากเอกสารเพียงเท่านี้ นี่จึงทำให้เมื่อทุกคนได้ยินชื่อนี้แล้วก็รู้สึกได้ราวกับสายฟ้าที่ฟาดเข้าสู่หัวใจของทุกคน

ถึงแม้ว่าชื่อของผู้อาวุโสสูงสุดของฮูเตี๋ยนนั้นจะเป็นที่รู้จักในสามเผ่าพันธุ์มานานแสนนาน แต่สัตว์ประหลาดที่ทรงพลังเช่นเขาเองก็ไม่ได้ปรากฏต่อหน้าทั้งสามเผ่าพันธุ์มานานแสนนานเช่นเดียวกัน จึงเป็นธรรมดาที่คนรุ่นหลังจะหลงลืมไปแล้ว

“ฮี่ฮี่ฮี่ ท่านผู้อาวุโสหลี่ช่างจดจำได้แม่นนัก ถูกต้อง คนคนนั้นคือผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋”

“ผู้อาวุโสหลี่ที่เคารพ แล้วท่านรู้รึเปล่าว่าทำไมผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋ ฮูเตี๋ยนผู้นั้นถึงได้ออกมาปกป้องเฉินเฉียงคนนั้นด้วยตัวเอง”

“ในวันนั้น ท่านผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนนั้นได้ออกมาประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่าเฉินเฉียง คือลูกศิษย์ของเขา”

ลูกศิษย์ของฮูเตี๋ยน…เหรอ

สำหรับในสามเผ่าพันธุ์แล้ว ผู้ซึ่งได้รับชื่อนี้มีศักดิ์ฐานะไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงล้ำของทั้งสามเผ่าพันธุ์แต่อย่างใด

ไม่สิ ควรจะบอกว่ามันสูงล้ำกว่า แม้แต่คนอยู่ในตำแหน่งเหล่านั้นก็ยังไม่กล้าที่จะแตะ

เมื่อได้ยินถึงคำพูดนี้ ผู้อาวุโสหลี่ถึงกับร่างกายสั่นเทิ้มและเหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผากของตน

หากว่าเขาออกคำสั่งไล่ล่าออกไปแบบเด็ดขาดก่อนหน้านี้จริงๆ เขาก็แทบไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าจะมีสิ่งใดรอเขาอยู่

เพียงแค่นึกภาพนี้ เหล่าราชาทั้งหลายในที่นี้ต่างก็นึกกลัวขึ้นมาจนตัวสั่น

ท่ามกลางผู้อาวุโสหลี่และราชามนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นที่กำลังหวาดหวั่นอยู่นี้ ราชาสวรรค์ไม่ได้แยแสและพูดต่อ “และจากที่หยานเสวี่ยรายงานนั้น ผู้อาวุโสฮูเตี๋ยนที่ไปยังเขาโชวหยางเพื่อช่วยศิษย์ของตนนั้น เขาได้นำพาผู้ติดตามไปด้วย แล้วท่านรู้รึเปล่าว่าเขาพาคนไปเท่าไหร่”

“ทุกคนที่เขาพาไปนั่นคือเหล่าผู้ที่อยู่ในระดับเทียบเท่าราชาทักษะพิเศษขั้นกลางเป็นอย่างน้อยและมีจำนวนห้าร้อยคน”

“และในหมู่ห้าร้อยคนนี้มีผู้ที่อยู่ในระดับเทียบเท่ากับราชาทักษะพิเศษขั้นสูงอยู่อีกจำนวนหนึ่ง”

“ผู้อาวุโสหลี่ ข้าขอถามหน่อยเถอะว่าสมาคมผู้นำมนุษย์กลายพันธุ์ของพวกเรานั้นมีผู้ที่อยู่ในระดับราชาทักษะพิเศษถึงห้าร้อยคนหรือไม่”

“หากว่ามี ข้าคนนี้จะไม่ทัดทานท่านอีก เชิญท่านไปจับเฉินเฉียงได้เลย หรือจะฆ่าเขาให้สิ้นเรื่องราวไปก็สุดแต่ท่านจะปรารถนา”

“พอแล้ว”

ผู้อาวุโสหลี่ยกมือขึ้นพูดห้ามปรามในทันทีพร้อมกับเหงื่อที่พรั่งพรูจนเต็มใบหน้า

หากเป็นสถานการณ์ปกติ ผู้อาวุโสคนอื่นก็คงจะอดแซวไม่ได้ที่ผู้อาวุโสหลี่ตระหนกจนเหงื่อไหลซะขนาดนี้ ชนิดที่ว่าหัวเราะลั่นจนหุบปากไม่ลงเลยทีเดียว

แต่ในตอนนี้ไม่มีใครคิดจะทำเช่นนั้นแม้แต่น้อย

นั่นก็เพราะ พวกเขากำลังตกตะลึงกับสิ่งที่ราชาสวรรค์ได้พูดออกไป

หากราชาสวรรค์ไม่พูดออกมา แล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์หากว่าส่งคนไปไล่ล่าตัวเฉินเฉียงขึ้นมาจริงๆคือสิ่งใดล่ะ

แน่นอนว่าสมควรจะเป็นไปดั่งคำที่ราชาสวรรค์ได้พูดออกมาตั้งแต่ต้น มนุษย์กลายพันธุ์คงจะถูกล้างบางจนสูญพันธุ์ไปในที่สุด

ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะเทียบเท่ากับราชาทักษะพิเศษจำนวนห้าร้อยคนเลยนะ

ต่อให้ทั้งสามเผ่าพันธุ์ร่วมมือกันก็ยังไม่อาจจะทัดทานกับความทรงพลังนี้ได้เลยสักนิด

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ผู้อาวุโสหลี่ก็ได้ลอบมองไปยังฮั่นจุยอย่างเดือดแค้น แต่กลับกลายเป็นว่าเขาได้เห็นฮั่นจุยตกอยู่ในสภาพที่สั่นกลัวไม่ได้แตกต่างไปจากตน…..เอ็งพึ่งจะมากลัวตอนนี้เนี่ยนะ

หรือจะให้บอกอีกอย่างก็คือ คำพูดของราชาสวรรค์นั้นถูกต้องแล้วไม่ใช่รึไง

หมายความว่าไอ้แก่ฮั่นจุยนี่ต้องการอาศัยความสัมพันธ์ลับๆที่มีต่อเขาเพื่อทำบางสิ่งให้มนุษย์กลายพันธุ์เคลื่อนไหว

เป็นไปได้ว่าก่อนหน้านี้เป็นเพราะฮั่นจุยไปหาเรื่องเฉินเฉียงจนทำให้ฮูเตี๋ยนโกรธจนส่งผลให้หลิวฉิงต้องลงโทษฮั่นจุย

งั้นนี่ถึงเป็นเหตุให้ฮั่นจุย ที่เปรียบได้ดั่งบุตรแห่งสวรรค์ในยามที่อยู่ในเผ่าพันธุ์ของตนต้องระเห็จออกมา

ที่น่าขำที่สุดก็คือเขานั้นดันไปถือว่าฮั่นจุยเป็นสิ่งมีค่าประดุจสมบัติ และภูมิใจที่ได้รับมาอย่างดียิ่งเสียอีก

นี่เขาไปรับตัวหายนะมาเข้าร่วมกับสมาคมผู้นำมนุษย์กลายพันธุ์ชัดๆ

เมื่อราชาสวรรค์ได้พูดมาถึงจุดที่ทำให้เกิดฉากที่ตนเองพอใจแล้ว เขาก็ได้ชี้นิ้วใส่หน้าฮั่นจุยแล้วตะคอกออกมา “ฮั่นจุย”

“เจ้าเองก็รับรู้ว่าเฉินเฉียงเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋แต่ยังมีหน้ามาขอให้มนุษย์กลายพันธุ์อย่างพวกเราไปจับตัวเฉินเฉียงมา หากว่าเจ้าไม่คิดจะให้พวกเราเป็นหนังหน้าไฟแล้วมันคือสิ่งใดกัน”

“กับไอ้ตัวที่มีความคิดป่วยจิตเช่นเจ้านั้น มีหรือที่เจ้าจะคิดเข้าร่วมกับพวกเราเพียงเพราะเห็นว่าพวกเราดีกว่า”

“นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่เจ้ายังไม่ได้ฝังแผ่นพลังงานแล้วยังมีหน้ามาทำตัวโอหังกล้าลงไม้ลงมือกับมนุษย์กลายพันธุ์ต่อหน้าจ้าวเกาะทั้งหลายนี่อีก”

“นี่แกคิดจะทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเราต้องตกตายชัดๆ”

ในขณะที่พูดออกไปนี้ คำพูดของราชาสวรรค์ได้ไปกระตุ้นเตือนความคิดในจิตใจของผู้อาวุโสหลี่ ผู้อาวุโสคนอื่น และจ้าวเกาะทั้งหลายขึ้นมาในทันที

หากคำพูดของราชาสวรรค์เป็นความจริง ฮั่นจุยนั้นก็คือผู้ที่มีบาปมหันต์และสมควรต้องตกตายอยู่ตรงนี้

อย่างไรก็ตาม ราชาสวรรค์ไม่คิดเลยจริงๆว่าคำพูดนี้จะเป็นใบเบิกทางให้กับความตายของตน

“ฮ่าฮ่าฮ่า”

เมื่อสิ้นคำของราชาสวรรค์ ฮั่นจุยได้หัวเราะคำรามลั่นสนั่นท้องฟ้า

ก่อนหน้านี้ เขาเองก็มีความคิดอิดออดอยู่บ้างที่จะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แต่เขานั้นไม่ได้เป็นไปอย่างที่ราชาสวรรค์นั้นพูดมาแต่อย่างใด เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นสายลับให้กับมนุษย์กลายพันธุ์ที่แฝงตัวเข้าไปนานแล้ว

อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นความจริงเช่นกันที่เขาไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์แต่อย่างใด

เหตุผลที่เขามาที่สมาคมมนุษย์กลายพันธุ์ในตอนแรกนั้นเป็นเพราะเขาต้องการใช้ความสัมพันธ์เก่าก่อนหลอกให้ผู้อาวุโสหลี่ใช้พลังของมนุษย์กลายพันธุ์แก้แค้นศัตรูแทนเขา นั่นก็คือเฉินเฉียง

ตราบใดที่เฉินเฉียงตายไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม นี่จึงจะทำให้เขาหายแค้นได้ เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาก็ไม่มีที่จะไปอยู่แล้ว

ส่วนผู้อาวุโสสูงสุดของฮุยตู๋อย่างฮูเตี๋ยนนั้น ต่อให้อยากจะล้างแค้นเฉินเฉียง เขาก็ควรจะไปลงกับมนุษย์กลายพันธุ์ ไม่ได้สนใจเขาแต่อย่างใด

นึกไม่ถึงว่าแผนการที่เกือบสำเร็จจะถูกราชาสวรรค์กระโดดมาขวางเอาซะดื้อๆ

แถมไม่เพียงจะเปิดโปงเขา ราชาสวรรค์ยังคิดมุ่งเป้าราวจะให้เขาตกตายตรงนี้เสียให้ได้

แต่ยังไงซะ ที่นี่ก็ยังเป็นสมาคมของมนุษย์กลายพันธุ์

ต่อให้เขาเป็นราชาจอมพลขั้นกลางจะทำอะไรได้

หากเขากล้าที่จะทำตัวโหดร้ายในตอนนี้ สิ แค่เพียงขยับมือ ดีไม่ดีอย่าว่าแต่ราชาทักษะพิเศษขั้นกลางจะลงมือเลย แม้แต่ขั้นสูงก็ยังตรงเข้ามาฉีกกระชากร่างเขาเป็นชิ้นๆในชั่วพริบตาเป็นแน่

เป็นไปดั่งคำที่เขากล่าวกันไว้ ต่อให้คนบ้าก็ยังมีความกลัว

แล้วนับประสาอะไรกับคนที่โหดร้ายกัน

คนประเภทนี้คือคนที่หมางเมินต่อทุกกฎเกณฑ์ได้เพียงให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัยและสุขสบายเพียงเท่านั้น

และในตอนนี้ ฮั่นจุยคือคนประเภทที่ว่า

หลังจากหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจนหนำใจ ฮั่นจุยก็ได้นั่งลงและชี้ไปที่หัวของตนก่อนจะพูดกับผู้อาวุโสหลี่ด้วยเสียงที่นุ่มลึก “ผู้อาวุโสหลี่ ข้า ฮั่นจุยจะขอแสดงความจริงใจของข้า โปรดฝังแผ่นพลังงานบนหัวของข้าเดี๋ยวนี้”

ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่ฮั่นจุยจะหลุดรอดไปได้นั้น มีเพียงวิธีการนี้เพียงทางเดียว

หากว่าเขาไม่ทำล่ะก็ อีกไม่นานคงได้มีคนเข้ามากระชากลากของเขาเป็นชิ้นๆเป็นแน่

ยังไงซะ ความเคลือบแคลงสงสัยนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะเขาไม่ได้ฝังแผ่นแก่นพลังงานนี่เพียงเท่านั้น

และนี่เองจึงทำให้เขานั้นคิดว่าจะดีกว่าหากตนเองได้รับการฝังแก่นแผ่นพลังงานไป และนี่จะช่วยทำให้เขานั้นนอกจากจะยืนยันความตั้งใจที่จะเข้าร่วมกับมนุษย์กลายพันธุ์ของเขาได้แล้ว มันยังช่วยให้เกิดความประทับใจต่อผู้อาวุโสหลี่และราชามนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นอีก

แน่นอนว่าสิ่งที่ฮั่นจุยนั้นอยู่เหนือความคาดการณ์ของราชาสวรรค์

เขาไม่คิดว่าฮั่นจุยนั้นจะเคียดแค้นเฉินเฉียงจนถึงขั้นเข้ากระดูกดำขนาดนี้ แถมยังถึงกับยอมเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ของตนเพียงเพื่อให้ได้ตามสิ่งต้องการแม้ตนเองจะแข็งแกร่งอยู่แล้วก็ตาม

กับคนเช่นนี้ การไม่แยแสต่อสิ่งใดนั้นสามารถใช้คำจำกัดความหนึ่งออกมาอธิบายได้

นั่นก็คือเขาบ้าไปเรียบร้อยแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นคนบ้าที่ทรงพลัง

เมื่อฮั่นจุยเห็นราชาสวรรค์มองมาที่ตน เขาก็ได้พูดออกมาอย่างหยามหยัน

-ฮี่ฮี่ฮี่ ราชาสวรรค์ ต่อให้เจ้าจะมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง แต่หากว่าเจ้านั้นแม้กับเรื่องนี้ก็ยังโต้แย้ง ข้าเองก็ไม่ใส่ใจที่จะฉีกเจ้าออกเป็นพันๆชิ้นอย่างแน่นอน แต่ก็อีกล่ะนะ นั่นก็คงไม่อาจจะทำให้ข้าสาแก่ใจสักเท่าไหร่-

แม้จะได้ยินคำข่มขู่ที่ฮั่นจุยลอบส่งผ่านจิตวิญญาณมานี้ ราชาสวรรค์ก็ยังสงบนิ่ง

ดูเหมือนว่าในตอนนี้ ฮั่นจุยนั้นจะโยนความเกลียดชังที่มีต่อเฉินเฉียงเข้าใส่เขาเสียอย่างนั้น

-โอ้ ฮั่นจุย เจ้าต้องการจะฆ่าราชาผู้นี้ เหอะ ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าเจ้ามีความสามารถพอจริงรึเปล่า-

ราชาสวรรค์เองก็มั่นใจตนเองไม่น้อยว่าจะต่อกรกับฮั่นจุยได้ เขาจึงไม่ได้แสดงความหวาดหวั่นออกมาแต่อย่างใด

การกระทำของฮั่นจุยในตอนนี้ได้ทำให้ผู้อาวุโสหลี่ที่ขุ่นเคืองใจในการกระทำของฮั่นจุยเพราะคำพูดของราชาสวรรค์จนเกือบจะคล้อยตามไปด้วยต้องกลับมาคิดใหม่อีกครั้ง

นั่นก็เพราะ เขาเองก็ไม่คิดว่าฮั่นจุยจะขอให้เขาฝังแผ่นแก่นพลังงานด้วยตนเองแบบนี้ สำหรับคนเช่นผู้อาวุโสหลี่แล้ว นี่เปรียบได้ดั่งการให้เกียรติอย่างที่สุด และนี่ก็ทำให้จิตใจของเขาได้สั่นคลอนอีกครั้ง

นี่เขาเข้าใจผิดไปงั้นรึ

ฮั่นจุยคิดจะใช้เผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์เป็นแพะรับบาปจริงๆรึเปล่า

******************

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท